ฟางเซียนเจว้ถือโอสถเหนือสวรรค์ด้วยมือที่สั่นระริก ท่าทางของเธอนั้นราวกับว่าเธอกำลังมองดูลูกน้อยที่กำลังเพิ่งคลอดออกมา
หลังจากที่สงบจิตระงับใจที่กำลังตื่นเต้นแล้ว ฟางเซียนเจว้ก็นั่งลงกลางห้องในท่าขัดสมาธิดอกบัว ก่อนที่เธอจะค่อยปล่อยให้เม็ดยาไหลเข้าไปในปาก
ครั้นเมื่อโอสถเหนือสวรรค์สัมผัสกับลิ้นของเธอ มันก็ละลายราวกับว่ามันเป็นน้ำ ก่อนที่จะไหลเข้าไปในลำคอของเธอ
ความรู้สึกเย็นสดชื่นแผ่ขยายออกจากท้องของเธอ และปราณไร้ลักษณ์ในจุดตันเถียนของเธอก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
สองสามนาทีให้หลัง ริ้วคลื่นพลังที่แก่นสาระของเขตอัมพรวิญญาณก็กวาดไปทั่วห้อง สร้างความตระหนกให้กับทุกคนที่นั่น
“สวรรค์ โอสถเหนือสวรรค์นั้นเป็นของจริง”
“เม็ดยานี้… เป็นเช่นเดียวกันกับโอสถสู่ปฐพี มันจักต้องสั่นสะเทือนยุทธภพและจะยิ่งรุนแรงไปยิ่งกว่านั้น”
“เมื่อมีโอสถสู่ปฐพีและโอสถเหนือสวรรค์ การเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณนั้นมิใช่เป็นเพียงความฝันอีกต่อไป ยุทธภพกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่”
หลังจากที่บรรลุถึงเขตอัมพรวิญญาณแล้ว ฟางเซียนเจว้ก็จ้องมองมือของตนเองอย่างเงียบงัน ดูเหมือนจะยังอยู่ในความงงงัน
เมื่อมาคิดว่าเธอสามารถที่จะไปถึงเขตอัมพรวิญญาณเมื่อเธอได้สูญเสียความหวังทั้งมวลไปเรียบร้อยแล้ว นี่ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง
ครั้นเมื่อเธอเยือกเย็นลงแล้ว ฟางเซียนเจว้ก็คุกเข่าลงให้กับซูหยางและกล่าวด้วยน้ำเสียงเทิดทูนว่า “ข้ามิอาจที่จะขอบคุณอะไรท่านได้มากไปกว่านี้ ท่านผู้อาวุโส มิถือเป็นการโอ้อวดเลยแม้แต่น้อยหากจะพูดว่าท่านได้ช่วยชีวิตของข้าเอาไว้ ถ้าข้ามิได้ก้าวเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ ข้าก็จักตายหลังจากนี้อีกไม่กี่สิบปี แต่ตอนนี้ข้าได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตใหม่แล้ว ข้าสามารถมีชีวิตยืนยาวได้อีกกว่าสามร้อยปี”
ซูหยางยังคงเรียบเฉยแล้วกล่าวว่า “ข้าหวังว่าเจ้าคงมิลืมหลังจากก้าวไปสู่ระดับใหม่ว่าข้ามิได้ให้โอสถเหนือสวรรค์แก่เจ้าเปล่าๆ หินวิญญาณสามสิบล้านก้อนนั้นเจ้ามีเวลาหนึ่งเดือนในการชำระหนี้นี้ มิเช่นนั้นข้าก็จักไปเคาะประตูบ้านเจ้าด้วยตนเอง”
“ข้ามิกล้าที่จะลืมอย่างแน่นอน ต่อให้ร่างกายข้าต้องตกเป็นทาสหรือว่าขายอวัยวะ ข้าก็จักจ่ายหนี้นี้”
ซูหยางพยักหน้า “ครั้นเมื่อเจ้ามีหินวิญญาณแล้ว เจ้าสามารถมอบมันให้กับศิษย์ของข้า หวังชูเหริน เจ้าสามารถพบเธอได้ที่นิกายดอกบัวเพลิง”
เมื่อฟางเซียนเจว้กลับคืนไปสู่ที่นั่งของเธอในเวลาหลังจากนั้น ซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดต่างได้ประจักษ์ด้วยตัวของพวกเจ้าเองถึงประสิทธิภาพของโอสถเหนือสวรรค์ พวกเจ้ามีคำถามอะไรต่อข้าอีกหรือไม่”
คนสองสามคนพากันยกมือขึ้น
“ถ้าท่านมิถือ ข้าอยากจะถามว่า.. ท่านค้นพบเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นได้จากที่ไหนกัน หรือว่าเม็ดยานี้ได้มีอยู่แล้วที่ทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ในตอนนี้ โอสถเหนือสวรรค์มีเพียงปรากฏอยู่ที่ทวีปตะวันออก แม้กระทั่งทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางเองก็มิรู้ถึงการคงอยู่ของมัน ส่วนที่ว่าข้าได้รับตำรับยานี้มาจากไหนนั้น… ข้าขอบอกไว้เพียงว่าข้าได้เคยไปยังสถานที่ที่เจ้ามิสามารถเข้าใจได้”
หลังจากนั้นเจ้าซีก็ถามเขาว่า “ถ้าหากว่ามีเม็ดยาที่สามารถช่วยให้ผู้คนเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณและเขตอัมพรวิญญาณแล้ว ท่านคิดว่าเม็ดยาที่มีผลช่วยให้ผู้คนเข้าสู่เขตราชันย์วิญญาณนั้นมีอยู่หรือไม่”
“…”
ทั้งห้องนั้นต่างพากันรอให้ซูหยางตอบด้วยท่าทางกระวนกระวาย
หลังจากที่เงียบไปเป็นระยะเวลานาน สุดท้ายซูหยางก็พูดขึ้นว่า “บางที”
แน่นอนว่าเม็ดยาแบบนั้นมีอยู่จริง แต่ทว่าเม็ดยาประเภทนี้เพียงปรากฏอยู่ในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่เท่านั้น วัตถุดิบที่ต้องการในการปรุงเม็ดยานั้นจะมีอายุมากกว่าหมื่นปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในโลกที่มีอายุน้อยกว่าหมื่นปี
หลังจากที่ใช้เวลาหลายนาทีในการตอบคำถามแล้ว ซูหยางก็เปลี่ยนไปยังหัวข้อถัดไป
“ในตอนนี้เมื่อข้าได้ตอบคำถามทั้งหมดของพวกเจ้าแล้ว ข้าก็จะขอพูดถึงหัวข้อหลัก”
เขากวาดสายตาอันแหลมคมไปยังฝูงชน และกล่าวขึ้นว่า “ข้ากำลังจะรับศิษย์สามคนจากทวีปแห่งนี้ และข้าเองก็จะสอนพวกเขาถึงวิธีการปรุงโอสถสู่ปฐพีรวมไปถึงเม็ดยาอื่นๆที่ข้าได้เปิดเผยให้ในวันนี้”
“อะไรนะ”
ผู้คนที่นั่นต่างก็พากันมีสีหน้าตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
“ข้ามิได้สนใจว่าเจ้าจะมีอายุมากน้อยเพียงใด หรือว่าสนใจว่าเจ้านั้นเป็นเพศใด ข้าจักจัดการสอบในไม่กี่สัปดาห์หลังจากนี้ และถ้าพวกเจ้าผ่านการทดสอบของข้า ข้าก็จักรับเจ้าเป็นศิษย์ของข้า”
“พวกเจ้ามีคำถามอะไรหรือไม่”
เกือบทุกคนในหอประชุมยกมือขึ้น
“ท่านผู้อาวุโส ใครบ้างที่ได้รับความยินยอมให้เข้ารับการทดสอบของท่าน”
“ใครก็ได้” ซูหยางตอบอย่างรวดเร็ว “ข้าจักให้สิทธิ์ทุกคนในที่นี้ได้รับการทดสอบ และถ้าเจ้ารู้จักคนที่มีพรสวรรค์ด้านการปรุงยา เจ้าก็สามารถนำพวกเขามาเข้าร่วมทดสอบได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในเมื่อข้ามิต้องการที่จะใช้เวลามากเกินไปกับเรื่องนี้ ข้าจักกำหนดให้ในแต่ละสำนักและตระกูลที่นี่ให้มีคนเข้าร่วมได้เพียงแค่สองคน”
ที่แห่งนั้นพลันเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย
“ใครที่เจ้าคิดว่าพวกเราควรจะส่งจากตระกูลของพวกเรา”
“แต่มิมีใครในตระกูลที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับการปรุงยาเลย…”
“เจ้ามิได้ยินท่านผู้มีอาวุโสรึ พวกเรามิได้ถูกจำกัดอยู่แต่คนในตระกูลของพวกเรา ตราบเท่าที่เราสามารถนำคนมาได้สองคน มิว่าพวกเขาจะมาจากไหน พวกเขาล้วนสามารถเข้ารับการทดสอบได้”
“…”
“ศิษย์หย่งควรมีที่แน่นอนสักที่ในสองตำแหน่งนี้ ในเมื่อความรู้ด้านการปรุงยาของเขานั้นนับเป็นสุดยอดในบรรดาหมู่ศิษย์”
“แม้ว่าข้ามิได้สงสัยว่าเขาเป็นคนที่สุดยอดในบรรดาศิษย์ แต่ก็มีผู้อาวุโสสำนักจำนวนมากที่ดีกว่าเขา อายุมิได้จำกัดในการทดสอบนี้ ดังนั้นพวกเราควรจะนำคนที่ดีที่สุดภายในสำนักมา”
“…”
“เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง ลูกสาวข้า เจ้าต้องการที่จะเข้าร่วมในการทดสอบนี้กับข้าหรือไม่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะอายุน้อยที่สุด แต่พรสวรรค์ทางด้านการปรุงยาเจ้าก็เป็นที่หนึ่งนับแต่ที่มีมาของตระกูลไค”
“ข้าย่อมถือเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสที่จะเป็นศิษย์ของท่านผู้อาวุโสนั่น”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
“….”
“อาจารย์… ท่านจะยอมเป็นศิษย์ของท่านผู้อาวุโสท่านนั้นรึหากว่าท่านได้รับโอกาส”
“ถึงแม้ว่าข้าจะถือได้ว่าเป็นหมายเลขหนึ่งในด้านการปรุงยาในทวีปตะวันออก แต่ข้าก็มิได้ต่างไปจากทารกในสายตาของท่านผู้อาวุโสท่านนั้น และถึงแม้ว่าข้าจะมีอายุมาก แต่ข้าก็ยังยินดีที่จะได้เป็นศิษย์อีกครั้งหากว่าอาจารย์ของข้านั้นเป็นคนแบบท่านผู้อาวุโสนั้น
“แล้วเจ้าล่ะ ข้ามิถือโทษเจ้าถ้าเจ้าต้องการที่จะจากข้าไปเป็นศิษย์ผู้อาวุโสท่านนั้นแทน มิว่าอย่างไรก็ตามข้าต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้า”
“ข้าจักตามอาจารย์ไปมิว่าที่ไหนที่ท่านไป”
“ดีมาก… เช่นนั้นพวกเราทั้งคู่ไปเข้าร่วมการทดสอบนี้กันเถอะ”
ในขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในความวุ่นวาย หวังชูเหรินก็กล่าวกับซูหยางด้วยเสียงหยอกล้อว่า “ข้าคนเดียวมิเพียงพอที่จะทำให้ท่านพึงพอใจรึ ท่านอาจารย์”
ซูหยางยิ้มเบื้องหลังหน้ากากและกล่าวว่า “เจ้าเป็นศิษย์ที่ขยันและมีพรสวรรค์มาก แต่ข้ายังคิดสงสัยว่าเจ้าจักมีเวลาในการฝึกฝนวิชาของตัวเจ้าเองหรือไม่ยามเมื่อข่าวของเม็ดยาเหล่านี้เริ่มแพร่กระจายออกไปข้างนอกที่แห่งนี้ ดังนั้นข้าจึงเตรียมที่จะหาศิษย์เพิ่มอีกสองสามคนมาช่วยเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นยามเมื่อข้าจากโลกแห่งนี้ไปแล้วก็จะยังมีคนเพิ่มอีกสามคนที่จะสามารถสานต่อสิ่งที่ข้าได้เริ่มต้นไว้ที่นี่”
เวลาหลังจากนั้น ซูหยางก็พูดกับผู้คนว่า “แม้ว่าเวลาจะสั้นไปอยู่บ้าง แต่นี่ก็คือทั้งหมดที่ข้ามีให้กับพวกเจ้าในวันนี้ ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า ข้าจักกลับมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อทำการทดสอบ”
ผู้คนต่างพากันเริ่มออกไปจากหอประชุมอย่างรวดเร็ว ในเมื่อพวกเขานั้นเร่งรีบที่จะหาคนที่จะเข้าร่วมการทดสอบนี้สองคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่รู้เรื่องการปรุงยาไม่มากนัก
ในเวลาหลังจากนั้น ก็มีเหลือเพียงเจ้าซีที่ยังคงอยู่ภายในหอประชุม
เขาตรงเข้าไปหาซูหยางแลโค้งคำนับ “ท่านได้เปิดหูเปิดตาข้าในวันนี้ ท่านผู้อาวุโส ดูเหมือนว่าข้ายังคงเป็นกบในบ่อแม้ว่าข้าจะมีตำแหน่งสูงส่งในทวีปตะวันออกนี้ อย่างไรก็ตามข้ายังคงมีคำถามอีกข้อหนึ่งสำหรับท่านผู้อาวุโส ข้าควรจะเรียกท่านว่าอย่างไร”
“… สกุลของข้าคือ เซียว” ซูหยางตอบด้วยรอยยิ้มลึกลับเบื้องหลังหน้ากาก
“ขอให้ข้าได้ขอบคุณท่านอีกครั้งท่านผู้อาวุโสเซียว ที่ได้ช่วยทวีปตะวันออก” เจ้าซีคำนับเขาอีกครั้ง
และเขาก็พูดต่ออีกว่า “ถ้าท่านมีเวลา ข้าต้องการที่จะเชื้อเชิญท่านกลับไปทานอาหารที่บ้านของข้า บางทีพวกเราจะสามารถพูดคุยกันถึงแผนของท่านในเวลานั้นได้มากกว่านี้”
อย่างไรก็ตาม ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าจักต้องขอโทษเป็นการล่วงหน้าหากว่าคำพูดของข้าจักล่วงเกินเจ้า แต่ข้ามิอยากแสดงความชอบพอในตระกูลใดตระกูลหนึ่งเหนือกว่าตระกูลอื่นมิว่าเจ้าจักมีฐานะในที่แห่งนี้เป็นอย่างไรก็ตาม ในเมื่อนี่จักเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมต่อผู้อื่น ถ้าเจ้าต้องการที่จะพูดกับข้าในระดับที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น เช่นนั้นเจ้าจักต้องผ่านการทดสอบของข้าและกล่ายเป็นศิษย์ของข้าเสียก่อน”
“ข้าเข้าใจ.. ข้าก็จักต้องขออภัยที่ทำให้ผู้อาวุโสต้องมาอยู่ในจุดที่ลำบากนี้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามถ้าท่านได้เปลี่ยนใจ ประตูของตระกูลซีย่อมจักเปิดกว้างสำหรับท่านเสมอ” แม้ว่าเจ้าซีจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับผลลัพธ์ เขาก็ไม่กล้าที่จะบ่น ในเมื่อเขากลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินผู้อาวุโสลึกลับคนนี้ ซึ่งไม่ลังเลที่จะข่มขู่ตระกูลฟางต่อหน้าทุกคน รวมไปถึงตระกูลซี ผู้ปกครองทวีปตะวันออกนี้