NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 174

ตอนที่ 174

บทที่174 คนคุ้นเคยในเมืองเอก

หลังจากที่เดินออกจากโรงพยาบาล สีหน้าของสวีเถิงเฟยไม่สู้ดีเท่าไหร่

วันนี้ สวีเถิงเฟยเชิญหยูเถิงกับตู้เฟยทานข้าว เดิมทีมันก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่สุดท้ายกลับ……….

กลับถูกคนตีศีรษะจนแตก จนต้องเข้าโรงพยาบาล……..

แล้วตู้เฟยก็ถูกคนอื่นไล่ออกจากห้อง ยังถูกคนทำร้ายอีก…….

ขณะนี้ อารมณ์ของสวีเถิงเฟย รู้สึกเศร้าและหดหู่มาก

ขับรถกลับไปที่โรงแรมว่างโก๋ ผู้จัดการล็อบบี้เห็นสวีเถิงเฟยกลับมาอีก ก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที “คุณชายสวี คุณชายหยูไม่เป็นไรมากใช่ไหมครับ?”

ถ้าหากหยูเถิงเป็นอะไรไป โรงแรมว่างโก๋ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน

เพราะยังไงหยูเถิงก็ได้รับบาดเจ็บในโรงแรมว่างโก๋

ฉะนั้น ผู้จัดการล็อบบี้จึงกลัวมาก กลัวว่าหยูเถิงจะเป็นอะไรไป

“แม่งฉิบหาย!

สวีเถิงเฟยมองหน้าผู้จัดการล็อบบี้ ยกแขนฟาดไปหนึ่งที “แกมันสุนัขรับใช้ แขกของฉันแกยังกล้าไล่!”

ผู้จัดการล็อบบี้คิดในใจ แย่แล้ว สวีเถิงเฟยกลับมาคิดบัญชีแค้นแล้ว

ตอนที่ไปไล่พวกตู้เฟย ผู้จัดการล็อบบี้ก็คิดถึงความเป็นไปได้ว่าเรื่องมันจะต้องลงเอยแบบนี้

“คุณชายสวี ฟังผมอธิบายก่อน เดิมห้องนั้น พวกเขาจองไว้ก่อนแล้ว” ผู้จัดการล็อบบี้อธิบายอย่างนิ่มนวล

“อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับผม ผมจะบอกให้ พ่อผมสวีเจิ้งหรุง เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้านายแก” สวีเถิงเฟยขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “แย่งห้องแล้วมีปัญหาอะไรเหรอ?”

ตอนนี้ตู้เฟยได้วิ่งเข้ามาบ่นกับสวีเถิงเฟยว่า “พี่เฟย พี่ต้องให้ความเป็นธรรมแก่พวกเรา”

“แกมีสิทธิ์อะไรมาไล่แขกของฉัน?”

สวีเถิงเฟยยิ่งอยู่ยิ่งน่ากลัว การที่ผู้จัดการล็อบบี้ทำเช่นนี้ เหมือนเป็นการตบหน้าสวีเถิงเฟย

ถ้าหากเป็นเจ้าของโรงแรมว่างโก๋ สวีเถิงเฟยอาจจะอดกลั้นได้

แต่นี่เป็นแค่ผู้จัดการล็อบบี้เล็ก ๆ ก็แค่คนรับจ้าง มันคิดว่าตัวเองเป็นใคร?

เพียะ เสียงตบดังลั่น

สวีเถิงเฟยฟาดไปที่หน้าของผู้จัดการล็อบบี้อีก

“แกเป็นใบ้เหรอ?” สวีเถิงเฟยกล่าวด้วยเสียงอันเยือกเย็น

สีหน้าของผู้จัดการล็อบบี้ขาวซีดเผือด

อายุของผู้จัดการล็อบบี้ก็สามสิบห้าแล้ว ก็ถือว่าเป็นวัยกลางคน

วัยกลางคนผู้นี้ กลับถูกเด็กหนุ่มตบหน้า ต่อหน้าสาธารณชนโดยไม่กล้าพูดส่งเสียงใด ๆ

ความอับอายที่ผู้จัดการล็อบบี้ได้รับในตอนนี้ รู้สึกได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ

ชิวหย่าและคนอื่น ๆ ต่างหลบไปยืนตามมุม ไม่กล้าเข้ามา

ปกติผู้จัดการเป็นคนที่มีสง่าราศี แต่ตอนนี้ถูกเด็กหนุ่มสั่งสอนจนเป็นเหมือนลูกชาย……..

ตอนนี้ภายในใจเขา รู้สึกสับสนอย่างยิ่ง……

“แกคิดว่าไม่พูดอะไรแล้ว ฉันจะปล่อยแกไปเหรอ?” สวีเถิงเฟยขมวดคิ้วแล้วกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น และขยิบตาให้ตู้เฟย แล้วสองคนนี้ก็ร่วมมือกันทำร้ายเขา

สวีเถิงเฟยกับตู้เฟย ทำร้ายผู้จัดการล็อบบี้อย่างเหี้ยมโหด

ผู้จัดการล็อบบี้ยอมรับว่าเขาเสียเปรียบในเรื่องนี้ แล้วก็ไม่กล้าตอบโต้ใด ๆทั้งสิ้น

ซึ่งแน่นอน ก็ถือว่าเขาเสียเปรียบ ยังไงเขาก็ยังคงไม่กล้าโต้ตอบ เพราะว่าใคร ๆ ก็รู้ฐานะของสวีเถิงเฟยและตู้เฟย

ขณะนี้ พวกหลี่ฝาง ก็ได้ทานข้าวเสร็จแล้ว กำลังเดินลงมาจากชั้นสอง

หลี่ฝางเดินลงมา เห็นสวีเถิงเฟยกับตู้เฟยกำลังทำร้ายผู้จัดการ เขาเดาเรื่องได้ทันที

แต่ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเขาที่แส่หาเรื่องใส่ตัวเองไม่ใช่เหรอ?

หากเริ่มแรก ผู้จัดการล็อบบี้ปฏิบัติตามกฎ ก็ไม่ล่วงเกินหลี่ฝางกับสวีเถิงเฟยทั้งสองฝ่ายในเวลาเดียวกันหรอก?

“เช็ดบิล”

หลี่ฝางแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เดินไปถึงหน้าเคาน์เตอร์

“คุณผู้ชายค่ะ คืนนี้คุณมียอดค่าอาหารและเครื่องทั้งหมด หกแสนสองหมื่นเจ็ดพันสามร้อยหยวนค่ะ” เมื่อพูดถึงยอดตัวเลขนี้แล้ว พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ สั่นที่มุมปากครั้งหนึ่ง

ตามปกติ โรงแรมว่างโก๋ ในหนึ่งวัน ไม่ใช่สิ ในหนึ่งอาทิตย์ มียอดขายเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?

แต่หลี่ฝางเพียงแค่ทานอาหารมื้อเดียว ก็เท่ายอดขายของพวกเขาทั้งอาทิตย์เลย

“อึม ขอส่วนลดครึ่งหนึ่ง” หลี่ฝางกล่าวเสียงเบา ๆ

“คุณผู้ชาย ต้องขอโทษด้วยค่ะ ทางฉันสามารถลดได้ห้าเปอร์เซ็นต์ เอาอย่างนี้ ฉันไปถามผู้จัดการก่อนค่ะ?”

พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ยิ้มอย่างอึดอัด

ลดครึ่งหนึ่ง ล้อเล่นอะไรนี่?

ตั้งแต่เปิดโรงแรมมา ยังไม่เคยได้ยินเรื่องขอลดครึ่งหนึ่ง

สามารถลดได้ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าให้เกียรติที่สุดแล้ว?

“ผู้จัดการ ผู้จัดการ” พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์วิ่งมา แล้วก็พยุงตัวผู้จัดการที่ล้มอยู่บนพื้น

“คุณผู้ชายคนนั้น จะขอส่วนลดครึ่งหนึ่งจากโรงแรมเรา ตามอำนาจของฉันสามารถลดได้แค่ห้าเปอร์เซ็นต์ หรือไม่ คุณโทรหาเจ้านาย…….”

พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์มองไปที่เหยนเสี่ยวน่าแวบหนึ่ง “รู้สึกว่าฉันจะเห็นคุณหนูเหยนค่ะ”

“เพื่อเห็นแก่หน้าคุณหนูเหยน เจ้านายคงจะสามารถลดได้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์น่ะ”

ยอดหกแสนกว่า หากลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ก็คือสามารถเซฟได้แสนหกเลย

“คุณยังสามารถลุกขึ้นยืนได้ไหม….”

พอตู้เฟยเห็นผู้จัดการลุกขึ้นยืน ความโกรธในใจก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง แล้วก็ถีบไปที่ท้องของผู้จัดการอีกครั้ง

และในขณะนี้เอง ชายใส่แว่นหน้าตาอบอุ่นอ่อนโยนก็ได้เดินเข้ามา

“เจ้านาย”

พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ ชิวหย่า รีบต้อนรับ แล้วโค้งคำนับ

“เจ้านายหวง” ผู้จัดการที่ล้มอยู่บนพื้น ก็ส่งเสียงเรียกอย่างแผ่วเบา

เจ้านายของโรงแรมว่างโก๋ ชื่อ หวงว่างโก๋ และก็คือชายใส่แว่นคนนี้

“มันเกิดอะไรขึ้น?” มองไปที่ผู้จัดการที่อยู่บนพื้นด้วยสีหน้าอับอาย หวงว่างโก๋ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ผู้จัดการล็อบบี้ ไม่ว่าจะมองจากจุดไหน ก็ถือเป็นตัวแทนเป็นหน้าตาของโรงแรมว่างโก๋

หากตอนที่หวงว่างโก๋ไม่อยู่ เรื่องใหญ่เรื่องเล็กของโรงแรมทั้งหมด ผู้จัดการล็อบบี้จะเป็นคนรับผิดชอบเอง

ผู้จัดการล็อบบี้เงียบไม่ตอบอะไร หวงว่างโก๋หันไปมองหน้าตู้เฟยแวบหนึ่ง “นายชื่ออะไร?”

“ผมชื่อตู้เฟย……..

“น้าชายผมคือหยูฉู่เซิง………..” ตู้เฟยรีบยกชื่อคนหนุนหลังมาอ้างทันที

หวงว่างโก๋ขมวดคิ้ว ยกแขนฟาดไปที่หน้าตู้เฟย “เป็นแค่หลานชายของหยูฉู่เซิงเท่านั้น ใครให้ความกล้าแก่นาย ที่มาหาเรื่องในโรงแรมว่างโก๋ของฉัน”

“แล้วยังมาทำร้ายผู้จัดการล็อบบี้ของฉันอีก” หวงว่างโก๋กล่าวด้วยเสียงอันเยือกเย็น

หากจะตีสุนัขก็ต้องดูด้วยว่าเจ้าของเป็นใคร ผู้จัดการโดนทำร้ายหนักถึงเพียงนี้ หากหวงว่างโก๋ไม่ทำอะไรสักอย่างแล้ว เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป หวงว่างโก๋จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

หลานชายของหยูฉู่เซิง ก็สามารถทำร้ายผู้จัดการล็อบบี้ของโรงแรมว่างโก๋ได้โดยง่าย ๆ

หากหวงว่างโก๋ไม่ทำอะไรสักอย่างแล้ว คราวหลัง ก็คือทุกคนสามารถมาหาเรื่องทำร้ายคนในโรงแรมว่างโก๋ได้เหรอ?

ตู้เฟยมองไปที่สวีเถิงเฟย เพราะเมื่อสักครู่สวีเถิงเฟยเป็นคนส่งสัญญาณลับให้เขา เขาจึงได้ลงมือทำร้ายผู้จัดการ

สวีเถิงเฟยยิ้มบาง ๆ รีบเดินไปข้างหน้า “คุณอาหวง ตู้เฟยเป็นเพื่อนของผมเองครับ”

“เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ วันนี้ผมเชิญเพื่อนมาทานข้าวที่โรงแรมของคุณ แต่ยังทานข้าวไม่เสร็จ ผู้จัดการก็ไล่เพื่อนผมออกจากห้องครับ….”

“คุณอาหวง คิดว่าเรื่องนี้ โรงแรมของพวกคุณทำถูกไหมครับ?” สวีเถิงเฟยกล่าว

หวงว่างโก๋ขมวดคิ้ว ก้มศีรษะมองผู้จัดการล็อบบี้ “เสี่ยวจาง มีเรื่องเช่นนี้เหรอ? ”

หวงว่างโก๋ไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากว่าเสี่ยวจางได้ผ่านการเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการ และมีประสบการณ์บริหารจัดการโรงแรมมาหลายปี

ทำไมเขาทำผิดพลาดขั้นต้นเช่นนี้ได้อย่างไร?

หวงว่างโก๋สรุป จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง

ผู้จัดการล็อบบี้ได้ลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าหวงว่างโก๋ และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หวงว่างโก๋ฟังอย่างละเอียด

หลังจากหวงว่างโก๋ฟังเรื่องราวแล้ว จ้องตาเขม็งไปที่หน้าผู้จัดการล็อบบี้ “สมน้ำหน้าสมควรโดนทำร้าย!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สวีเถิงเฟยยิ้มที่มุมปาก

แต่ในไม่ช้า รอยยิ้มบนใบหน้าของสวีเถิงเฟยก็หุบลง

เพราะหวงว่างโก๋ก็ได้พูดต่อทันทีว่า “เนื่องจากห้องนั้นได้ถูกจองแล้ว แล้วคุณจะสร้างเรื่องวุ่นวายทำไม?

“อย่าว่าแต่เป็นคนตระกูลสวี ถึงแม้จะเป็นคนตระกูลมู่ คนตระกูลฉิน ก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นกฎ” หวงว่างโก๋กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น

“ไล่พวกเขาออกจากห้องคือทำถูกต้องแล้ว” หวงว่างโก๋กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

หวงว่างโก๋หันไปมองสวีเถิงเฟยแล้วพูดว่า “เสี่ยวเฟย นายถือว่าตระกูลสวีเป็นตระกูลใหญ่และมีธุรกิจใหญ่โต เลยข่มขู่เสี่ยวจางให้เขายอมเอาห้องนั้นให้นาย อาหวงก็ไม่ได้ถือสาอะไร”

จากนั้น สีหน้าของหวงว่างโก๋เคร่งขรึม แล้วพูดว่า “แต่นายพาคนมาทำร้ายเสี่ยวจาง ไม่เห็นอาหวงอยู่ในสายตาเลยใช่หรือไม่? ”

สวีเถิงเฟยเริ่มตัวสั่นขึ้นมา

ภูมิหลังของหวงว่างโก๋ไม่ได้ใสสะอาด เริ่มแรกชีวิตเริ่มต้นด้วยธุรกิจมืด หลายปีมานี้ หวงว่างโก๋ล้างมือจากธุรกิจมืดอย่างช้า ๆ จึงได้เปิดโรงแรมว่างโก๋ขึ้นมา

ถ้าหากทำให้เขาโมโหขึ้นมา ไม่กล้าคิดว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด

“นายเป็นผู้น้อย อาหวงจะไม่ทำให้นายลำบากใจ พรุ่งนี้เรียกพ่อนายสวีเจิ้งหรุงมาคุยกับอา”

“ให้เขามาขอโทษอาด้วยตัวเอง” หวงว่างโก๋ตบบ่าของสวีเถิงเฟย แล้วกล่าวด้วยเสียงอันเยือกเย็น

เมื่อพูดจบ หวงว่างโก๋ก็หันไปมองหลี่ฝาง

หวงว่างโก๋รู้สึกว่า ไอ้หนุ่มนี้หน้าตาคุ้นมาก ๆ

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท