บทที่ 266 เขาก็แค่คนกระจอกคนนึง
เงาที่คุ้นเคยนี้ จะเป็นใครเสียไม่ได้ นอกจากผู้หญิงชุดยีนส์คนนั้น โก่เอ๋อ
หลี่ฝางรีบเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อเดินไปยังด้านหน้าของเธอ “เธอก็มาเที่ยวที่สถานตากอากาศเหรอ”
“ใช่ เจอนายอีกแล้ว” โก่เอ๋อยิ้ม มองหลี่ฝางด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อนัก “บังเอิญจริงๆ”
“ใช่ไง บังเอิญจริงๆ”
เขาพยักหน้า มองไปที่เธอ “เธอมาคนเดียวเหรอ”
“ใช่น่ะสิ”
“เอางี้ไหม เดี๋ยวไปวางกระเป๋าเสร็จ เรามาเที่ยวด้วยกัน” หลี่ฝางชี้ไปที่พวกหวางเสี่ยวโก๋ “เรามากันตั้งหลายคนเลย”
“ได้สิ งั้นนายเอาเบอร์ไว้ให้ฉันหน่อย ฉันวางกระเป๋าเสร็จจะติดต่อไป” เธอตอบ
หยิบมือถือออกมา พวกเขาไม่เพียงแลกเบอร์ติดต่อกัน ยังแอดวีแชทกันด้วย
พอเดินกลับมา หลี่เสี่ยวเสี่ยวก็มองไปที่หลี่ฝาง พร้อมถามขึ้นว่า “หลี่ฝาง นายรู้จักเขาเหรอ”
“เพิ่งรู้จักกันเมื่อคืน” เขาพยักหน้า
“ผู้หญิงคนนี้ รวยเลยแหละ” หลี่เสี่ยวเสี่ยวพูด
“เมื่อวานบัตรวีไอพีใบสุดท้ายฉันเป็นคนขายให้เธอเอง” หลี่เสี่ยวเสี่ยวพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “ตั้งล้านนึง จ่ายเงินให้ฉันโดยไม่ได้คิดอะไรเลย”
หลี่ฝางยิ้ม ไม่พูดอะไรต่อ
ในเวลานั้น ผู้ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนำลูกน้องตามติดมาด้วยจำนวนหนึ่ง เดินมาข้างหน้าหลี่ฝาง
“ขอโทษนะครับ คุณคือคุณชายหลี่ใช่ไหมครับ” ผู้ชายวัยกลางคนคนนั้นมองหลี่ฝางและถามขึ้น
หลี่ฝางชะงักไปซักพักก็พยักหน้าตอบรับ “ฉันแซ่หลี่นั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าใช่หลี่คนเดียวกับที่คุณตามหาไหม”
“ผมคือผู้ช่วยของพ่อบ้านเฉียน คุณเรียกผมว่าเสี่ยวจางก็ได้ครับ” ชายวัยกลางคนพูดด้วยความนอบน้อม
เขาเอารูปภาพของหลี่ฝางมาดูไม่รู้กี่ร้อยครั้ง จะจำไม่ได้ได้อย่างไรกัน
“เสี่ยวจาง?” หลี่ฝางมองชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า แล้วหัวเราะขึ้นมา
นี่อายุจะ 40 แล้วไหม
หลี่ฝางตอบกลับไปว่า “ช่างเถอะ ฉันเรียกว่าพี่จางแล้วกัน”
“ไม่ได้ครับๆ…ถ้าคุรเรียกผมว่าพี่จาง ผมตายแน่ๆ” เสี่ยวจางได้ยินหลี่ฝางเรียกตัวเองว่าพี่จางก็รุกรนขึ้นมาทันที ตกใจจนหน้าซีดไปหมด
หลี่ฝางรู้สึกไม่รู้จะทำยังไง มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ
“คุณชายหลี่ พวกเขาคือเพื่อนของคุณใช่ไหมครับ” เสี่ยวจางมองแวบไปทางหวางเสี่ยวโก๋และคนอื่นๆ เพื่อถาม
หลี่ฝางพยักหน้า
“พวกนายยังไม่รีบไปตอนรับแขกวีไอพีอีก” เสี่ยวจางหันหน้าขวับไปบอกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด
คนที่อยู่ด้านหลังเสี่ยวจางต่างก็พากันพยักหน้า แล้วรีบนำหวางเสี่ยวโก๋และคนอื่นๆ เข้าพักในห้องพักของตัวเอง
แต่หลี่ฝาง กลับโดนเสี่ยวจางนำทางมาที่คฤหาสน์แห่งหนึ่ง
ข้างหน้ายังมีรถสปอร์ตคันนึงจอดอยู่
“มีรถด้วยเหรอ” หลี่ฝางยิ้มอย่างมีเลศนัย
“คุณขายครับ รถคันนี้คือเตรียมไว้ให้คุณโดยเฉพาะครับ ทั้งสถานตากอากาศมีแค่คันเดียวนี้แหละครับ” เสี่ยวจางตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จริงเหรอ”
เขาถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก “คนอื่นไม่มีเหรอ”
“ไม่มีครับ หน้าห้องของคนอื่นมีเพียงรถจักรยานและจักรยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น มีเพียงคุณที่มีรถสปอร์ตคันนี้” เสี่ยวจางตอบ
หลี่ฝางหัวเราะแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ
เพราะในเมื่อนี่คือธุรกิจของตัวเอง พ่อแม่ให้สิทธิพิเศษบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เวลานี้ หลี่ฝางโบกมือเรียกเสี่ยวจาง พร้อมพูดว่า “คุณไปทำอย่างอื่นของคุณเถอะ มีเรื่องอะไรเดี๋ยวฉันจะเรียกเอง”
“ครับ คุณชาย” เสี่ยวจางพยักหน้าตอบรับ
“อ่อใช่ ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณชายแล้ว” หลี่ฝางเกรงว่าฐานะของตัวเองจะถูกเปิดเผย จึงเอ่ยเตือน
“ถ้างั้นผมจะเรียกว่าอะไรครับคุณชาย”
“เรียกฉันว่า…เสี่ยวฝางเถอะ” หลี่ฝางคิดสักพักก็ตอบเขาไป
“ไม่ได้ครับ ผมเป็นคนรับใช้ จะเรียกชื่อจริงของคุณชายได้ยังไงกัน” เสี่ยวจางพูดพร้อมส่ายหัวไปมา
“งั้นเรียกฉันว่าคุณก็พอแล้ว”
หลี่ฝางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เสี่ยวทำไมถึงได้เหมือนอยู่ในระบบศักดินาเลย
เดี๋ยวก็คุณชายอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกซะจนเขารู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่
“คุณชายหลี่…ไม่สิ คุณหลี่ ถ้าคุณมีอะไรที่ต้องการ โทรเรียกผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ นี่คือนามบัตรของผม พร้อมบริการตลอด 24 ชั่วโมงครับ” เสี่ยวจางยื่นนามบัตรของเขามาให้
หลี่ฝางหยอกล้อว่า “ทำไม นายไม่นอนหรือไง”
เสี่ยวจางได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“โอเค ไปทำงานของนายเถอะ” หลี่ฝางคิดในใจว่า อยู่ในสถานตากอากาศแบบนี้ ตัวเองจะเจออะไรได้
“ครับคุณชาย” เสี่ยวจางตอบด้วยความเคยชิน
หลี่ฝางขมวดคิ้ว จ้องเสี่ยวจางเขม็ง
สีหน้าเสี่ยวจางเริ่มรุกรรขึ้นมาทันที เขารีบเปลี่ยนคำพูดว่า “ครับ คุณ”
หลี่ฝางถอนหายใจ แล้วเดินกลับเข้าคฤหาสน์ไป
บัตรห้อง ก็คือบัตรที่หลี่ต๋าคางเคยให้เขาไว้ก่อนหน้านั้น
หมายเลขบัตรสมาชิกคือ 001
หลังจากรูดบัตรเข้าไปในคฤหาสน์ เขาก็พบว่ามันใหญ่โตมากเกินไป
ถึงจะใหญ่ไม่เท่ากับคฤหาสน์หมายเลข 1 หลังเขาของตัวเอง แต่ก็ใหญ่กว่าคฤหาสน์หมายเลข 8 ที่จ้าวเสี่ยวตาวและ
เฉียนเป่าเอ๋อซื้อไว้เยอะมาก
ในคฤหาสน์ไม่เพียงมีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน ยังมีห้องรองเท้า ห้องครัวที่แยกออกมาโดยเฉพาะอีกด้วย
พอเดินเข้าไปในห้องรองเท้า หลี่ฝางก็ชะงัก ที่นี่มีรองเท้าวางถึง 100 กว่าคู่ ซึ่งมีทั้ง รองเท้าแตะ รองเท้าพื้นเรียบ นองเท้ากีฬา รองเท้าหนังชั้นสูงและอีกมากมายครบทุกรูปแบบ…
แทบจะเป็นเหมือนร้านรองเท้าขนาดเล็กเลยก็ว่าได้
พอเดินเข้าไปในห้องครัว ยิ่งโอเวอร์ไปกว่าอีก
พื้นที่กว่า 50 ตาราง ถูกวางเรียงด้วยชุด 100 กว่าชุด อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ดังต่าง ๆ ด้วย
หลากหลายไปหมด หลี่ฝางมองจนตาลาย
“นี่เตรียมไว้ให้ตัวเองหมดเลยเหรอ” หลี่ฝางพูดกับตัวเอง เขาตกใจเล็กน้อย
เขารีบหยิบมือถือขึ้นมา เพื่อที่จะโทรไปหาพ่อของตัวเอง
พอปลายสายรับ เขาก็ถามทันทีว่า “พ่อครับ พ่อโอเวอร์ไปไหมเนี่ย รองเท้า ถุงเท้า ชุดแบรนด์ เข็มขัดเยอะขนาดนี้…จะขายส่งหรือไงกัน”
“เป็นไง โอเคไหม” หลี่ต๋าคางเอ่ยถามพร้อมหัวเราะ
“โอเคอยู่แล้ว แค่รู้สึกว่าเสื้อผ้าเยอะขนาดนี้ ทั้งรองเท้าอีก มันสิ้นเปลืองไปไหม ต่อให้ผมเปลี่ยนวันละชุด ก็ต้องใช้ไปครึ่งปีเลยนะ” หลี่ฝางพูดด้วยความไม่รู้จะทำยังไง
“สิ้นเปลืองงั้นเหรอ เงินของบ้านเราจะใช้ไม่หมดกันอยู่แล้ว ลูกยังกลัวจะสิ้นเปลืองอีก”
“อีกอย่าง ก็แค่เสื้อผ้ารองเท้าพวกนั้น ไม่ได้มีราคาสูงอะไรเลย”
หลี่ต๋าคางหัวเราะ พร้อมพูดต่อว่า “ในห้องนอนลูก พ่อวางนาฬิกาไว้ให้ 3 เรือน ราคาเป็นล้านทั้งนั้น ลูกเข้าไปเลือกซักเรือนสิ”
“อีกอย่าง ตอนกลางคืนถ้าหิว ข้างๆ เตียงมีแท็บเล็ตอยู่ สั่งอาหารได้ ลูกอยากกินอะไร ก็สั่งอันนั้น” หลี่ต๋าคางพูดต่อว่า “กี่ปีมานี้ ลูกผอมจนไม่รู้จะผอมยังไงแล้ว”
“”นาฬิกาหลักล้าน…
หลี่ฝางกลืนน้ำลาย สีหน้างงงัน “นาฬิกาหลักล้าน 3 เรือนเหรอ”
“ใช่ไง” หลี่ต๋าคางตอบ “ลูกเลือกซักเรือน อีก 2 เรือนถ้าไม่ชอบก็ให้คนอื่นก็ได้”
นาฬิกาหลักล้าน ให้คนอื่น?
เขาเสียดายจะตาย
พอหลังจากวางสายเสร็จ เขาก็ได้รับข้อความจากหวางเสี่ยวโก๋ เรียกให้ตัวเองออกไปเที่ยวด้วยกัน
เขาถอดชุดสูทของตัวเองออก พร้อมเปลี่ยนเป็นชุดวอร์มสบายๆ เพื่อที่จะออกไปด้านนอก
“ไม่สิ ไปดูนาฬิกาก่อน”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นของแบรนด์ โรเล็กซ์อะไรพวกนี้ เขาเคยเห็นหมด
สวีเถิงเฟยก็ใส่เรือนนึงนี่
ถึงจะโดนส้าวส้วยพวกนั้นแย่งไปก็เถอะ
เขาคิดในใจว่า นาฬิการาคาหลักล้าน จะหน้าตาเป็นยังไงนะ น่าจะเป็นนาฬิการาคาที่สูงมากแล้วใช่ไหม
เขาเดินมาที่ห้องนอนของตัวเอง เพื่อหานาฬิกานั้น
หนึ่งในเรือนนั้นเป็นนาฬิกาที่ถูกฝังด้วยเพชรเต็มเรือน แม้แต่สายนาฬิกาก็เต็มไปด้วยเพชรที่ประดับอยู่ นี่น่าจะมีเพชรอยู่ถึงพันเม็ดแล้วไหม?
ระดับสูงเกินไปหรือเปล่า ถ้าใส่แบบนี้ไป จะไปแยงหน้าใครเข้าหรือเปล่าก็ไม่รู้
ยังมีอีกเรือน ที่รูปแบบมีความพิเศษสูงมาก
ข้างในเป็นฟันเฟืองกลไกอยู่ด้านหลัง ดูเหมือนว่าวิธีการทำจะซับซ้อนมาก
หลี่ฝางหยิบเรือนสุดท้ายขึ้นมา นาฬิกาเรือนนี้ถือว่าเป็นเรือนที่ดูธรรมดาที่สุดแล้ว
ซึ่งมันเป็นของแบรนด์ปาเต็ก ฟิลิปป์
หลังจากนั้นเขาก็ไปข้างนอกทันที
เขาออกไปข้างนอกได้ไม่นาน ก็โดนคนอื่นจ้องซะแล้ว
“เฮ้ย เป็นมันได้ไงกัน” สวีเถิงเฟยมองเห็นหลี่ฝาง ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
ครั้งก่อนหยูเถิง จ้าวเสี่ยวตาว ตู้เฟยและอีกหลายคนก็ถูกลากเข้าแบล็กลิสต์ ไม่อนุญาตให้เข้ามาที่สถานตากอากาศนี้
ดีที่สวีเถิงเฟยออกไปก่อน ถึงหลบได้ทัน
สวีเถิงเฟยมองวัยรุ่นคนที่อยู่ตรงหน้า พูดขึ้นว่า “หวางเฉินวันนี้เอาเพื่อนมาด้วยหรือเปล่า”
“เอามาด้วยหลายคน ทำไมเหรอ” หวางเฉิน ตอบด้วยความสงสัย
“ไปเรียกพวกเขามาหน่อย เดี๋ยวฉันจะพาไปสั่งสอนไอ้หมอนั่น” สวีเถิงเฟยชี้ไปที่หลี่ฝางแล้วพูดขึ้น
หวางเฉินส่ายหน้าแล้วตอบไปว่า “พี่เฟย จะให้ฉันไปตายหรือไง”
“พี่ไม่เห็นหรือไง ไอ้หมอนั่นมันพักในคฤหาสน์เดี่ยว”
“พักคฤหาสน์แล้วยังไง” สวีเถิงเฟยถามด้วยความไม่พอใจ “ทำไม ค่าพักคฤหาสน์นี่มันแพงหรือไง”
“ไม่ใช่เรื่องแพงไม่แพง ที่สถานตากอากาศนี่มีแค่คฤหาสน์ 10 หลัง คนที่พักในคฤหาสน์แต่ละคนไม่ธรรมดาทั้งนั้น”
หวางเฉินพูดด้วยสีหน้าเกรงกลัว “ถ้าอยากเข้าไปพักในคฤหาสน์ ต้องมีฐานะด้วย”
“อย่างฉินจื่อยี่ มู่เสี่ยวไป๋พวกนี้ อย่างมากก็พักได้แค่ห้องหรู”
หวางเฉินพูดต่อว่า “ไอ้หมอนี่ได้พักในคฤหาสน์เดี่ยวแบบนี้ ฐานะเขาคงสูงกว่าพวกฉินจื่อยี่ มู่เสี่ยวไป๋แน่นอน”
“สูงบ้าบออะไร ฉันไปสืบมาแล้ว มันก็แค่ไอ้กระจอกคนนึง” สวีเถิงเฟยตอบด้วยความไม่เชื่อ