บทที่ 322 ส้าวส้วยเป็นอาจารย์ของนาย?
“นายเป็นใคร?” ลู่เชาชะงักไป ก่อนจะถามอย่างอารมณ์เสีย
“จำผมไม่ได้แล้วหรือ? ผมเป็นแฟนของลู่หลุ่ย….วันรายงานตัว คุณเป็นคนพาผมไปที่อาคารหอพัก”
หลี่ฝางเอ่ยเตือนขึ้น ลู่เชาก็จำได้ทันที “ฮ่าฮ่า ที่แท้ก็นายนี่เอง เจ้าเศรษฐี นายไม่ติดต่อฉันมาเลย ฉันก็เกือบลืมนายไปแล้ว”
หลี่ฝางไม่พูดพร่ำใดๆ เขาเปิด WeChat และโอนเงินหนึ่งพันไปยังลู่เชาทันที
“ผมโอนเงินให้คุณหนึ่งพันใน WeChat คุณรับไว้เถอะ ผมอยากถามสักหน่อย แผนกกระจายเสียงของพวกคุณมีจัดกิจกรรมอะไรหรือเปล่า?” หลี่ฝางอย่างรีบร้อน
“เจ้าเศรษฐี ล้อเล่นอะไรกัน นี่มันช่วงวันหยุด จะมามีงานกิจกรรมอะไรอีก? ถ้าจะมีก็เป็นกิจกรรมที่กลุ่มจัดกันเองไปเที่ยวปิกนิกในฤดูใบไม้ผลิ”
ในใจของหลี่ฝางจมดิ่งลงอย่างกะทันหัน
ลู่หลุ่ยเป็นเด็กผู้หญิงที่ชอบเก็บตัว กิจกรรมเข้าสังคมกลางแจ้งเช่นการออกไปเที่ยวและปิกนิก อย่าว่าแต่เธอจัดกลุ่มเลย แม้แต่เข้าร่วมยังไม่มีทางเข้าร่วมแน่
เห็นชัดว่า เหมิงเหมิงโกหก
เหมิงเหมิงต้องรู้แน่ว่าลู่หลุ่ยไปไหน และไปทำอะไร อีกทั้งเรื่องนี้ ตนเองรู้เข้าจะต้องไม่พอใจแน่
ไม่อย่างนั้นลู่หลุ่ยคงจะไม่ปิดบังตน ส่วนเหมิงเหมิงเองก็ไม่จำเป็นต้องโกหกแทนลู่หลุ่ยแบบนี้
“ขอบคุณคุณแล้ว” หลี่ฝางขอบคุณเขาก่อนจะตัดสินใจวางสาย
“เจ้าเศรษฐี เรื่องแค่นี้ นายก็ให้เงินฉันหนึ่งพันหยวนแล้ว? นี่ออกจะมากไปหน่อยรึเปล่า” ลู่เชารู้สึกผิดที่ได้รับมาเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้พูดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ ออกไป
หนึ่งพันได้มาง่ายขนาดนี้เชียว?
ให้ตาย คนรวยมักจะเอาแต่ใจแบบนี้หรือไงกัน?
“ฉันจะให้เงินคุณอีกหนึ่งพัน ช่วยเป็นธุระให้ผมสักหน่อย ว่าลู่หลุ่ยกลับไปที่มหาลัยแล้วหรือยัง รบกวนคุณแล้ว” หลังจากวางสาย หลี่ฝางก็โอนเงินอีกหนึ่งพันหยวนให้กับลู่เชา
ลู่เชาเห็นข้อมูลการโอนเงินก็ถึงกับกลืนน้ำลาย
เสียงเพี้ยะดังขึ้น ลู่เชาตบตัวเองเข้าฉาดหนึ่ง
“ลู่เชา นี่นายบ้าไปแล้วหรือไง? ตีตัวเองทำไม เสียงดัง!” เพื่อนร่วมห้องของลู่เชาพูดติดตลก
“ออกไปทำธุระกับฉันหน่อย วันนี้ฉันเรื่องหม้อไฟพวกนาย ร้องเพลง…” ลู่เชาได้เงินสองพันหยวนมาฟรีๆ และเปลี่ยนเป็นใจป้ำขึ้นมาทันที
“ฆ่าคนวางเพลิงเรื่องพวกนี้ฉันไม่ทำนะเว้ย”
“ฉันเองก็ไม่ไป คนขี้เหนียวอย่างนาย จะมาเลี้ยงข้าวเลี้ยงคาราโอเกะ จะต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ จะให้พวกเราไปทำอะไรก็ไม่รู้”
“ไม่ได้ฆ่าคนวางเพลิง แค่ช่วยฉันไปดูหน่อยว่าลู่หลุ่ยอยู่ในมหาลัยรึเปล่า”
“ลู่หลุ่ย ดาวคณะคนนั้น?”
“ง่ายๆ แค่นั้นเองหรือ?”
“ใช่ พี่น้องทั้งหลาย ไปกัน….”
……
“เกิดอะไรขึ้น?”
ฉินวี่เฟยมองไปที่สีหน้าผิดปกติของหลี่ฝาง เลยถามอย่างเป็นห่วง
“ลู่หลุ่ยไปแล้ว”
หลี่ฝางขมวดคิ้ว ในใจเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
คำโกหกของเหมิงเหมิง ประกอบกับคำพูดของลู่หลุ่ย ทำให้หลี่ฝางมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเกิดขึ้น
ถ้าลู่หลุ่ยเกิดเรื่องจริงๆ เธอสามารถเผชิญหน้ากับเขาบอกเขาได้ อย่างน้อยๆ ตนเองก็จะได้ไปส่งเธอ
“ทำไมถึงไปแล้วล่ะ?” ฉินวี่เฟยถามต่อ
“ฉันเองก็ไม่รู้ แถมตอนนี้ยังปิดเครื่องด้วย ส่งข้อความใน wechatไปก็ไม่ตอบกลับ… ฉินวี่เฟย สถานการณ์แบบนี้ ฉันกำลังถูกสวมเขาอยู่รึเปล่า?” หลี่ฝางกัดริมฝีปากของเขาและสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
“ลู่หลุ่ยไม่ใช่คนแบบนั้น จุดนี้นายวางใจได้” แม้ว่าฉินวี่เฟยจะมีเวลารู้จักกับลู่หลุ่ยเพียงหนึ่งวัน แต่ก็รู้สึกว่าลู่หลุ่ยเป็นคนที่ไม่เลว
ถึงขนาดที่ เวลาอยู่ต่อหน้าลู่หลุ่ย ฉินวี่เฟยยังรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้ว ตนเองก็คือมือที่สาม
ตนมีความสัมพันธ์กับหลี่ฝาง แถมยังแกล้งทำเป็นคู่รัก
เมื่อมองไปทางด้านที่ลู่หลุ่ย เธอกลับคิดจะเป็นเพื่อนกับตนเอง?
ฉินวี่เฟยคิดแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ หากลู่หลุ่ยกลายเป็นพี่น้องที่ดีของตนเองขึ้นมา วันหน้าตนเองจะเผชิญหน้ากับเธอได้อย่างไรกัน?
หลี่ฝางถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะเอ่ย “อันที่จริงฉันเองก็รู้ดี ลู่หลุ่ยไม่ใช่คนใจโลเลแบบนั้น แต่ครั้งนี้ พฤติกรรมของเธอผิดปกติเกินไป แถมเพื่อนสนิทของเธอก็ช่วยเธอโกหกฉัน พวกเธอรวมตัวกันหลอกลวงฉัน จะต้องมีอะไรอยู่ในเรื่องนี้แน่”
“ไม่ได้การ ฉันจะต้องไปถามเหมิงเหมิงให้ชัดเจน”
ขณะที่หลี่ฝางเพิ่งเดินไปได้ครึ่งทาง ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
หลี่ฝางดีใจขึ้นมาทันที เขาคิดว่าลู่หลุ่ยโทรกลับมาหาตัวเอง แต่ไม่คาดคิดว่าพอเปิดโทรศัพท์มือถือมากลับเป็นลุงเฉียนที่โทรมา
เขากดปุ่มรับสาย ลุงเฉียนเอ่ย “เสี่ยวฝาง ลูกพี่ใหญ่อยากเจอนาย นายมาที่นี่หน่อยเถอะ”
“ตอนนี้?”
หลี่ฝางลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “รอผมอีกหน่อยได้ไหม”
“ผมมีธุระส่วนตัวนิดหน่อยที่ต้องจัดการ”
“สำคัญหรือเปล่า? ถ้าไม่สำคัญ นายค่อยจัดการธุระนั่นเถอะ ลูกพี่ใหญ่ค่อนข้างยุ่ง..”
ไม่รอให้ลุงเฉียนพูดจบ หลี่ฝางขัดจังหวะเขาขึ้นมา “ได้ งั้นผมจะไปเดี๋ยวนี้”
หลี่ฝางคิด อันที่จริงหาเหมิงเหมิงไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เหมิงเหมิงเป็นพวกเดียวกับลู่หลุ่ย เมื่อครู่เธอโกหกขึ้นมาแล้ว อย่างนั้นย่อมต้องโกหกไปต่อจนถึงที่สุดแน่
เธอเป็นเพื่อนสนิทของลู่หลุ่ย หลี่ฝางเองก็ไม่สามารถทรมานเธอเพื่อบังคับให้สารภาพได้
เธอไม่อยากจะบอก ตนเองก็ทำอะไรเธอไม่ได้
ดังนั้น หลี่ฝางจึงตัดสินใจไม่ไป
การดำเนินธุรกิจยังคงเป็นสิ่งสำคัญ
มู่เสี่ยวไป๋ท้าทายเขาถึงหน้าประตูอย่างเปิดเผย ตนเองสมควรปรึกษากับพ่อของตนสักหน่อยว่าควรจะตอบสนองกลับอย่างไร
ไม่กี่อึดใจ หลี่ฝางก็มาหาหลี่ต๋าคาง
เมื่อครู่ จากปากของลุงเฉียนและส้าวส้วย ฉันได้ยินมาว่าท่านจวนผู้นั้นลึกลับมาก หลี่ฝางคิดว่าเขาจะได้เห็นท่านเทพผู้สูงส่งคนนั้นกับตาตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่าพอถึงที่วิลล่า กลับเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยเข้าให้
มีเพียงโหจื่อและพ่อของเขาอยู่ที่นั่น
ลุงเฉียนอยู่ด้านนอกประตู จ้องมองไปที่ยังรอบด้านด้วยหางตา
หลี่ต๋าคางเงยหน้าขึ้นมองหลี่ฝางและเรียกให้เขานั่งลง “ฉันได้ยินเหล่าเฉียนเล่าว่า มู่เสี่ยวไป๋ซื้อปืนมาหลายกระบอก ใช่ไหม?”
หลี่ฝางพยักหน้า
“ข่าวมาจากไหน? แม่นยำรึเปล่า?” หลี่ต๋าคางขมวดคิ้ว
“มาจากคนฝั่งมู่เสี่ยวไป๋ ข่าวนี้แม่นยำแน่” หลี่ฝางพยักหน้า
หลี่ต๋าคางมองไปที่หลี่ฝางอย่างแปลกใจ “ทางฝั่งมู่เสี่ยวไป๋มีสายลับของนายอยู่?”
“ไม่ถือว่าเป็นสายลับ แต่เป็นพี่ชายคนหนึ่ง ชื่อจางกงหมิง พ่อ พ่อน่าจะยังจำเขาได้?” หลี่ฝางยิ้มและช่วยหลี่ต๋าคางฟื้นความจำ
หลี่ต๋าคางพยักหน้า บอกว่าจำได้ จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
ในเวลานั้นเอง โหจื่อก็ยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “ลูกพี่ใหญ่ เรื่องนี้ให้ผมจัดการเถอะ”
“ได้” หลี่ต๋าคางพยักหน้า
โหจื่อแสยะยิ้มและเอ่ยถาม “ลูกพี่ใหญ่ ฆ่าได้ไหม?”
โหจื่อเลิกคิ้ว เลียริมฝีปากจองตน หลี่ฝางมองไปที่โหจื่อ รู้สึกราวกับเขาเป็นสัตว์ประหลาดกระหายเลือด
อะไรคือความสนุกที่ได้ฆ่าคน?
หากไม่เข้าตาจน ใครกันจะอยากไปฆ่าคน
แต่เมื่อฟังคำพูดของโหจื่อ อยากจะซ่าคนจริงๆ
“นอกจากมู่เสี่ยวไป๋ จะฆ่าใครก็ได้” หลี่ต๋าคางพยักหน้าอย่างเรียบๆ
“ไม่ได้ฆ่าคนมาตั้งนาน คันไม้คันมือจะตายอยู่แล้ว” สีหน้าของโหจื่อดูตื่นเต้นอยู่บ้าง
“ให้มันเพลาๆ หน่อยเถอะนาย ครั้งที่แล้วกลุ่มเด็กแว้นก็มีคนตายไปตั้งเท่าไหร่ ไม่ใช่ตายในเงื้อมมือนายหรือไง? ทำไม จะบอกว่าตนเองไม่ได้ทำ?” ส้าวส้วยส่ายหัวขึ้นมาและกลอกตาใส่โหจื่อ
“เก็บอารมณ์ของนายเอาไว้ ที่นี่ไม่ใช่ต่างประเทศ”
“โชคดีที่ครั้งที่แล้วพวกที่นายเอาจนตายล้วนเป็นพวกอาชญากรก็เลยไม่มีใครติดใจสืบสาวเอาความ ไม่อย่างนั้น…” ส้าวส้วยถอนหายใจ “นายจะสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับลูกพี่ใหญ่”
หลี่ต๋าคางไม่พูดและยังคงนิ่งเงียบ
หลี่ฝางแต่เดิมคิดว่าด้วยนิสัยของโหจื่อ ส้าวส้วยบ่นด่าเขาแบบนี้เขาจะต้องระเบิดอารมณ์ขึ้นมาอย่างแน่นอน
แต่ใครจะรู้ว่า ครั้งนี้โหจื่อกลับอ่อนโยนอย่างยิ่ง
โหจื่อแค่เบ้ปากเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่มีการตอบโต้กลับใด ๆ
“ลูกพี่ใหญ่ คู่ต่อสู้ครั้งนี้ไม่ง่าย เกรงว่าโหจื่อจะไม่สามารถรับมือได้”
ส้าวส้วยเปิดปากอีกครั้งพูดและเอ่ยกับหลี่ต๋าคาง “ผมเคยสบตากับเขา เขาไม่กลัวผม”
“อ้อ…….”
หลี่ต๋าคางได้ยินดังนั้นสีหน้าก็สนุกขึ้นมาเล็กน้อย เขายิ้มก่อนจะหันไปมองส้าวส้วย “ความหมายของนายก็คือ ตระกูลมู่เชิญปรมาจารย์แบบนายมา?”
“อืม” ส้าวส้วยพยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึม
หลี่ต๋าคางกลับส่ายหัวและแค่นเสียงออกมา “อาศัยแค่ความแข็งแกร่งอย่างตระกูลมู่ พวกเขาไม่สามารถจ้างปรมาจารย์มาได้แน่ ดูท่า จะมีใครบางคนช่วยตระกูลมู่รับมือกับพวกเราอยู่”
“โหจื่อ ครั้งนี้นายไม่ต้องไปแล้ว” หลี่ต๋าคางเหลือบมองไปที่โหจื่อและเอ่ยขึ้น
“อาจารย์ คุณมองพลาดไปรึเปล่า?”
โหจื่อมีท่าทางไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เขามองที่ส้าวส้วยและเอ่ยถาม “อาศัยตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลมู่ จะไปเชิญปรมาจารย์ที่ไหนมาได้?”
“อาจารย์?”
หลี่ฝางอึ้งไปชั่วขณะ เขามองไปที่โหจื่อ “โหจื่อ นายเรียกส้าวส้วยว่าอะไรนะ?”