NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 329

ตอนที่ 329

บทที่ 329 เรื่องตลกครั้งใหญ่

วินาทีที่โหจื่อชักปืนออกมา สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที

นี่คือปืน แค่เหนี่ยวไก ชีวิตก็จบลงแล้ว

ใครบ้างที่ไม่กลัว?

สีหน้าของหมาทิเบตันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน แต่เขากลับไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของมู่เสี่ยวไป๋ คนอย่างมู่เสี่ยวไป๋ ตายก็ตายไป ในใจของหมาทิเบตันไม่เกิดคลื่นลมอะไรสักนิด

หมาทิเบตันแค่ประหลาดใจ ว่าบนตัวของโหจื่อ สามารถพกปืนไปไหนมาไหนได้ยังไง!

นี่คือในประเทศ ไม่ใช่ต่างประเทศ ที่ต่างประเทศ ปืน AK47 เอย ปืน Gatlinเอย พวกนั้นก็เป็นแค่ของเล่นธรรมดาทั่วไป แต่การควบคุมปืนในประเทศนั้นเข้มงวดมากขนาดนี้ ใครกันจะกล้าพกไปมาทุกวัน?

หากตำรวจเกิดตรวจค้นขึ้นมา หรือต้องผ่านสถานที่ที่มีการตรวจสอบความปลอดภัย อย่างนั้นไม่ยุ่งยากขึ้นมาหรอกหรือ?

โหจื่อมีปืนหมาทิเบตันไม่ได้กลัวอะไร แต่ปัญหาคือ บนตัวโหจื่อมี แล้วจะรับประกันได้หรือว่าส้าวส้วยไม่มี?

เชี่ยเอ๊ย!

ทันใดนั้นหมาทิเบตันก็รู้สึกถึงวิกฤตขึ้นมา

โหจื่อถือปืนชี้ไปที่หัวของมู่เสี่ยวไป๋ แล้วพูดว่า “มาสิ นายลองกดโทรออกให้ฉันดู ฉันก็อยากจะดูสักหน่อย ว่านายโทรออกเร็วกว่า หรือฉันยิงเร็วกว่า…”

โหจื่อไม่กี่ก้าวก็มาถึงตรงหน้ามู่เสี่ยวไป๋ ส่วนเจ้าหัวแบนที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ได้เข้ามาห้าม

หนึ่งคือไม่อยากทำ สองคือไม่มีกำลังมากพอที่จะทำ

โหจื่อมีปืน ใครกันจะกล้าเข้าไป?

คู่ต่อสู้ที่แต่เดิมสู้กันอย่างยุติธรรม ใครจะไปรู้ว่าโหจื่อจะยังมีเครื่องมือฆ่าฟันอันยิ่งใหญ่นั่นอยู่ด้วย

หมาทิเบตันที่เป็นคนมีกำลังมากพอเองก็ไม่อยากจะเข้าไปเสี่ยงเช่นกัน

มู่เสี่ยวไป๋ตกใจจนนิ้วสั่น มือถือในมือเขาก็สั่นขึ้นไปด้วย

“ลูกพี่…. นาย..นายอย่าเข้ามามั่วซั่ว ที่นี่….เป็นในรีสอร์ต ที่นี่เป็นเขตของพวกนายนะ ถ้านายยิงปืน ทุกๆ คนจะได้ยินทั้งหมด…” มู่เสี่ยวไป๋กลัวจนพูดติดอ่าง

โหจื่อหัวเราะเบา ๆ เผยให้เห็นแนวฟันที่ไม่เป็นระเบียบ เขาแสยะยิ้มเอ่ย “นายยังคงคิดรอบคอบเหมือนเคย”

“ก็ใช่ เสียงปืนดังขึ้น คงดึงดูดคนไม่น้อย ถึงตอนนั้น ฉันก็จะฆ่าคนท่ามกลางสายตาทุกคน แถมยังส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อรีสอร์ตด้วย…”

มู่เสี่ยวไป๋เช็ดเหงื่อเย็นเฉียบบนใบหน้า เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ พี่ชาย เหตุผลนี้แหละ”

“บวกอันนี้เข้าไป ก็คงไม่มีเรื่องแล้วมั้ง?”

โหจื่อหยิบท่อเก็บเสียงออกมาจากกระเป๋าและวางไว้บนปากกระบอกปืน

สีหน้าของหลี่ฝางชะงักค้างไป บนตัวของโหจื่อใส่ของเล่นพวกนี้ไปเยอะขนาดไหนเนี่ย ทั้งปืน ทั้งกระบอกเก็บเสียง อีกทั้งยังมีผ้าขนหนูสีขาวสำหรับการยอมจำนน…

“มา เมื่อกี้นายเก่งนักไม่ใช่หรือไง? มา นายจะโทรศัพท์ไม่ใช่หรือไง? เอาเลย นายโทรสิ”

“ไอ้เสียงโหวกเหวกโวยวายเมื่อกี้ไปไหนแล้ว? ไอ้คนที่ใจเหี้ยมที่ขู่คนอื่นเมื่อกี้อยู่ไหนล่ะ?”

“นายจะให้พี่โจวจัดการให้ฉันพิการไม่ใช่หรือไง?”

“เอาเลย นายเล่นต่อ มาแสดงโชว์ของนายต่อไปสิ.”

โหจื่อเล็งปืนไปที่หัวของมู่เสี่ยวไป๋ เขาเอ่ยถาม “ทำไม ไม่เก่งแล้ว?”

โหจื่อเองก็เอะอะพอตัว เขาใช้ปืนเล็งที่คนอื่น แล้วคนเขาจะกล้าทำเก่งกับโหจื่ออีกได้ยังไง

“ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ ทำไม เป็นใบ้ไปแล้ว?”

มู่เสี่ยวไป๋นิ่งเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว

“พี่ชาย เมื่อครู่ฉันก็แค่ล้อเล่น” หลังเงียบไปครู่หนึ่ง มู่เสี่ยวไป๋ก็ได้แต่ต้องพูดขึ้นมา

เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะจัดการกับโหจื่ออย่างไร

เขาเหลือบมองไปที่หมาทิเบตัน แต่หมาทิเบตันกลับเขาไม่สนใจเขา

หมาทิเบตันไม่ได้โง่ โหจื่อมีปืน แถมตรงนี้ยังมีส้าวส้วยที่กำลังจับตามองเขาอยู่ ถ้าเขาลงมือ เห็นทีคงต้องเป็นศัตรูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ที่แท้ก็แค่เรื่องล้อเล่น นายก็พูดแต่แรกสิ ฉันยังคิดว่านายต้องการให้เสี่ยวโจวทุบฉันจนพิการจริงๆ ซะอีก”

มือข้างหนึ่งของเขาถือปืนเล็งไปที่หัวของมู่เสี่ยวไป๋ ส่วนอีกข้างหนึ่งตบลงบนไหล่ของมู่เสี่ยวไป๋ โหจื่อหัวเราะและพูดขึ้น “ฉันว่านะคุณชายใหญ่ตระกูลมู่ เรื่องล้อเล่นแบบนี้อย่าได้พูดไปมั่วๆ ซั่วๆ นายรู้รึเปล่า เมื่อครู่ฉันถูกนายทำให้ตกใจจนแทบแย่”

“ฉันเกือบจะฉี่ราดด้วยซ้ำ รู้รึเปล่า?”

โหจื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าหมดคำพูด

“พี่ชาย นายช่วยเอาปืนออกจากหัวฉันก่อนได้ไหม ถ้านายยังไม่เอามันออกไปอีก ฉันนี่แหละที่ถูกนายทำให้ตกใจจนฉี่แทบราด หรือไม่อย่างนั้นเอาอย่างนี้ไหม เมื่อกี้ฉันทำให้นายตกใจ ฉันจะชดเชยค่าทำขวัญให้ เป็นไง?” มู่เสี่ยวไป๋เม้มปาก เขาก้มตัวลงและเงยหน้าขึ้นถามโหจ่อ

โหจื่อส่ายหัวและเอ่ย “อันที่จริงฉันไม่ได้ขาดเงินสามร้อยล้าน ห้าร้อยล้านอะไร แต่ถ้านายจ่ายไหว ฉันก็ยินดีที่จะรับ”

“สามร้อยร้าน ห้าร้อยล้าน ……” มู่เสี่ยวไป๋สูดอากาศอย่างหนาวเหน็บ

คนอื่นยอมเอ่ยปากอย่างใจกว้าง แต่โหจื่อกลัวเปิดปากก็คิดจะตกปลาใหญ่ คิดจะกินตระกูลมู่ลงไปทั้งตระกูล

สามร้อย ห้าร้อยล้าน หากต้องการเป็นเงินสด

เกรงว่าทั่วทั้งเมืองหลวงนอกจากสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่แล้ว คงไม่มีใครควักออกมาได้อีก

แน่นอนว่า ตระกูลหลี่เองก็สามารถควักออกมาได้

มู่เสี่ยวไป๋ส่ายหัว เขาเอ่ย “พี่ชาย นายชอบล้อเล่นเสียจริง สามร้อยห้าร้อยล้าน นั่นออกจะมากเกินไปหน่อย”

“ฉันรู้ว่าคนตัวเล็กๆ อย่างนายคงไม่มีเงินให้ได้มากขนาดนั้น ครอบครัวจนๆ อย่างพวกนาย ฉันไปอยากได้ค่าทำขวัญฉันก็คิดว่าออกจะไม่ค่อยเหมาะสมอยู่หน่อย ดังนั้น พวกเรามาเล่นเกมกันแทนดีกว่าเป็นไง?”

โหจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มร่า

“เล่นเกม เกมอะไร?” มู่เสี่ยวไป๋รีบถามทันที

“ไม่งั้น พวกเรามาเป่ายิ้งฉุบกัน หากฉันชนะ ฉันจะยิงตัวเอง ถ้าฉันแพ้ ฉันยิงนายนัดนึง เป็นไง?” โหจื่อหัวเราะ

มู่เสี่ยวไป๋มีสีหน้าขมขื่น “พี่ชาย คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม มีที่ไหนกันที่จะมายิงตัวเองแบบนี้”

“พูดไปก็ถูก อย่างนั้นถ้าฉันแพ้ ฉันไม่สู้ต่อแล้วเป็นไง”

โหจื่อพยักหน้าและพูดขึ้น “มา เริ่มเกมกันเถอะ”

“เป่ายิ้งฉุบ…”

ทันทีที่โหจื่อพูดจบ มู่เสี่ยวไป๋ก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันที

“ทำไม นายไม่ชอบเล่นเกมกับฉันหรือไง” โหจื่อมีสีหน้าเย็นชา เขาหันปากกระบอกปืนเข้าจ่อระหว่างคิ้วของมู่เสี่ยวไป๋ “ฉันอุตส่าห์ไว้หน้านายแล้ว ยอมให้นายมาเล่นเกมกันฉัน แต่นายยังปฏิเสธ?”

“ไม่เล่นใช่ไหม?”

โหจื่อพูดอย่างเย็นชา “ถ้านายไม่เล่น ฉันจะถือว่านายแพ้แล้ว”

เสียง ปัง ดังขึ้น

เสียงดังขึ้น พร้อมกับมู่เสี่ยวไป๋ที่ก้มตัวลงไป

เป็นการเลียนเสียง

เสียงนี้ เหมือนกระสุนปืน แต่กลับเป็นเสียงที่ออกมาจากปากของโหจื่อ

โหจื่อไม่ได้ยิงออกไป แต่กลับทำให้มู่เสี่ยวไป๋ตกใจขั้นสุด

กางเกงของมู่เสี่ยวไป๋เปียกชื้น ถ้าเมื่อครู่เขายิงออกไปจริงๆ ตอนนี้มู่เสี่ยวไป๋เกรงว่าจะลงนรกไปแล้ว

มู่เสี่ยวไป๋อ้าปากค้าง เขาหมอบลงกับพื้น ผ่านไปเนิ่นนานจึงพูดพึมพำกับตัวเอง “ฉันไม่ตาย…ฉันไม่ตายจริงๆ”

มู่เสี่ยวไป๋หัวเราะขึ้นมา

“เมื่อกี้ฉันแค่พูดเล่น ๆ กับนาย ไม่ได้ยิงออกไปสักหน่อย คุณชายมู่ ดูนายสิ ตกใจเสียจนสภาพเป็นแบบนี้ไปแล้ว” “โหจื่อเอื้อมมือไปคว้าปกคอเสื้อของมู่เสี่ยวไป๋แล้วดึงเขาขึ้นมา

จากนั้น ปากกระบอกปืนก็เล็งไปที่มู่เสี่ยวไป๋อีกครั้ง

โหจื่อเอ่ยปาก “เมื่อกี้ก็แค่ล้อเล่น แต่ครั้งนี้ไม่เล่นกับนายแล้ว มา เป่ายิ้งฉุบ ชนะสามในสามเกม ถ้านายชนะ ฉันจะปล่อยนายไป แต่ถ้านายแพ้ ฉันจะระเบิดสมองนายซะ”

“มาเถอะ”

หัวใจของมู่เสี่ยวไป๋เต้นแรงขึ้น คนทั้งคนตัวอ่อนยวบขึ้นมาทันที

“พี่ชาย ไม่ถูกสิ คุณชาย นายช่วยละเว้นฉันเถอะ ฉันคำนับให้นายสองทีก็ได้?” มู่เสี่ยวไป๋ยังไม่อยากตาย

คนที่ยิ่งรวย ก็ยิ่งกลัวตาย

พูดจบ มู่เสี่ยวไป๋ก็คุกเข่าลงบนพื้น จากนั้นจึงแล้วกระแทกหัวตัวเองไปทางโหจื่อสองที

หลี่ฝางเห็นฉากนี้ เขากลับไม่ได้ดูหมิ่นมู่เสี่ยวไป๋ ในเมื่อท้ายที่สุดแล้ว ในช่วงวิธีแห่งความเป็นความตาย อะไรก็ล้วนเข้าใจได้ทั้งนั้น

เทียบกับความตายแล้ว แค่คุกเข่าคำนับจะนับเป็นอะไรได้

“คุณชายมู่ นายทำอะไรน่ะ ฉันรับไว้ไม่ไหวหรอก มา รีบลุกขึ้นเถอะ”

โหจื่อรีบพยุงมู่เสี่ยวไป๋ขึ้นมา อันที่จริงในตอนนี้ มู่เสี่ยวไป๋คำนับให้โหจื่อไปมากกว่าห้าหรือหกครั้งแล้ว

มู่เสี่ยวไป๋ดึงสีหน้าเกรี้ยวกราด “คุณชาย ฉันคำนับให้นายไปแล้ว ตอนนี้นายปล่อยฉันไปสักครั้งได้รึเปล่า?”

“นายดูนายสิ คุณชายมู่อันใหญ่โต ทำไมถึงได้ไม่เคารพตัวเองขนาดนี้ สถานะของนายออกจะสูงขนาดนั้น ถึงกับมาก้มหัวให้กับคนตระกูลหลี่คนหนึ่งอย่างฉัน หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป หึหึ ฉันจะมีหน้ามีตาขนาดไหนกัน” โหจื่อพูดออกมาอย่างไม่อายปาก

มู่เสี่ยวไป๋หน้าดำคร่ำเครียด ตอนนี้มันเวลาไหนแล้ว ใครจะมาสนใจเรื่องพวกนี้กัน

“ฉันถามนาย แม่ของพี่โจว นายยังจะคิดเอาเธอไปโยนทิ้งข้างถนนอยู่หรือไม่?” โหจื่อถาม

“ไม่แล้ว ไม่แล้ว” มู่เสี่ยวไป๋รีบส่ายหัว

“อืม แบบนี้ถึงจะถูก พี่โจวอุทิศตัวเองให้กับตระกูลมู่ของพวกนายไปตั้งเท่าไหร่ เขาใช้หยาดเหงื่อไปไม่น้อยกว่าที่ตระกูลมู่ของพวกนายจะตั้งตัวขึ้นมาได้ จะมาเสร็จทำตัวเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลแบบนี้ไม่ได้ เข้าใจไหม?” โหจื่อจับไหล่มู่เสี่ยวไป๋และเอ่ยสั่งสอน

มู่เสี่ยวไป๋พยักหน้าและตกปากรับคำทันที “คุณชาย นายวางใจได้ ฉันรับประกันว่าจะดูแลแม่ของเสี่ยวโจวเป็นอย่างดี ไม่ให้เธอต้องทุกข์ทนเลยแม้แต่น้อย”

“อืม แบบนี้ถึงจะถูก ดูแลให้เหมือนแม่ตัวเอง เข้าใจรึเปล่า?”

โหจื่อยิ้มและเอ่ย “เอาเถอะ นายไปเถอะ”

“ขอบคุณคุณชาย ขอบคุณ” ในที่สุดมู่เสี่ยวไป๋ก็โล่งใจ

หลี่ฝางเองก็รู้สึกโล่งใจเหมือนกัน อันที่จริงหลี่ฝางก็กลัวอยู่บ้าง เกิดเจ้าโหจื่อหน้าเลือดขึ้นมากะทันหัน และยิงมู่เสี่ยวไป๋ไปจริงๆ อย่างนั้นทั้งรีสอร์ตคงต้องแบกรับความผิดนี้ไว้แล้ว

เมื่อครู่หลี่ฝางได้ยินส้าวส้วยเอ่ย โหจื่อคนนี้ ก่อนหน้านี้คร่าชีวิตคนไปแล้วเจ็ดแปดคน ที่ตงไห่

แม้ว่าหลี่ฝางจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น

แต่หลี่ฝางก็รู้ชัดอย่างหนึ่งว่า เจ้าโหจื่อนี่ เป็นปีศาจกระหายเลือด

เรื่องที่ทำ ไม่มียั้งมือเลยแม้แต่น้อย

มู่เสี่ยวไป๋ หมาทิเบตัน และเจ้าหัวแบนเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ โหจื่อก็ร้องขึ้นมา “หยุด!” ”

“คุณชาย ยังมีอะไรอีก?” มู่เสี่ยวไป๋หันหน้ามา เขามองไปที่โหจื่อด้วยความหวาดกลัว

“ไปตายซะ”

โหจื่อยืนอยู่ข้างหลังมู่เสี่ยวไป๋ และเหนี่ยวไกเล็งไปที่ศีรษะโดยตรง

ฉึก สายน้ำพุ่งออกมา และฉีดพ่นลงบนใบหน้าของมู่เสี่ยวไป๋ทันที

วินาทีที่เหนี่ยวไก หลี่ฝางตกใจอย่างยิ่ง ส่วนมู่เสี่ยวไป๋นั้นตกใจจนวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว จากนั้นเขาถึงค่อยเข้าใจขึ้นมา

ที่แท้ปืนในมือของโหจื่อ คือปืนฉีดน้ำ

มันไม่ใช่ปืนจริง

ในตอนนี้ มู่เสี่ยวไป๋ถึงค่อยตระหนักได้ว่าเขาถูกเล่นงานเข้าแล้ว

ปืนฉีดน้ำอันหนึ่ง ตนเองถึงกับต้องคุกเข่าให้คนอื่นจริงหรือ?

พูดตามตรง โหจื่อไม่เพียงแต่หลอกมู่เสี่ยวไป๋ เขาหลอกทุกคนด้วย แม้กระทั่งส้าวส้วยและหมาทิเบตันก็ยังหลงกล

สีหน้าของมู่เสี่ยวไป๋เปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมา

เขากัดฟันแน่น ดวงตาจับจ้องไปที่โหจื่ออย่างแน่นิ่ง เขาเอ่ยสั่งเสี่ยวโจวและหมาทิเบตัน “ฆ่ามันซะ!”

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท