บทที่332 มู่เสี่ยวไป๋ทั้งนึ่งทั้งทอด
มู่เสี่ยวไป๋พูดว่าหูตัวเองขาดไป ก็เพราะอยากบอกปู่ของตัวเอง ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น
มู่เจิ้งถังใจเย็นกว่าที่มู่เสี่ยวไป๋จินตนาการไว้ซะอีก ไม่ดูโมโห และพูดจาโผงผางเลย
มู่เสี่ยวไป๋ในตอนนี้ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ
ตัวเองใช่หลานชายแท้ๆหรือเปล่า?
หูของตัวเองขาดไปแล้ว ตอบสนองหน่อยไม่ได้เหรอไง?
“ปู่ผมอยากคุยกับคุณ”สุดท้าย มู่เสี่ยวไป๋ก็เอาโทรศัพท์ให้โหจื่ออย่างหดหู่
มู่เสี่ยวไป๋รู้สึกกลัวมาก ถ้าปู่ตัวเองไม่ยอม งั้น……ตัวเองจะทำไง?
โหจื่อรับโทรศัพท์มา ถามออกไปว่า:“ฮัลโหล นี่นายท่านมู่หรือเปล่า?”
“คือเรื่องเป็นแบบนี้ หลานชายคุณค่อนข้างนับถือผม พอเจอหน้าก็ก้มหัวเรียกผมว่าท่าน แล้วก็ จะเอาเงินห้าร้อยล้านให้ผมให้ได้ กลัวชีวิตครึ่งหลังของผมจะไม่มีเงินใช้……ผมน่ะ ก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของหลานชายท่าน ขอถามหน่อยสิ คุณจะให้เงินสด โอนบัญชี โอนAlipay หรือว่าวีแชท”
“อย่าเติมเงินค่าโทรให้ผมล่ะ ไม่งั้นผมได้โทรสุรุ่ยสุร่ายแน่”โหจื่อเยาะเย้ยอย่างร้ายกาจ
เวลานี้เอง โหจื่อไม่มีความซีเรียสเลยสักนิด
เห็นโหจื่อขี้เล่นแบบนี้ มู่เจิ้งถังก็หัวเราะตาม:“น้องชาย คุณอายุเท่าไหร่?”
“ทำไม นายท่านมู่ จะหาคู่ให้ผมเหรอ พอดีเลย ผมอายุยี่สิบห้าปี โสดอยู่พอดี น่าเสียดายที่ไม่มีเงิน ไม่มีรถ ไม่มีบ้าน หน้าตาก็ดีนิดหน่อย แต่สมัยนี้ ผู้หญิงน่ะ เห็นแก่ผลประโยชน์ หน้าตาหล่อเหลาแล้วจะทำไรได้ สังคมนี้ไม่มีความละอายแล้ว เห็นแก่เงิน ดังนั้น นายท่านมู่ได้โปรดเมตตาช่วยผม ให้เงินผมหน่อย ทำให้ผมหาภรรยาได้ ผมจะได้สืบทอดสกุลต่อไป”
ถ้าไม่ใช่ว่ามู่เสี่ยวไป๋บอกมาว่า หูตัวเองขาด มู่เจิ้งถังก็คิดว่าเจอคนสติไม่ดีเข้าให้แล้ว
“ก็แค่หาภรรยา ไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนั้นหรอก”
มู่เจิ้งถังได้แต่ยิ้มบางๆ พูด:“ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าน้องชายมีปัญหาอะไรกับหลานชายผม แต่สุภาษิตว่าไว้ว่า หากละความแค้นจากศัตรูก็จะกลายเป็นมิตร แบบนี้ดีไหม คุณชอบพอสาวบ้านไหน บอกผมมา ผมจะสู่ขอถึงที่ให้คุณ พอพวกคุณแต่งงาน ก็ให้เงินอั่งเปาแต่งงานห้าล้านแก่พวกคุณคู่รักใหม่ ว่าไง?”
“แน่นอนว่า รถ บ้านอะไรก็ตาม ถ้าฝ่ายหญิงขอ ผมก็จะเตรียมให้คุณ”
ห้าร้อยล้าน!
คดีขู่กรรโชกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียนี้ ก็เพิ่งจะพันล้าน
อีกอย่างพันล้านนี้ ขู่กรรโชกคนรวยที่สุดในเอเชีย ซึ่งตระกูลมู่ สู้หนึ่งในร้อยของคนรวยในเอเชียไม่ได้เลย แล้วจะไปให้เงินขู่กรรโชกที่สูงขนาดนี้ได้อย่างไร
นี่มันล้อเล่น
โหจื่อได้ยิน ได้แต่หัวเราะหึหึ:“นายท่านมู่ ในเมื่อคุณพูดแบบนี้แล้ว ถ้าผมไม่รับ คงทำคุณเสียหน้าแย่ พอดีเลย ผมชอบผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ……”
“อ้อ?ไม่รู้ว่าสาวบ้านไหนช่างเป็นเกียรติได้ขนาดนี้ ถึงได้ถูกน้องชายชอบได้ บอกชื่อเธอมาสิ ตอนนี้ผมจะไปสู่ขอให้เลย ผมเชื่อว่า ผมมู่เจิ้งถังแห่งเมืองเอก ยังมีหน้ามีตาอยู่”มู่เจิ้งถังได้ยิน คิดว่าเรื่องน่าจะเปลี่ยนไป จึงรีบพูด
ที่บอกว่าสู่ขอ มู่เจิ้งถังไม่ได้ให้ความสำคัญขนาดนั้น
เขาก็แค่ขอไปทีโหจื่อเท่านั้น หยุดโหจื่อไว้ พอโหจื่อปล่อยหลานชายเขา เขาก็ค่อยพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
โหจื่อหัวเราะ พูดว่า:“นายท่านมู่ หญิงสาวคนนี้ไม่ได้อยู่ในเมือง”
“งั้นอยู่ไหน?”
“ต่างประเทศ……ไมรู้ว่าไปต่างประเทศ หน้าของนายท่านมู่ จะคุ้มค่ากับเงิน มีหน้าหรือไม่?”โหจื่อขำอย่างดูถูก
“บอกตรงๆนะ นายท่านมู่ สายตาผมสูงส่งเกินไป ดันไปชอบลูกสาวของจักรพรรดินี ชื่ออะไรองค์หญิงYavin นายท่านมู่ลำบากหน่อยนะ ผมจะเอาที่อยู่บ้านของเธอให้คุณ คุณช่วยไปถามดูให้ผมได้ไหม?”
โหจื่อพูดอย่างไร้ยางอาย เสียงของมู่เจิ้งถัง เริ่มโมโหแล้ว:“เด็กนี่ คุณหลอกผมเหรอ?”
“นายท่านมู่ ผมไม่ได้หลอกคุณจริงๆ ผมชอบองค์หญิงYavinนั่นจริงๆ เรื่องสินสอดอะไรนั่น ค่อนข้างหนัก พูดจริงๆนะ เอากับคุณห้าร้อยล้าน มันไม่พอด้วยซ้ำ ผมยังต้องหาด้วยตัวเองอีกร้อยล้าน เห้อ ผิดที่ผมเอง ชอบใครไม่ชอบ ดันไปชอบองค์หญิง กดดันมากๆ”
โหจื่อถอนหายใจ พูดด้วยใบหน้าจริงจัง
แม้แต่หลี่ฝางยังมองไม่ออกว่าโหจื่อพูดนี่เรื่องจริงหรือล้อเล่น
ยังไงซะมู่เจิ้งถังไม่เชื่อแน่นอน มู่เจิ้งถังพูดด้วยเสียงเย็นชา:“ไม่รู้ว่าน้องชายนามสกุลอะไร ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เผชิญอยู่กับเทพบุตรในวังที่ไหน เตือนผมหน่อยได้หรือไม่”
“นายท่านมู่ สรรเสริญผมไปแล้ว ผมไม่ใช่เทพบุตรในวังอะไรหรอกนะ ผมแค่คนข้างถนน ไม่มีคนในครอบครัวสักคน ตอนนี้ทำงานให้คนๆหนึ่ง”
“ทำงานให้ใคร?”มู่เจิ้งถังถามต่อ
“ตระกูลหลี่ไง นายท่านมู่ งั้นคุณให้เงินเดือนผมสูงหน่อยไหมล่ะ ผมจะได้ไปทำงานให้คุณ?หึหึ ช่างมันเถอะ เดี๋ยวผมก็ได้ห้าร้อยล้านแล้ว จะทำงานทำห่าอะไร”
“ห้าร้อยล้าน คุณนี่กล้าพูดจริงนะคำนี้ คนทางตระกูลหลี่ มีความอายมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”มู่เจิ้งถังหัวเราะอย่างเย็นชาโดยไม่ปริปากพูด:“น้องชาย คุณรู้จักประโยคนี้ไหม เงินเยอะไปก็ลวกใส่มือ?”
“นายท่านมู่ กลับกันหรือเปล่า ผมได้ยินแค่ว่าเงินเยอะไม่บาดมือ ทำไม นายท่านมู่คิดจะให้แบงค์กาโม่ผมห้าร้อยล้านเหรอ?เอามาให้ผมเผา?ถ้าแบบนั้น ก็ลวกมือจริงๆแหละ”
“ช่างเถอะ นายท่านมู่ ผมว่าคุณเอาห้าร้อยล้านนั่น มาไถ่ตัวหลานชายของคุณเถอะ”
พูดจบ โหจื่อบีบคอมู่เสี่ยวไป๋ เอาโทรศัพท์คืนมู่เสี่ยวไป๋
โหจื่อหยิบปืนออกมา เอาปืนไปจ่อที่หัวของมู่เสี่ยวไป๋:“มู่เสี่ยวไป๋ คุณเป็นหลานแท้ๆหรือเปล่าเนี่ย แม้แต่ห้าร้อยล้านก็ไม่มีค่าพอ?ของที่ไม่มีมูลค่าแบบนี้ ผมว่าลงมือให้จบๆไปเลยดีกว่า”
“เดี่ยว เดี๋ยว!”
มู่เสี่ยวไป๋กลืนน้ำลาย ในสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ยังต้องรออะไรอีก?ปู่คุณแม้แต่ห้าร้อยล้านก็ยังไม่ให้ งั้นก็มีแค่ให้ปู่คุณเตรียมโลงศพละกัน”โหจื่อชักหน้าใส่ พูดเสียงหม่น
“ปู่ผมบอกว่าห้าร้อยล้านมากไปจริงๆ สองร้อยล้านเป็นไง?”มู่เสี่ยวไป๋รีบพูด
“บอกปู่คุณนะ อยากต่อรองนักก็ไปตลาดขายผัก ที่นี่ผมไม่ใช่ตลาดขายผัก”โหจื่อทำเสียงฮึดฮัด
“มู่เสี่ยวไป๋ ผมสงสัยจริงๆว่าพ่อคุณมีลูกนอกสมรสอยู่ข้างนอกหรือไง คุณบอกว่าพี่ชายคุณเป็นคนพิการ ไม่สามารถเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ ถ้าคุณวาง ทายาทตระกูลมู่ก็ไม่มีอีกแล้ว คุณเป็นถึงหัวหน้าครอบครัวตระกูลมู่ในอนาคต ทำไม หัวของหัวหน้าครอบครัวตระกูลมู่นี้ ไม่คุ้มค่ากับห้าร้อยล้าน?หรือจะพูดว่าพ่อคุณยังหนุ่มอยู่ จะมีลูกกับแม่คุณอีกสักคน?”
“ช่างเถอะ เรื่องครอบครัวของตระกูลพวกคุณ ผมขี้เกียจจะสนใจแล้ว”
“นับถอยหลังนะ สาม สอง หนึ่ง……”
โหจื่อนับถอยหลังอยากทนไม่ไหว เวลานี้เอง ใบหน้าของมู่เสี่ยวไป๋ ก็พูดได้ว่าเหงื่อไหลเป็นทาง
“ปู่ผมรับปากแล้ว”ไม่รอให้มู่เจิ้งถังพูด มู่เสี่ยวไป๋ก็พูดเลย
“ปู่ครับ ผมตายไม่ได้ ถ้าผมตาย ตระกูลมู่ก็ไม่มีผู้สืบทอดแล้ว ห้าร้อยล้าน ตระกูลมู่ของเรา จะไม่มีห้าร้อยล้านเลยเหรอ?”มู่เสี่ยวไป๋พูดกับมู่เจิ้งถังในสาย
“ผมต้องการเวลา อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์”มู่เจิ้งถังพูดอย่างสบายๆ
“ปู่ผมบอกว่าหนึ่งอาทิตย์”มู่เสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกผิด มองโหจื่อ
โหจื่อแย่งโทรศัพท์ในมือของมู่เสี่ยวไป๋ พูด:“ฮัลโหล มู่เจิ้งถัง จะถ่วงเวลาอะไรผมเหรอ?คิดว่าผมมองคุณไม่ออกเหรอไง?ที่ดินที่ถนนชิงหลงนั่น ผมรู้ว่าคุณวางแผนจะจ่ายเสนอราคาไปห้าร้อยล้าน หมายความว่าในกระเป๋าของคุณมีอยู่ห้าร้อยล้าน”
“ทำไม แค่ที่ผืนเดียว หรือว่ามีมูลค่ายิ่งกว่าชีวิตของหลานชายคุณ?”
“พอละ ไม่ไร้สาระกับคุณต่อละ รีบเอาเงินมาที่สถานตากอากาศ ถ้าคืนนี้ผมไม่เห็นห้าร้อยล้าน งั้นผมก็จะให้คุณดูว่าอะไรที่เรียกว่า มู่เสี่ยวไป๋ทอดใส่น้ำมัน”
โหจื่อหัวเราะอย่างเยือกเย็น:“วางใจเถอะ ผมจะเหลือให้คุณหน่อยก็ได้ ส่งไปถึงบ้านคุณ”
“ผิวนุ่มๆขาวๆของหลานชายคุณ ที่จริงเอาไปนึ่งก็ได้นะ”
โหจื่อพูดจบ ก็วางสาย
มู่เจิ้งถังหน้าถอดสี เขาไม่เคยเห็นนักเลงที่เย่อหยิ่งได้เช่นนี้มาก่อน
มู่เจิ้งถังหยิบโทรศัพท์ออกมา โทรไปเบอร์หนึ่ง:“ไปเปิดตู้เซฟ เอาห้าร้อยล้านนั้นออกมา!”
เป็นทั้งของทอด และก็เป็นทั้งของนึ่ง จนทำเอามู่เสี่ยวไป๋ตกใจ โหจื่อตบหน้าของมู่เสี่ยวไป๋:“ใจเย็นหน่อย กลัวอะไร ปู่คุณรับไม่ได้หรอกที่จะให้คุณตาย วางใจเถอะน่า”