NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 570 ช่วยเหลือเฉินฝูเซิง

บทที่ 570 ช่วยเหลือเฉินฝูเซิง

“น่าสงสัยยังไง?” หลี่ฝางถามด้วยความสงสัย

“รถพยาบาทคันนี้ ตอนที่ขับผ่านอุโมงค์ จอดอยู่ข้างในเกือบสิบนาที แถมอุโมงค์นั้น ระยะทางมันแค่ไม่กี่สิบเมตรเท่านั้นเอง ถ้าเกิดรถพยาบาทคันนี้ไม่มีปัญหาอะไรล่ะก็ งั้นปัญหาก็อยู่ในตัวของคนที่อยู่บนรถ”

“ฉันคิดว่า หมอพวกนั้น แล้วก็คนขับรถ คงจะไม่กล้าฆ่าคนหรอก”

หูเฟยพูดเลขทะเบียนรถออกมา “นี่เป็นรถฟอร์ดสีแดง รถคันนี้ก็เหมือนกับรถพยาบาทคันนั้น จอดอยู่ที่อุโมงค์นั้น จอดอยู่ราวๆสิบนาที”

“คุณหมายความว่า ฆาตกรรมที่แท้จริง ความจริงแล้วคือคนที่อยู่บนรถฟอร์ดสีแดง” หลี่ฝางทำหน้าตึงเครียด

“ฉันไม่มีหลักฐาน ไม่สามารถพูดส่งเดชได้”

หูเฟยพูดเบาๆว่า “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”

“ฉันคิดว่า ถ้าหารถฟอร์ดสีแดงนี้ได้ ก็จะสามารถหาตัวฆาตกรรมได้ ฉันเคยส่งคนไปสืบหารถคันนี้แล้ว แต่กลับไม่พบอะไร แต่ว่า มีอยู่บางสถานที่ ที่มักจะถ่ายภาพของรถขับนี้ได้ อีกเดี๋ยวฉันจะเอาที่อยู่ ส่งไปให้กับคุณ”

หลี่ฝางหัวเราะ ยื่นมือออกไป หันไปพูดกับหูเฟย “ยินดีที่ได้ธุรกิจด้วย”

“ยินดีเช่นกัน” หูเฟยพยักหน้ารับ จากนั้นก็รีบออกจากรถ

หลังจากที่หูเฟยลงจากรถ ก็รีบตรงไปที่บ้านของหวางหยวนหยวน ส้าวส้วยหัวเราะ “ไอ่เจ้าหูเฟย ดูท่าจะไม่ได้โง่ซะเท่าไหร่”

“เมื่อกี้ต่อให้คุณจะไม่พูดอะไร คิดว่าข้อมูลเหล่านี้ เขาก็คงจะบอกคุณอยู่แล้ว” ส้าวส้วยพูด

หลี่ฝางพยักหน้า เขาเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน

เพราะว่าข้อมูลเหล่านี้ ล้วนสามารถเอามาช่วยเหลือเฉินฝูเซิงได้

“มีวิธีติดต่อหาลูกน้องของเฉินฝูเซิงไหม?” หลี่ฝางเปิดปากถาม

ส้าวส้วยส่ายหัว “รอผมสักครู่”

ผ่านไปไม่นาน ส้าวส้วยก็ส่งข้อความไปให้กับหลี่ฝาง “ส่งเบอร์ให้กับคุณแล้ว คนๆนี้มีชื่อว่าจูเปิ่น เรียกได้ว่าเป็นคนใกล้ตัวที่มีสมองมากที่สุดของเฉินฝูเซิงแล้ว”

หลี่ฝางกดโทรไปหาเบอร์นี้ทันที พอติดต่อได้ จูเปิ่นก็ถามด้วยเสียงที่เย็นชา “แกเป็นใคร?”

“หลี่ฝาง……” หลี่ฝางบอกชื่อของตัวเองออกไป

“ที่แท้ก็คุณชายหลี่นี้เอง ฮ่าๆ คุณชายหลี่ ท่านมีข่าวดีอะไรจะมาบอกกับผมรึเปล่า?” จูเปิ่นถามด้วยเสียงหัวเราะ

แม้ว่าเสียงของจูเปิ่นกำลังหัวเราะ แต่หลี่ฝางก็ฟังออกว่า ทางด้านจูเปิ่น คงจะไม่ได้สบายขนาดนั้น

“ฮ่าๆ แกรู้ได้ยังไงว่าฉันมาเพื่อส่งข่าวดีให้กับแก”

“คุณชายหลี่ ถ้าเกิดไม่มีข่าวดีอะไร ท่านคงไม่โทรมาหาผมหรอก จะบอกคุณตรงๆก็แล้วกัน ทางด้านนี้กำลังร้อนรนจนจะตายแล้ว หมอพวกนี้ แทบจะถูกพวกเราทรมานจนจะตายอยู่แล้ว แต่ว่าพวกเขากลับไม่ยอมบอกอะไร ดูเหมือนว่า อีกฝ่ายคงจะข่มขู่โดยเอาครอบครัวของพวกเขาเป็นตัวประกัน” จูเปิ่นพูดด้วยเสียงที่เย็นชา “อีกฝ่ายใช้วิธีที่สกปรก ถ้าเกิดผมหาเจอล่ะก็ ผมกะจะทรมานพวกเขาให้ตายไปเลย”

“ฟอร์ดสีแดง ทะเบียนรถ XXXXX สถานที่มักพบบ่อย ฉันจะส่งที่อยู่ไปให้ที่โทรศัพท์ของแก” หลี่ฝางพูดอย่างช้าๆ

“คนที่อยู่บนรถ คือตัวการ” หลี่ฝางบอก

“ขอบคุณคุณชายหลี่ พอคุณชายของพวกเราออกมา พวกเราจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงคุณเอง” จูเปิ่นพูดจบด้วยเสียงหัวเราะ จากนั้นก็กดวางสายทันที

พอกดวางสาย จูเปิ่นก็หันไปมองคนที่อยู่บนพื้น สีหน้าเย็นชาขึ้นมาในทันที “ฉันจะถามพวกแก รถฟอร์ดสีแดงคันนั้น คนที่อยู่ข้างในเป็นใคร?”

พอจูเปิ่นพูดจบประโยค สีหน้าของหมอพวกนั้น ก็ซีดลงในทันที

“ดูเหมือนว่า ข่าวที่คุณชายหลี่บอกมา จะเป็นความจริง” จูเปิ่นปิดตาแล้วยิ้มออกมา จากนั้นก็พูดว่า “ยังไม่คิดจะบอกความจริงกับฉันอีกงั้นเหรอ? ฮ่าๆ ที่นี่เป็นโรงบาล เป็นถิ่นของพวกแก คิดว่าฉันจะไม่กล้าฆ่าพวกแกใช่ไหม?”

จูเปิ่นไอไปหนึ่งที “ถูกแล้ว ฉันไม่กล้าทำจริง”

“พวกแก ล้วนไม่ใช่คนที่ดูแข็งแรงอะไร แต่ขนาดซ้อมพวกแกจนขนาดนี้แล้ว พวกแกยังไม่ยอมเปิดปากพูดซะคำ ดูเหมือนว่า คนพวกนั้นคงจะขู่ฆ่าคนในครอบครัวพวกแกเอาไว้ซินะ”

“คิดว่าฉันเป็นคนอ่อนหัดใช่ไหม?”

“เสี่ยวซานจื่อ จดเลขบัตรประชาชนของพวกเขาเอาไว้ จากนั้นลองตรวจสอบดูว่าครอบครัวของพวกเขาอยู่ที่ไหน มีสมาชิกกี่คน จากนั้นก็ส่งคนไปจับมา แล้วสับให้หมากิน”

สีหน้าของจูเปิ่น เย็นชาขึ้นมาทันที “หมาของพวกเรา ไม่ได้กินเนื้อมาหลายวันแล้ว คงถึงเวลาที่จะให้อาหารกับพวกมันแล้ว”

หลังจากที่จูเปิ่นพูดจบ ลูกน้องของเขา ก็เริ่มทำตามทันที

ทันใดนั้น หมอพวกนั้นก็ตกใจจนหน้าถอดสี

“ลูกพี่ ลูกพี่ ขอร้องล่ะอย่าทำแบบนั้นเลย พวกเราก็แค่คนธรรมดาทั่วไป ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกของพวกพี่ได้ มีเรื่องบางเรื่องที่ต่อให้พวกเราพบเห็น ก็ไม่กล้าพูดมันออกไป ถ้าเกิดเผลอพูดออกไป ก็อาจจะนำความซวยมาหาพวกเราก็ได้”

“คนพวกนั้นมีรอยสัก สักเป็นรูปแมงป่อง อยู่ที่แขนซ้าย ทุกคนมีเหมือนกัน พวกเขาค่อนข้างจะโหดร้าย แถมลงมือหลักอีกด้วย แค่ไม่กี่หมัดก็ทำให้คนไข้คนนั้นถึงกลับเสียชีวิต”

“ลูกพี่ ขอร้องล่ะอย่าทำอะไรครอบครัวของพวกเราเลย พวกเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย”

จูเปิ่นยิ้ม ถ่ายหน้าของคนตรงหน้าด้วยความพอใจ แล้วพูดว่า “ไม่เพียงแค่ครอบครัวของพวกแกที่เป็นผู้บริสุทธิ์ พวกแกเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ใช่เหรอ?”

จูเปิ่นส่งสายตาไปให้กับเสี่ยวซานจื่อ เสี่ยวซานจื่อก็รีบหยิบถุงเงินออกมา น่าจะมีราวๆหลายแสนล่ะมั้ง

“นี่เป็นค่าทำขวัญสำหรับพวกแก” เสี่ยวซานจื่อพูดน้ำเสียงเหยียดหยาม และแฝงความโกรธไปด้วย

พวกคุณหมอไม่มีใครกล้าไปหยิบเงินของจูเปิ่น โบกมือปฏิเสธ จูเปิ่นทำหน้าตึงเครียด “ทำไม ให้เงินแล้วยังไม่เอาอีก คิดจะแจ้งตำรวจรึไง?”

“ไม่แจ้ง ไม่แจ้ง วางใจได้ ลูกพี่” พวกคุณหมอพูดออกไปด้วยความกลัว

“งั้นอีกเดี๋ยวพอพวกแกไปเจอกับเพื่อนร่วมงาน จะอธิบายแผลบนหน้า กับแผลตามตัวยังไง พวกเขาจะสงสัยรึเปล่า? พวกเราเพิ่งออกมาจากห้องทำงานของพวกแก ตามตัวของพวกแก ก็เกิดรอยแผลขึ้นมา ที่นี่เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด ถ้าเกิดพวกเขาแจ้งความแถมพวกแกล่ะ?” จูเปิ่นทำหน้าตึงเครียดพร้อมกับความเย็นชา

“อีกเดี๋ยวพวกเราจะสวมหน้ากาก จากนั้นก็กลับบ้าน พอถึงบ้านก็ขอลาหยุดกับหัวหน้า ท่านคิดว่ายังไง?” หมอมองไปยังจูเปิ่น พูดจาด้วยน้ำเสียงขอร้อง

จูเปิ่นพยักหน้า “เก็บเงินเอาไว้เถอะ วางใจได้ พวกเราเองก็มีกฎของตัวเอง พวกเราเองก็ไม่อยากจะลงมือกับพวกแก แต่ว่า เรื่องในครั้งนี้ พวกแกเป็นผู้เห็นเหตุการณ์”

พอจูเปิ่นพูดจบ ส่งสายตาไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ในหมู่พวกแก ใครสายตาดีที่สุด?”

“ดูพวกแกแต่ละคนสิต่างก็ใส่แว่นตา ราวกับคนที่อ่านหนังสือมาเยอะ”

พวกคุณหมอมองไปยังหนุ่มน้อยคนนึง จูเปิ่นชี้ไปที่หนุ่มคนนี้ “ทำงานให้ฉันซะอย่าง”

“ลูกพี่ พวกคุณต้องการให้ผมทำอะไรงั้นเหรอ?” หนุ่มคนนี้พูดออกไปด้วยความกลัว จากนั้นก็กลืนน้ำลาย

พวกจูเปิ่น แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ใช่คนดีอะไร แถมเมื่อกี้ก็ลงมือค่อนข้างหนัก แถมยังข่มขู่ครอบครัวของพวกเขาอีก

พวกคุณหมอ สายตาที่มองพวกจูเปิ่น มีเพียงแค่ความหวาดกลัว

จูเปิ่นพูดด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด “รู้ไหมว่าพวกแกทำอะไรผิด? รวมหัวกันพูดโกหก เพราะงั้นจะให้โอกาสพวกแกสักครั้ง โอกาสในการถ่ายโทษ ร่วมมือกับฉันเพื่อหาคนร้ายที่แท้จริง แล้วช่วยคุณชายของพวกเราออกมา”

จูเปิ่นมองไปยังหนุ่มคนนั้น แล้วพูดว่า “ฉันจะไม่บังคับให้แกตามพวกฉันมา แต่ฉันก็ยังหวังว่าแกจะตามมาด้วย ไม่งั้นล่ะก็ ถ้าเกิดแกมีแฟนสาว ก็รีบโทรไปบอกเธอว่าให้หนีไปซะ แล้วก็คนในครอบครัว ก็รีบบอกให้เธอไปหลบซ่อมซะ”

“คนที่ขับรถฟอร์ดสีแดงไม่ใช่คนดีอะไร แต่พวกเองก็ไม่ใช่คนดีเหมือนกัน”

จูเปิ่นทำหน้าตึงเครียด “ถ้าเกิดคุณชายของพวกเราต้องรับโทษในสิ่งที่ไม่ได้ทำ งั้นพวกแก แต่ละคนก็ต้องรับโทษเหมือนกัน”

“ทุกคำที่ฉันพูดออกมา ฉันทำได้ทั้งนั้น”

หลังจากที่จูเปิ่นพูดข่มขู่ ไอ่หนุ่มคนนั้นก็ค่อยๆยืนขึ้นมา จู่เปิ่นยิ้ม แล้วพูดว่า “ต้องแบบนี้สิ โชคยังดีที่เมื่อกี้ไม่ได้หักขาของแก อ่า ไม่งั้น ฉันคงต้องไปหาก้อนหินมา ทุบขาของตัวเองแน่เลย”

“ดูเสื้อผ้าของแกสิสกปรกหมดแล้ว รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ อีกอย่าง ตอนออกไปก็ใส่ผ้าปิดปากด้วย ถ้าเกิดมีคนเห็นแผลตรงตาของแก ก็บอกว่าแกเป็นคนทำเอง หน้าทางเข้าโรงบาท มีรถเบนซ์สองคัน พอไปถึงหน้ารถ ก็ยืนรออยู่ตรงนั้น อีกเดี๋ยวพวกเราจะออกไปหาแก”

“ฟังนะ ทำตัวว่านอนสอนง่าย แล้วทำตามที่บอก อย่าคิดจะเล่นตุกติก”

จูเปิ่นจ้องมองไอ่หนุ่มคนนี้อยู่พักนึง ไอ่หนุ่มคนนี้กลืนน้ำลายไปหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า “หลังจากที่พวกคุณทำงานเรียบร้อย จะปล่อยผมกลับไปจริงๆใช่ไหม?”

“วางใจเถอะ ขอเอาชีวิตเพื่อนร่วมงานของแกเป็นประกัน หลังจบเรื่องจะไม่ทำร้ายอะไรแกเด็ดขาด” จูเปิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็ทำสีหน้าที่เย็นชา

“รู้จักจุดยืนของตัวเองด้วย แกไม่มีสิทธิ์มาเสนอข้อเสนอกับฉัน ฉันพูดอะไร แกก็แค่ทำตาม ไม่อย่างงั้น”

จูเปิ่นยิ้มด้วยความเย็นชา “ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมากใช่ไหม

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท