“น่าสงสัยยังไง?” หลี่ฝางถามด้วยความสงสัย
“รถพยาบาทคันนี้ ตอนที่ขับผ่านอุโมงค์ จอดอยู่ข้างในเกือบสิบนาที แถมอุโมงค์นั้น ระยะทางมันแค่ไม่กี่สิบเมตรเท่านั้นเอง ถ้าเกิดรถพยาบาทคันนี้ไม่มีปัญหาอะไรล่ะก็ งั้นปัญหาก็อยู่ในตัวของคนที่อยู่บนรถ”
“ฉันคิดว่า หมอพวกนั้น แล้วก็คนขับรถ คงจะไม่กล้าฆ่าคนหรอก”
หูเฟยพูดเลขทะเบียนรถออกมา “นี่เป็นรถฟอร์ดสีแดง รถคันนี้ก็เหมือนกับรถพยาบาทคันนั้น จอดอยู่ที่อุโมงค์นั้น จอดอยู่ราวๆสิบนาที”
“คุณหมายความว่า ฆาตกรรมที่แท้จริง ความจริงแล้วคือคนที่อยู่บนรถฟอร์ดสีแดง” หลี่ฝางทำหน้าตึงเครียด
“ฉันไม่มีหลักฐาน ไม่สามารถพูดส่งเดชได้”
หูเฟยพูดเบาๆว่า “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
“ฉันคิดว่า ถ้าหารถฟอร์ดสีแดงนี้ได้ ก็จะสามารถหาตัวฆาตกรรมได้ ฉันเคยส่งคนไปสืบหารถคันนี้แล้ว แต่กลับไม่พบอะไร แต่ว่า มีอยู่บางสถานที่ ที่มักจะถ่ายภาพของรถขับนี้ได้ อีกเดี๋ยวฉันจะเอาที่อยู่ ส่งไปให้กับคุณ”
หลี่ฝางหัวเราะ ยื่นมือออกไป หันไปพูดกับหูเฟย “ยินดีที่ได้ธุรกิจด้วย”
“ยินดีเช่นกัน” หูเฟยพยักหน้ารับ จากนั้นก็รีบออกจากรถ
หลังจากที่หูเฟยลงจากรถ ก็รีบตรงไปที่บ้านของหวางหยวนหยวน ส้าวส้วยหัวเราะ “ไอ่เจ้าหูเฟย ดูท่าจะไม่ได้โง่ซะเท่าไหร่”
“เมื่อกี้ต่อให้คุณจะไม่พูดอะไร คิดว่าข้อมูลเหล่านี้ เขาก็คงจะบอกคุณอยู่แล้ว” ส้าวส้วยพูด
หลี่ฝางพยักหน้า เขาเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
เพราะว่าข้อมูลเหล่านี้ ล้วนสามารถเอามาช่วยเหลือเฉินฝูเซิงได้
“มีวิธีติดต่อหาลูกน้องของเฉินฝูเซิงไหม?” หลี่ฝางเปิดปากถาม
ส้าวส้วยส่ายหัว “รอผมสักครู่”
ผ่านไปไม่นาน ส้าวส้วยก็ส่งข้อความไปให้กับหลี่ฝาง “ส่งเบอร์ให้กับคุณแล้ว คนๆนี้มีชื่อว่าจูเปิ่น เรียกได้ว่าเป็นคนใกล้ตัวที่มีสมองมากที่สุดของเฉินฝูเซิงแล้ว”
หลี่ฝางกดโทรไปหาเบอร์นี้ทันที พอติดต่อได้ จูเปิ่นก็ถามด้วยเสียงที่เย็นชา “แกเป็นใคร?”
“หลี่ฝาง……” หลี่ฝางบอกชื่อของตัวเองออกไป
“ที่แท้ก็คุณชายหลี่นี้เอง ฮ่าๆ คุณชายหลี่ ท่านมีข่าวดีอะไรจะมาบอกกับผมรึเปล่า?” จูเปิ่นถามด้วยเสียงหัวเราะ
แม้ว่าเสียงของจูเปิ่นกำลังหัวเราะ แต่หลี่ฝางก็ฟังออกว่า ทางด้านจูเปิ่น คงจะไม่ได้สบายขนาดนั้น
“ฮ่าๆ แกรู้ได้ยังไงว่าฉันมาเพื่อส่งข่าวดีให้กับแก”
“คุณชายหลี่ ถ้าเกิดไม่มีข่าวดีอะไร ท่านคงไม่โทรมาหาผมหรอก จะบอกคุณตรงๆก็แล้วกัน ทางด้านนี้กำลังร้อนรนจนจะตายแล้ว หมอพวกนี้ แทบจะถูกพวกเราทรมานจนจะตายอยู่แล้ว แต่ว่าพวกเขากลับไม่ยอมบอกอะไร ดูเหมือนว่า อีกฝ่ายคงจะข่มขู่โดยเอาครอบครัวของพวกเขาเป็นตัวประกัน” จูเปิ่นพูดด้วยเสียงที่เย็นชา “อีกฝ่ายใช้วิธีที่สกปรก ถ้าเกิดผมหาเจอล่ะก็ ผมกะจะทรมานพวกเขาให้ตายไปเลย”
“ฟอร์ดสีแดง ทะเบียนรถ XXXXX สถานที่มักพบบ่อย ฉันจะส่งที่อยู่ไปให้ที่โทรศัพท์ของแก” หลี่ฝางพูดอย่างช้าๆ
“คนที่อยู่บนรถ คือตัวการ” หลี่ฝางบอก
“ขอบคุณคุณชายหลี่ พอคุณชายของพวกเราออกมา พวกเราจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงคุณเอง” จูเปิ่นพูดจบด้วยเสียงหัวเราะ จากนั้นก็กดวางสายทันที
พอกดวางสาย จูเปิ่นก็หันไปมองคนที่อยู่บนพื้น สีหน้าเย็นชาขึ้นมาในทันที “ฉันจะถามพวกแก รถฟอร์ดสีแดงคันนั้น คนที่อยู่ข้างในเป็นใคร?”
พอจูเปิ่นพูดจบประโยค สีหน้าของหมอพวกนั้น ก็ซีดลงในทันที
“ดูเหมือนว่า ข่าวที่คุณชายหลี่บอกมา จะเป็นความจริง” จูเปิ่นปิดตาแล้วยิ้มออกมา จากนั้นก็พูดว่า “ยังไม่คิดจะบอกความจริงกับฉันอีกงั้นเหรอ? ฮ่าๆ ที่นี่เป็นโรงบาล เป็นถิ่นของพวกแก คิดว่าฉันจะไม่กล้าฆ่าพวกแกใช่ไหม?”
จูเปิ่นไอไปหนึ่งที “ถูกแล้ว ฉันไม่กล้าทำจริง”
“พวกแก ล้วนไม่ใช่คนที่ดูแข็งแรงอะไร แต่ขนาดซ้อมพวกแกจนขนาดนี้แล้ว พวกแกยังไม่ยอมเปิดปากพูดซะคำ ดูเหมือนว่า คนพวกนั้นคงจะขู่ฆ่าคนในครอบครัวพวกแกเอาไว้ซินะ”
“คิดว่าฉันเป็นคนอ่อนหัดใช่ไหม?”
“เสี่ยวซานจื่อ จดเลขบัตรประชาชนของพวกเขาเอาไว้ จากนั้นลองตรวจสอบดูว่าครอบครัวของพวกเขาอยู่ที่ไหน มีสมาชิกกี่คน จากนั้นก็ส่งคนไปจับมา แล้วสับให้หมากิน”
สีหน้าของจูเปิ่น เย็นชาขึ้นมาทันที “หมาของพวกเรา ไม่ได้กินเนื้อมาหลายวันแล้ว คงถึงเวลาที่จะให้อาหารกับพวกมันแล้ว”
หลังจากที่จูเปิ่นพูดจบ ลูกน้องของเขา ก็เริ่มทำตามทันที
ทันใดนั้น หมอพวกนั้นก็ตกใจจนหน้าถอดสี
“ลูกพี่ ลูกพี่ ขอร้องล่ะอย่าทำแบบนั้นเลย พวกเราก็แค่คนธรรมดาทั่วไป ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกของพวกพี่ได้ มีเรื่องบางเรื่องที่ต่อให้พวกเราพบเห็น ก็ไม่กล้าพูดมันออกไป ถ้าเกิดเผลอพูดออกไป ก็อาจจะนำความซวยมาหาพวกเราก็ได้”
“คนพวกนั้นมีรอยสัก สักเป็นรูปแมงป่อง อยู่ที่แขนซ้าย ทุกคนมีเหมือนกัน พวกเขาค่อนข้างจะโหดร้าย แถมลงมือหลักอีกด้วย แค่ไม่กี่หมัดก็ทำให้คนไข้คนนั้นถึงกลับเสียชีวิต”
“ลูกพี่ ขอร้องล่ะอย่าทำอะไรครอบครัวของพวกเราเลย พวกเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย”
จูเปิ่นยิ้ม ถ่ายหน้าของคนตรงหน้าด้วยความพอใจ แล้วพูดว่า “ไม่เพียงแค่ครอบครัวของพวกแกที่เป็นผู้บริสุทธิ์ พวกแกเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ใช่เหรอ?”
จูเปิ่นส่งสายตาไปให้กับเสี่ยวซานจื่อ เสี่ยวซานจื่อก็รีบหยิบถุงเงินออกมา น่าจะมีราวๆหลายแสนล่ะมั้ง
“นี่เป็นค่าทำขวัญสำหรับพวกแก” เสี่ยวซานจื่อพูดน้ำเสียงเหยียดหยาม และแฝงความโกรธไปด้วย
พวกคุณหมอไม่มีใครกล้าไปหยิบเงินของจูเปิ่น โบกมือปฏิเสธ จูเปิ่นทำหน้าตึงเครียด “ทำไม ให้เงินแล้วยังไม่เอาอีก คิดจะแจ้งตำรวจรึไง?”
“ไม่แจ้ง ไม่แจ้ง วางใจได้ ลูกพี่” พวกคุณหมอพูดออกไปด้วยความกลัว
“งั้นอีกเดี๋ยวพอพวกแกไปเจอกับเพื่อนร่วมงาน จะอธิบายแผลบนหน้า กับแผลตามตัวยังไง พวกเขาจะสงสัยรึเปล่า? พวกเราเพิ่งออกมาจากห้องทำงานของพวกแก ตามตัวของพวกแก ก็เกิดรอยแผลขึ้นมา ที่นี่เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด ถ้าเกิดพวกเขาแจ้งความแถมพวกแกล่ะ?” จูเปิ่นทำหน้าตึงเครียดพร้อมกับความเย็นชา
“อีกเดี๋ยวพวกเราจะสวมหน้ากาก จากนั้นก็กลับบ้าน พอถึงบ้านก็ขอลาหยุดกับหัวหน้า ท่านคิดว่ายังไง?” หมอมองไปยังจูเปิ่น พูดจาด้วยน้ำเสียงขอร้อง
จูเปิ่นพยักหน้า “เก็บเงินเอาไว้เถอะ วางใจได้ พวกเราเองก็มีกฎของตัวเอง พวกเราเองก็ไม่อยากจะลงมือกับพวกแก แต่ว่า เรื่องในครั้งนี้ พวกแกเป็นผู้เห็นเหตุการณ์”
พอจูเปิ่นพูดจบ ส่งสายตาไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ในหมู่พวกแก ใครสายตาดีที่สุด?”
“ดูพวกแกแต่ละคนสิต่างก็ใส่แว่นตา ราวกับคนที่อ่านหนังสือมาเยอะ”
พวกคุณหมอมองไปยังหนุ่มน้อยคนนึง จูเปิ่นชี้ไปที่หนุ่มคนนี้ “ทำงานให้ฉันซะอย่าง”
“ลูกพี่ พวกคุณต้องการให้ผมทำอะไรงั้นเหรอ?” หนุ่มคนนี้พูดออกไปด้วยความกลัว จากนั้นก็กลืนน้ำลาย
พวกจูเปิ่น แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ใช่คนดีอะไร แถมเมื่อกี้ก็ลงมือค่อนข้างหนัก แถมยังข่มขู่ครอบครัวของพวกเขาอีก
พวกคุณหมอ สายตาที่มองพวกจูเปิ่น มีเพียงแค่ความหวาดกลัว
จูเปิ่นพูดด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด “รู้ไหมว่าพวกแกทำอะไรผิด? รวมหัวกันพูดโกหก เพราะงั้นจะให้โอกาสพวกแกสักครั้ง โอกาสในการถ่ายโทษ ร่วมมือกับฉันเพื่อหาคนร้ายที่แท้จริง แล้วช่วยคุณชายของพวกเราออกมา”
จูเปิ่นมองไปยังหนุ่มคนนั้น แล้วพูดว่า “ฉันจะไม่บังคับให้แกตามพวกฉันมา แต่ฉันก็ยังหวังว่าแกจะตามมาด้วย ไม่งั้นล่ะก็ ถ้าเกิดแกมีแฟนสาว ก็รีบโทรไปบอกเธอว่าให้หนีไปซะ แล้วก็คนในครอบครัว ก็รีบบอกให้เธอไปหลบซ่อมซะ”
“คนที่ขับรถฟอร์ดสีแดงไม่ใช่คนดีอะไร แต่พวกเองก็ไม่ใช่คนดีเหมือนกัน”
จูเปิ่นทำหน้าตึงเครียด “ถ้าเกิดคุณชายของพวกเราต้องรับโทษในสิ่งที่ไม่ได้ทำ งั้นพวกแก แต่ละคนก็ต้องรับโทษเหมือนกัน”
“ทุกคำที่ฉันพูดออกมา ฉันทำได้ทั้งนั้น”
หลังจากที่จูเปิ่นพูดข่มขู่ ไอ่หนุ่มคนนั้นก็ค่อยๆยืนขึ้นมา จู่เปิ่นยิ้ม แล้วพูดว่า “ต้องแบบนี้สิ โชคยังดีที่เมื่อกี้ไม่ได้หักขาของแก อ่า ไม่งั้น ฉันคงต้องไปหาก้อนหินมา ทุบขาของตัวเองแน่เลย”
“ดูเสื้อผ้าของแกสิสกปรกหมดแล้ว รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ อีกอย่าง ตอนออกไปก็ใส่ผ้าปิดปากด้วย ถ้าเกิดมีคนเห็นแผลตรงตาของแก ก็บอกว่าแกเป็นคนทำเอง หน้าทางเข้าโรงบาท มีรถเบนซ์สองคัน พอไปถึงหน้ารถ ก็ยืนรออยู่ตรงนั้น อีกเดี๋ยวพวกเราจะออกไปหาแก”
“ฟังนะ ทำตัวว่านอนสอนง่าย แล้วทำตามที่บอก อย่าคิดจะเล่นตุกติก”
จูเปิ่นจ้องมองไอ่หนุ่มคนนี้อยู่พักนึง ไอ่หนุ่มคนนี้กลืนน้ำลายไปหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า “หลังจากที่พวกคุณทำงานเรียบร้อย จะปล่อยผมกลับไปจริงๆใช่ไหม?”
“วางใจเถอะ ขอเอาชีวิตเพื่อนร่วมงานของแกเป็นประกัน หลังจบเรื่องจะไม่ทำร้ายอะไรแกเด็ดขาด” จูเปิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็ทำสีหน้าที่เย็นชา
“รู้จักจุดยืนของตัวเองด้วย แกไม่มีสิทธิ์มาเสนอข้อเสนอกับฉัน ฉันพูดอะไร แกก็แค่ทำตาม ไม่อย่างงั้น”
จูเปิ่นยิ้มด้วยความเย็นชา “ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมากใช่ไหม