เมื่อเห็นจูเปิ่นและพวก ในที่สุดเจียงเหวยก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
ทันใดนั้นเจียงเหวยก็พลันหัวเราเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา กล่าว: “คิดไม่ถึงว่า ฉันจะแพ้เพราะฝีมือของหมอฝึกหัดคนหนึ่ง”
“นี่คงนับว่าเป็นเรือล่มในคลองระบายน้ำสินะ” เจียงเหวยกล่าวอย่างแหบแห้ง
จูเปิ่นไม่ได้พูดมากอะไร เขายกปืนขึ้นมา แล้วเล็งไปที่เจียงเหวย กล่าว: “ใครเป็นคนลงมือฆ่า?”
“มีปืนอยู่ในมือแล้วแน่มากหรือไง กำลังข่มขู่ใครกัน” เฮยจื่อเดินเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย
เสียงปืนดังปัง เสี่ยวซานจื่อเล็งปืนไปที่บริเวณน่องของเฮยจื่อ แล้วยิงออกไปหนึ่งนัด
หลังจากที่เฮยจื่อโดนยิง ก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น เสี่ยวซานจื่อถือโอกาสนี้เดินเข้าไป แล้วใช้ปืนจ่อไปที่หัวของเฮยจื่อ
จูเปิ่นมองดูเจียงเหว่ย แล้วถามขึ้นอีกครั้ง: “ใครเป็นคนฆ่า?”
ริมฝีปากของเจียงเหวยขยับเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก เฮยจื่อที่อยู่บนพื้นก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน: “ฉันเป็นคนฆ่า”
จูเปิ่นจ้องมองเจียงเหวย ยังเอ่ยถามต่อไป: “ใครเป็นคนฆ่า?”
“แม่งเอ้ยหูหนวกหรือไง? ฉันบอกแล้ว ว่าฉันเป็นคนฆ่า” เฮยจื่อหันไปทางจูเปิ่น แล้วตวาดกล่าวอย่างเสียงดัง
สายตาของจูเปิ่นยังคงจ้องมองไปที่เจียงเหวย เจียงเหวยยิ้มเล็กน้อย กล่าว: “ฉันเป็นคนฆ่าเอง ฉันจะไปมอบตัวตอนนี้เลย”
จูเปิ่นหัวเราะขึ้นมาอย่างพอใจ: “เจ้านายของพวกเรามีเรื่องอยากจะถามแกหน่อย หลังจากที่ถามเสร็จ แกค่อยไปมอบตัวที่สถานีตำรวจพร้อมกับหมอคนนั้น”
กล่าวไป จูเปิ่นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วโทรหาส้าวส้วย
หลังจากที่ส้าวส้วยรับโทรศัพท์เสร็จ ก็มองไปที่หลี่ฝาง แล้วกล่าวอย่างปลาบปลื้ม: “เรื่องของเฉินฝูเซิง ได้สำเร็จไปหนึ่งขั้นแล้ว ต่อไป ก็จะเริ่มเก็บแห”
จากนั้นไม่นาน ส้าวส้วยและหลี่ฝางก็ได้มาถึงห้องทำงานที่อยู่ลับหูลับตาแห่งนี้
มองดูเจียงเหวย ส้าวส้วยก็กล่าวขึ้นมาอย่างไม่อ้อมค้อม: “ใครเป็นคนสั่งแก”
เจียงเหวยมองดูส้าวส้วย แล้วเอ่ยถาม: “แกเป็นใคร? บอสที่อยู่เบื้องหลัง?”
“เหอะ ๆ แต่ละอาชีพต่างก็มีกฎเกณฑ์ แกก็น่าจะรู้ พวกเราออกมาทำอาชีพนี้ และอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะพวกเรารักษากฎ”
“ถ้าทำผิดกฎ คนที่อยู่ท่าเรือ คงไม่มีใครกล้าให้พวกเรารับของ”
“แกอาจจะไม่รู้จักฉัน แต่แกน่าจะรู้จักหลอซ่าใช่ไหม?” ส้าวส้วยยิ้มอ่อน ๆ : “แกสามารถได้เส้นทางขนส่งทางทะเลเส้นทางนี้มาได้ ก็เพราะมีหลอซ่าในตอนนั้น”
เมื่อได้ยินชื่อหลอซ่า สีหน้าของเจียงเหวย ก็ตกตะลึงขึ้นมา
“ทำไมเหรอ จำไม่ได้แล้ว?” ส้าวส้วยเลิกคิ้วเล็กน้อย
เจียงเหวยเงียบไปสักพัก: “ดูเหมือนว่าฉันจะกำแกขึ้นมาได้แล้ว แกคือคนของหลอซ่า”
“เขายังมีชีวิตอยู่เหรอ? ฉันได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว ไม่รู้ว่าจริงไหม” เจียงเหวยเอ่ยถาม
ส้าวส้วยพยักหน้า: “ที่แกได้ยินมา ล้วนเป็นความจริง สถานตากอากาศหลงฉวน ก็คือของหลัวซ่า”
“บอกได้ไหม?” ส้าวส้วยจ้องมองเจียงเหวย พลางเอ่ยถาม
“ในตอนที่เขาหนีไปในตอนนั้น ฉันเคยบอก ว่าฉันติดข้างเขาหนึ่งชีวิต ถ้าวันหน้าเขาสามารถมีชีวิตกลับมาได้ จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ถ้าหากแกเป็นตัวแทนของหลอซ่าได้ ฉันก็สามารถบอกแกได้” เจียงเหวยกล่าว
ส้าวส้วยมองดูจูเปิ่นเสี่ยวซานจื่อและพวก แล้วกล่าว: “พวกนายออกไปก่อน”
“ครับ” จูเปิ่นไม่ได้โต้แย้งใด ๆ แล้วส่งสายตาให้กับพวกเสี่ยวซานจื่อ
รอจนกว่าพวกเสี่ยวซานจื่อจากไปจนหมด ส้าวส้วยก็ใช้คางชี้ไปที่หลี่ฝาง แล้วกล่าว: “เขาเป็นลูกชายของหลัวซ่า”
มองดูหลี่ฝางแวบหนึ่ง เจียงเหวยดูไม่ออกเลยว่าหลี่ฝางมีความพิเศษอะไร แล้วหัวเราะเหอะ ๆ ขึ้นมา: “ช่างเถอะ ฉันจะบอกแกตรง ๆ เลยแล้วกัน”
“ถึงยังไงซะฉันก็ไม่เคยเจอหลอซ่า ไม่ได้เจอมาสามปี เสียงของหลอซ่า ก็ไม่แน่ว่าฉันจะจำได้ แต่ฉันจำได้ว่า ตอนนั้นแกได้หนีไปพร้อมกับหลอซ่า ดังนั้นฉันเชื่อแก”
“คนที่จ่ายเงินจ้างฆ่าคือ……”
ในตอนที่เจียงเหวยกำลังจะพูด โทรศัพท์ของเขา ก็พลันดังขึ้นมา
พอเห็นเบอร์โทรศัพท์ที่โชว์ขึ้น เจียงเหวยก็พลันขมวดคิ้ว เขามองดูส้าวส้วย: “รอเดี๋ยวนะ ฉันขอรับโทรศัพท์ก่อน”
เจียงเหวยเดินไปอีกด้าน พึ่งกดรับโทรศัพท์ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป
หลังจากที่วางสายไป เจียงเหวยก็หัวเราะเหอะ ๆ เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานจองตัวเอง แล้วเปิดลิ้นชัก พลางกล่าว: “ฉันจะเอาผลงานของเขาให้พวกแกดู ดูสิว่าพวกแกจะรู้จักเขาไหม?
วินาทีที่เปิดลิ้นชัก ทันใดนั้นเจียงเหวยก็หยิบปืนออกมา แล้วเล็งไปที่หลี่ฝาง
ส้าวส้วยตาไวมือไว ก่อนที่เจียงเหวยจะลั่นไกปืน เขาก็คว้างลูกเหล็กออกไป และโดนเข้าที่บริเวณตรงกลางช่องว่างระหว่างคิ้วของเจียงเหวยพอดี
“ลูกพี่ ลูกพี่!”
เฮยจื่อที่อยู่บนพื้นเห็นเจียงเหวยล้มลง ก็เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา และกอดร่างไร้วิญญาณของเจียงเหวยเอาไว้
เฮยจื่อกัดฟันกรอด แล้วหยิบปืนที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วเล็งไปที่พื้น แกร๊ก ๆ เขากดลั่นไกปืนไปสองครั้ง
ปืนกระบอกนี้เป็นปืนของเล่น ข้างในก็เป็นกระสุนพลาสติก
ส้าวส้วยขมวดคิ้วแน่น สีหน้าค่อนข้างซับซ้อน: “ใครโทรมาหาลูกพี่ของแก?”
เฮยจื่อล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าของเจียงเหวย แล้วหยิบเอาโทรศัพท์ออกมา หลังจากที่ใช้ลายนิ้วมือปลดล็อก เขาก็ขมวดคิ้ว กล่าว: “เป็นพี่สะใภ้โทรมา”
“อาชีพของพวกเรา หลอซ่าเป็นคนให้ นายเป็นคนของหลอซ่า ดังนั้น ต่อให้พวกเราตาย ก็ไม่มีทางที่จะลงมือกับพวกนาย”
เฮยจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก: “แต่ว่า ที่พวกเราติดค้างหลอซ่านั้น ได้ทดแทนไปแล้ว”
“แน่นอนว่า ถ้าหากพวกนายยังเห็นว่าไม่พอ ชีวิตของฉัน ก็สามารถมอบให้พวกนายอีกได้” เฮยจื่อจ้องมองส้าวส้วยอย่างเยือกเย็น พลางกล่าว
ส้าวส้วยใช้สายตาที่รู้สึกผิดจ้องมองเฮยจื่อ พลางกล่าว: “ปืนกระบอกนั้น เหมือนของจริงไม่มีผิด จะโทษฉันก็ไม่ได้”
“อีกอย่าง เขาเล็งปลายกระบอกปืนไปที่เจ้านายของฉัน ฉันไม่มีเวลามากมายขนาดนั้นที่จะไปแยกแยะ”
เฮยจื่อหัวเราะเหอะ ๆ และไม่ได้พูดอะไร
ส้าวส้วยมองดูเฮยจื่อ แล้วเอ่ยถาม: “ใครเป็นคนสั่งพวกแก?”
“ฉันรู้ ว่าหลายปีมานี้ พวกแกเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด จึงคอยรับสินค้าให้ลูกพี่หลินมาตลอด” ส้าวส้วยเอ่ยถาม: “ใช่ลูกพี่หลินหรือเปล่า? หรือว่าคนที่อยู่ต่างประเทศพวกนั้น?”
“ฉันรู้ ว่าคนทั้งสองกลุ่มนี้ พวกแกล้วนรู้จัก”
เฮยจื่อหัวเราะเหอะ ๆ : “สมกับที่เป็นคนของหลอซ่าจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถตรวจสอบรากฐานของพวกเรา ได้ชัดเจนจ่มแจ้งขาดนี้”
“ฉันรู้ ว่าที่พวกแกทำงานนี้ เพราะพวกแกไม่มีทางเลือก ลูกพี่หลินและคนที่อยู่ต่างประเทศกลุ่มนั้นมีปากเสียงกัน ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันพวกคนที่อยู่ต่างประเทศกลุ่มนั้น เพราะรีบที่จะจ่ายของ ดังนั้นจึงได้ใช้เรือของพวกแก ขนส่งสินค้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้บังเอิญต้องเผชิญกับกรมศุลกากร เป็นลูกพี่หลินที่เล่นงานพวกแกใช่ไหม?”
ส้าวส้วยจับจุดไม่ได้แล้ว
คนที่ส้าวส้วยสงสัย คือลูกพี่หลิน แต่ว่า ลูกพี่หลินพึ่งจะลอบกัดพวกเจียงเหวยไปเมื่อไม่นาน คงไม่น่าจะใช้พวกเขาทำงานอีกหรอกใช่ไหม?
ดังนั้น คนที่ส้าวส้วยสงสัย ก็คือคนที่อยู่ต่างประเทศกลุ่มนั้น
“ดูเหมือนว่าคนที่พวกนายล่วงเกิน เยอะเหมือนกันนะนี่” เฮยจื่อหัวเราะเอิ๊กอ๊าก แล้วทำเสียงฮึดฮัดออกมาหนึ่งครั้ง: “เรื่องนี้ เบื้องหลังมีเพียงพี่ใหญ่ของฉันคนเดียวที่คอยจัดการ ฉันและพี่น้องคนอื่น ๆ แค่คอยทำงานแบ่งเงิน สำหรับตัวตนของนายจ้าง สามารถพูดได้ว่าไม่รู้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว”
ส้าวส้วยได้ยินดังนั้น ก็กำลังจำหันหลังกลับ แต่เฮยจื่อพลันเอ่ยขึ้นมา: “คนที่มาพบกับลูกพี่ เป็นชาวต่างชาติ”
“ฉันรู้เพียงแค่นี้”
“เรื่องที่ใส่ร้ายเฉินฝูเซิง ฉันจะไปมอบตัว ไปสารภาพพูดคุยกับตำรวจให้ชัดเจน ให้พวกเขาปล่อยตัวเฉินฝูเซิง” เฮยจื่อกล่าว: “แต่ว่า ให้เวลาฉันสักสองสามวันได้ไหม”
“ฉันอยากจะไปจัดการเรื่องงานศพของพี่ใหญ่ก่อน”
เฮยจื่อกล่าว: “และไปส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
“ไม่ต้องแล้ว เอากุญแจรถฟอร์ดสีแดงคันนั้นมาให้ฉัน ฉันจะหาคนไปรับผิดแทน พวกแกได้รับโทษตามที่ควรจะเป็นแล้ว” ส้าวส้วยกล่าวอย่างเรียบ ๆ
“ขอโทษ ที่พวกเราไม่ได้รักษาคำพูดที่ให้ไว้ในตอนนั้น ในตอนที่พวกเรารับช่วงดูแลเส้นทางขนส่งสายนี้ต่อ พวกเราเคยรับปาก ว่าจะไม่ทำธุรกิจอะไรแบบนั้น แต่ว่า ทำธุรกิจถูกกฎหมาย ไม่มีเงิน พวกเราไม่มีทางเลือก”
“อีกอย่าง ต่อให้พวกเราไม่ทำ ก็มีคนอื่นทำอยู่ดี”
“ในเมื่อออกมาสู่สังคมแล้ว ก็อย่าไปคิดอะไรมากมาย หาเงินได้ ก็คือราชธรรม” เฮยจื่อหัวเราะเหอะ ๆ กล่าว: “ต่างแม่งก็ออกมามั่วสุมอยู่ในสังคม ยังจะสนเรื่องมโนธรรมอะไรอีกล่ะ ฉันว่าพวกนาย……”
ส้าวส้วยพลันหันหน้ากลับมา ตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปที่เฮยจื่อ: “ถ้ายังไม่หยุดพูด ฉันจะฆ่าแกซะ”
เฮยจื่อตกใจกลัวจนหุบปากไปทันที ส้าวส้วยก้าวเท้า ล้วเดินออกไปจากห้องอย่างรีบร้อน
“คืนนี้เวลาสองทุ่ม ฉันจะรับฝูเซิงไปอาบน้ำที่ส่วยหยุนเจียน จากนั้นค่อยไปกินข้าวที่โรงแรมว่างโก๋ พอถึงตอนนั้น ทุกคนก็ไปด้วยกัน” หลังจากที่ออกมา หลี่ฝางมองไปที่จูเปิ่น แล้วกล่าว
พูดจบ หลี่ฝางก็ก้าวเท้าออก แล้วเดินไปที่รถของตัวเอง
ในตอนที่ส้าวส้วยกำลังสตาร์ทรถ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา: “เมื่อก่อนพวกเขาต่างก็เคยติดตามลูกพี่ เพียงแต่……”
“เหอะ ๆ เมื่อก่อนคือเมื่อก่อน ตอนนี้คือตอนนี้ ส้าวส้วย ฉันรู้ว่านายนึกถึงความสัมพันธ์เก่า ๆ แต่ว่านายได้ยินคำที่คนคนนั้นพูดหรือยัง ฟังน้ำเสียงของเขา ราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้อง”
“หมายความว่ายังไงกัน ขอเพียงแค่ได้เงิน ฆ่าคนวางเพลิงล้วนไม่ผิด?” หลี่ฝางกล่าวอย่างเหยียดหยาม