NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 572 ต่างก็เป็นคนที่คนถูกความรักทำร้าย

บทที่ 572 ต่างก็เป็นคนที่คนถูกความรักทำร้าย

“แกยิ้มอะไร?” มองดูรอยยิ้มของหรุ่ยเหวินเจ๋ สีหน้าของจูเปิ่น ก็เยือกเย็นขึ้นมาทันที

“ทำไม ร่างกายของฉันตลกมากหรือยังไง? หรือว่า รอยแผลเป็นบนร่างกายของฉัน ทำให้แกรู้สึกอยาหัวเราะ?” จูเปิ่นจ้องมองหรุ่ยเหวินเจ๋ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ในแววตาเต็มไปด้วยความโมโห

“ลูกพี่ครับ หรือว่าถ้าเคยผ่านประสบการณ์แบบพี่มาแล้ว ผมก็สามารถเป็นแบบพี่ได้แล้ว ขับรถเบนซ์ ใช้ของแบรนด์เนม ใช้ชีวิตแบบผลาญเงินเหมือนผลาญดิน?” หรุ่ยเหวินเจ๋จ้องมองจูเปิ่น ในสายตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและนับถือ

“เหอะ ๆ ทำไม แกไม่กลัวเหรอ?” จูเปิ่นหัวเราะขึ้นมา ใบหน้าที่มองดูหรุ่ยเหวินเจ๋ ปรากฏความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

“กลัวครับ แต่ถ้าสามารถได้ในสิ่งที่ผมต้องการมา ผมก็อยากจะลองดู” หรุ่ยเหวินเจ๋มองจูเปิ่น ยิ้มกล่าว: “ลูกพี่ จะให้โอกาสผมสักครั้งได้ไหมครับ?”

เมื่อเห็นความตั้งใจของหรุ่ยเหวินเจ๋ จูเปิ่นก็พยักหน้า: “เพื่อเงินแล้ว แม้แต่ชีวิตก็ไม่สนใจเหรอ?”

จูเปิ่นสามารถดูออก หรุ่ยเหวินเจ๋คนนี้ เห็นได้ชัดว่ายากจนมาตลอดชีวิต ขัดสนจนหวาดผวา

เป็นหมอฝึกหัดในโรงพยาบาล ก็เหมือนกับที่เขาพูด ถ้าดูตามเงินเดือนปกติแล้ว รถอย่างรถเบนซ์เชิงพาณิชย์นี้ ยากนักที่ชีวิตนี้เขาจะสามารถซื้อได้

“นั่นไม่มีปัญหา ชีวิตจะสำคัญกว่าเงินไปได้ยังไง ตอนที่เข้ามหาลัยฯ ผมเคยคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมนึกว่าระหว่างเราเป็นรักแท้ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่เธอกลับไปที่หมู่บ้านกับผม พึ่งถึงทางเข้าหมู่บ้าน เธอก็บอกว่าปวดท้อง อยากเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย ผมโทรหาเธอ ส่งข้อความให้เธอ ถึงพบว่า ผมได้ถูกเธอบล็อกไปแล้ว”

“ลูกพี่ พี่ว่าสังคมนี่ตลกไหมล่ะ? ในตอนที่คบกับเธอ ผมก็บอกกับเธอว่า ครอบครัวผมจนมาก แต่เธอบอกว่าเธอไม่รังเกียจ แต่พอถึงวันที่ต้องพบกับผู้หลักผู้ใหญ่ เธอกลับกลับคำ คำขอโทษ คำอธิบาย หรือแม้แต่คำด่าก็ไม่มี”

“สามปีเชียวนะ คบกันมาสามปี ลูกพี่ ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง อยู่ดี ๆ ก็สิ้นสุดลง” หรุ่ยเหวินเจ๋หัวเราะเหอะ ๆ พลางกล่าว แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความขมขื่น

พอดูมาถึงตอนนี้ จูเปิ่นตบไหล่หรุ่ยเหวินเจ๋เบา ๆ อย่างเห็นอกเห็นใจ: “แกต้องคิดไปในทางที่ดีสิ แกบอกว่าบ้านแกอยู่ในภูเขาไม่ใช่เหรอ? ไม่แน่ว่าตอนที่แฟนสาวของแกไปเข้าห้องน้ำ อาจจะไม่ทันระวังตกหน้าผาไปก็ได้?”

หรุ่ยเหวินเจ๋หัวเราะคิกคักขึ้นมา กล่าว: “ลูกพี่ครับ พี่ก็อารมณ์ขันเหมือนกันนะนี่ ผมก็ถือว่าเธอได้ตายไปแล้ว แต่เพื่อนของผมกลับบอกว่า ตอนนี้เธอได้หมั้นไปแล้ว หมั้นกับคนที่รวยที่สุดในชั้นของเราในตอนนั้น เป็นคนที่ผมเกลียดที่สุด แล้วก็เป็นคนที่เธอเกลียดที่สุดในตอนนั้น พี่ว่าตลกไหมล่ะ? เพียงเพราะเงิน เธอถึงกลับยอมแต่งกับคนที่ตัวเองเกลียดที่สุด”

“คนเราล้วนเปลี่ยนไปได้” จูเปิ่นเงียบไปสักพัก

“ใช่ เปลี่ยนเป็นเห็นแกเงินมากกว่าเดิม” หรุ่ยเหวินเจ๋กล่าว

“น้องชาย เส้นทางที่ฉันเดิน เป็นเส้นทางที่ไม่อาจหันหลังกลับ หากมีทางเลือก อย่าเลือกเส้นทางเดียวกันกับฉัน จริง ๆ นะ หรือแกจะเป็นหมอที่ไร้คุณธรรมคนหนึ่งก็ได้ หมอในโรงพยาบาล มีใครบ้างที่ไม่รับเงินสกปรก? รอแกเป็นหมอไปสักสองสามปี จนได้ยืนอยู่หน้าเตียงผ่าตัด กำชีวิตคนอื่นไว้ในมือ ในกระเป๋าของแก ยังจะขาดเงินอยู่อีกเหรอ? แกว่าไหมล่ะ? น้องชาย”

“จับงูข้างหาง จะได้รับอันตรายง่าย ๆ เอาได้นะ” จูเปิ่นกล่าวแนะนำ

“ลูกพี่ พี่คิดว่า การมีชีวิตอยู่อย่างไร้ยางอาย มันมีความหมายอะไรไหม? ถ้าพี่บอกว่ามีความหมาย งั้นผมก็จะวางมือ” หรุ่ยเหวินเจ๋ทำเสียงฮึดฮัดทางจมูกหนึ่งครั้ง ยิ้มกล่าว: “เงินที่ไร้คุณธรรม จะได้มาง่าย ๆ ได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัด ส่วนมากล้วนเป็นคนที่น่าสงสารกันทั้งนั้น ผมคนนี้ ถึงแม้จะชื่นชอบเงิน แต่จะให้ผมไปขู่เข็ญเอาเงินกับคนที่น่าสงสาร ผมทำไม่ลงหรอกครับ”

“ทุกครั้งเวลาที่เห็นเหล่าญาติพี่น้องของคนไข้ ร้องไห้น้ำตาไหลไม่หยุด ผมก็มักคิดว่า อย่างน้อยผมก็มีร่างกายที่แข็งแรง แต่ตอนที่ผมได้พบเจอกับพวกลูกพี่ ถึงได้รู้ว่า อะไรคือความมีสง่าราศี ผมเข้าใจ เบื้องหลังของความมีหน้ามีตานั้น จะต้องเต็มไปด้วยข้อเสียมากมาย แต่แล้วยังไงล่ะ?”

“สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ก็สละชีพเพื่อสัจธรรม เป็นหลักทำนองคลองธรรมตั้งแต่โบราณมา ผมรู้ว่าไม่ง่ายกว่าพี่จะมาถึงวันนี้ได้ แต่ลูกพี่ครับที่ผมอยากจะบอกก็คือ ผมสามารถออกมาจากหมู่บ้านในหุบเขาเดินเข้าสู่เมืองใหญ่ได้นั้น ยากยิ่งกว่าอีก หลายครั้งที่ต้องจุดเทียนเพื่อต่อสู้ในยามค่ำคืน ถูกเหยียดหยามนับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับแลกมาด้วยงานที่เงินเดือนสองพันหยวน อะไรที่เรียกว่าโหดร้าย? นี่ไงล่ะที่เรียกว่าโหดร้าย!”

“ลูกพี่ครับ ผมไม่กลัวตายหรอก บาดแผลบนร่างกายของพี่พวกนี้ ผมก็สามารถทนรับได้……” หรุ่ยเหวินเจ๋กล่าว: “ลูกพี่ ผมแค่อยากเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต พี่จะสนับสนุนผมหน่อยไม่ได้เหรอครับ?”

“ลูกพี่ครับ ไม่งั้น พี่ก็รับเจ้าหนุ่มนี่เป็นลูกน้องดีไหมครับ? ในตอนนั้นแฟนผมก็ได้หนีไปกับไอ้หมูตอนคนหนึ่งเหมือนกัน” เสี่ยวซานจื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วยิ้มอย่างขบคิด: “น้องชาย แกก็ไม่ได้แข็งแกร่งตรงไปตรงมาเท่าไหร่นี่”

“รู้ไหมว่าในตอนที่ถูกสวมเขา ฉันทำยังไง? ฉันไปหาไอ้หมูตอนนั่น แล้วแทงมันไปสองครั้ง จากนั้นก็พาผู้หญิงคนนั้นไปในสถานที่เปลี่ยวรกร้าง แล้วขังเธอไว้หลายวัน ฮ่า ๆ รู้ไหม? ตอนนั้นฉันกลายเป็นผู้ร้ายถูกออกหมายจับเลยล่ะ”

ในตอนที่เสี่ยวซานจื่อกำลังพูดนั้น เขาก็พลางหัวเราะไปด้วย

จูเปิ่นถลึงตาใส่เสี่ยวซานจื่อ: “แกหยุดสร้างความวุ่นวายได้แล้ว ทำไม ไม่รู้ว่าตัวเองได้ก่อปัญหาใหญ่แค่ไหนใช่ไหม? ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นแกกับนายน้อยสนิทกัน นายน้อยพยายามปกป้องแกอย่างเต็มที่ล่ะก็ แกคิดว่าแกจะมีชีวิตมาอยู่ตรงนี้อย่างปลอดภัยได้ไหม?”

“แกรู้ไหมว่านายน้อยของเรา เพื่อปกป้องแก หมดเงินไปเท่าไหร่ ใช้กำลังไปมากแค่ไหน? แกมันไม่รู้อะไรสักอย่าง ยังร้องเอะอะโวยวายอยู่ทุกวัน ว่าถ้าหากเจอไอ้อ้วนนั้นอีก จะลากมันไปที่เมรุแล้วจัดการให้มันไปเกิดใหม่ ทำไมเหรอ ที่บ้านแกฆ่าคนไม่ผิดกฎหมายใช่ไหม?”

จูเปิ่นกลอกตามองบนใส่เสี่ยวซานจื่อ และต่อว่าเขาอย่างหนัก

เสี่ยวซานจื่อไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อทันที เขาหันหน้าไปอีกทาง แล้วจุดบุหรี่ให้กลับตัวเองมวลหนึ่ง พลางพึมพำเบา ๆ : “ต้องมีสักวัน ฉันจะจัดการหญิงชายสารเลวคู่นั้นให้ตาย”

จูเปิ่นส่ายหัว แล้วมองดูหรุ่ยเหวินเจ๋กล่าว: “แกอย่าเอามันเป็นแบบอย่างนะ มันเป็นคนบ้าคนหนึ่ง”

หรุ่ยเหวินเจ๋กลับมองไปทางเสี่ยวซานจื่อ เขายิ้มอย่างปลื้มปิติ: “ชีวิตของเขาดีจัง ผมอยากเป็นแบบเขามากเลย เฮ้อ……”

“ผมก็อยากจะมีอารมณ์เหมือนเขา ถือมีดผ่าตัด ช่วยหญิงชายสารเลวคู่นั้น ผ่าท้องของพวกมันออก” หรุ่ยเหวิยเจ๋กล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างเย็นชา

“พูดเพ้อเจ้ออะไรของแกน่ะ? คนอื่นทิ้งแกไป แล้วเขาผิดเหรอ? บ้านของแกอยู่ในเขาลึก ถูกคนรังเกียจก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเพียงแค่หล่อนทิ้งแกไป แกก็จะฆ่าหล่อนงั้นเหรอ? แกแม่งสมองมีปัญหาใช่ไหม?”

“เสี่ยวซานจื่อเป็นบ้า แกก็เป็นบ้า พวกแกแม่งล้วนเป็นบ้า ฉันก็เคยถูกทิ้งไปเหมือนกัน แต่ในตอนที่ฉันถูกทิ้ง ก็ครุ่นคิดว่า ตัวเองมีจุดด้อยตรงไหน ฉันไม่เคยคิดที่จะทำร้ายหรือเอาคืนเลย”

“ดูพวกแกสองคนสิ แต่ละคนนะ ทำไมเหรอ ผู้หญิงนั่นหลอกอะไรพวกแก? หลอกเงิน หรือหลอกหลับนอนด้วย?” จูเปิ่นทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา พลางกล่าวอย่างเหยียดหยาม: “มา พวกแกมาเล่าให้ฉันฟังหน่อยมา!”

“ความรู้สึก!” เสี่ยวซานจื่อและหรุ่ยเหวินเจ๋กล่าวออกมาพร้อมกัน

“ยังจะมาบอกว่าความรู้สึก ทำไมเหรอ? ผู้หญิงเขาไม่มีความรู้สึกหรือไง? ในตอนนั้นที่ทิ้งพวกแกไป หล่อนไม่เสียใจหรือไง? เพียงแต่ในสังคมของความเป็นจริง ความรักกับแต่งงานมันคนละเรื่องกัน แต่งงานแล้วต้องเผชิญหน้ากับข้าวปลาอาหาร มีลูกก็ต้องคำนึงถึงเงินซื้อนม แกสองคนไม่มีอะไรเลย ถูกทิ้งก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ?

จูเปิ่นโมโหด่าแม่งออกมาหนึ่งครั้ง ชี้หน้าหรุ่ยเหวินเจ๋กล่าว: “ทำงานให้ฉันเสร็จแล้วก็รีบไสหัวไปซะ ไอ้คนไม่มีหัวใจ”

“ผู้หญิงคนนั้นคบกับแกมาสามปี สามปีนี้แกทำอะไรบ้าง? แกพยายามหรือยัง? แกเคยให้อะไรหล่อนบ้าง? หล่อนก็ต้องแลกด้วยความเป็นสาวสามปี แลกด้วยอารมณ์ความรู้สึกสามปีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ความเป็นสาวของผู้หญิงมีแค่ไม่กี่ปี สามปีได้สูญเสียไปกับแก แกยังต้องการอะไรอีก? ตอนนี้จะแต่งกับคนรวยแล้ว แกยังอยากจะฆ่าหล่อน แกมันใช่คนไหม?”

“การรักคนคนหนึ่ง จะต้องอวยพรให้เขามีความสุข ตกลงแล้วแกเคยรักหล่อนบ้างหรือเปล่า”

จูเปิ่นพูดจบ ก็หันหน้าไปทางอื่น แล้วแอบเช็ดน้ำตา

คนขับรถหัวเราะคิกคัก ราวกับค่อนข้างจะมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น: “ผมว่านะ พวกคุณคงว่างมาก หาเรื่องอื่นทำไม่ดีเหรอ ทำไมต้องไปมีความรัก? เหอะ ๆ ดูผมสิ ไม่เคยต้องเสียใจเลย”

“ผมแค่เที่ยวผู้หญิง จุดมุ่งหมายของผมคือเที่ยวผู้หญิงให้ครบทุกที่ในประเทศ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ผมจะเที่ยวจนหมดแรง เที่ยวจนทำให้ตัวเองรู้สึกตื้นตันใจ” ชายหนุ่มที่ขับรถกล่าว

“ไสหัวไปเลย สักวันแกจะต้องนอนตายอยู่บนท้องของผู้หญิง”

จูเปิ่นด่า แล้วกล่าว: “อีกนานไหมกว่าจะถึง?”

“ถึงแล้วครับ ผมกำลังขับวนอยู่”

จูเปิ่นอืมตอบรับ เขามองหรุ่ยเหวินเจ๋ แล้วกล่าว: “จับตาดูให้ดี ๆ ล่ะ ยังไงแกก็เคยเจอพวกมัน ช่วยพวกเราทำงานนี้ให้ดี งานเสร็จแล้ว ฉันจ่ายให้แกแสนหนึ่ง”

“ลูกพี่ ผมเห็นพวกมันแล้วครับ” ทันใดนั้นลูกตาของหรุ่ยเหวินเจ๋พลันขยับ พลางกล่าว

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท