“แกยิ้มอะไร?” มองดูรอยยิ้มของหรุ่ยเหวินเจ๋ สีหน้าของจูเปิ่น ก็เยือกเย็นขึ้นมาทันที
“ทำไม ร่างกายของฉันตลกมากหรือยังไง? หรือว่า รอยแผลเป็นบนร่างกายของฉัน ทำให้แกรู้สึกอยาหัวเราะ?” จูเปิ่นจ้องมองหรุ่ยเหวินเจ๋ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ในแววตาเต็มไปด้วยความโมโห
“ลูกพี่ครับ หรือว่าถ้าเคยผ่านประสบการณ์แบบพี่มาแล้ว ผมก็สามารถเป็นแบบพี่ได้แล้ว ขับรถเบนซ์ ใช้ของแบรนด์เนม ใช้ชีวิตแบบผลาญเงินเหมือนผลาญดิน?” หรุ่ยเหวินเจ๋จ้องมองจูเปิ่น ในสายตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและนับถือ
“เหอะ ๆ ทำไม แกไม่กลัวเหรอ?” จูเปิ่นหัวเราะขึ้นมา ใบหน้าที่มองดูหรุ่ยเหวินเจ๋ ปรากฏความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“กลัวครับ แต่ถ้าสามารถได้ในสิ่งที่ผมต้องการมา ผมก็อยากจะลองดู” หรุ่ยเหวินเจ๋มองจูเปิ่น ยิ้มกล่าว: “ลูกพี่ จะให้โอกาสผมสักครั้งได้ไหมครับ?”
เมื่อเห็นความตั้งใจของหรุ่ยเหวินเจ๋ จูเปิ่นก็พยักหน้า: “เพื่อเงินแล้ว แม้แต่ชีวิตก็ไม่สนใจเหรอ?”
จูเปิ่นสามารถดูออก หรุ่ยเหวินเจ๋คนนี้ เห็นได้ชัดว่ายากจนมาตลอดชีวิต ขัดสนจนหวาดผวา
เป็นหมอฝึกหัดในโรงพยาบาล ก็เหมือนกับที่เขาพูด ถ้าดูตามเงินเดือนปกติแล้ว รถอย่างรถเบนซ์เชิงพาณิชย์นี้ ยากนักที่ชีวิตนี้เขาจะสามารถซื้อได้
“นั่นไม่มีปัญหา ชีวิตจะสำคัญกว่าเงินไปได้ยังไง ตอนที่เข้ามหาลัยฯ ผมเคยคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมนึกว่าระหว่างเราเป็นรักแท้ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่เธอกลับไปที่หมู่บ้านกับผม พึ่งถึงทางเข้าหมู่บ้าน เธอก็บอกว่าปวดท้อง อยากเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย ผมโทรหาเธอ ส่งข้อความให้เธอ ถึงพบว่า ผมได้ถูกเธอบล็อกไปแล้ว”
“ลูกพี่ พี่ว่าสังคมนี่ตลกไหมล่ะ? ในตอนที่คบกับเธอ ผมก็บอกกับเธอว่า ครอบครัวผมจนมาก แต่เธอบอกว่าเธอไม่รังเกียจ แต่พอถึงวันที่ต้องพบกับผู้หลักผู้ใหญ่ เธอกลับกลับคำ คำขอโทษ คำอธิบาย หรือแม้แต่คำด่าก็ไม่มี”
“สามปีเชียวนะ คบกันมาสามปี ลูกพี่ ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง อยู่ดี ๆ ก็สิ้นสุดลง” หรุ่ยเหวินเจ๋หัวเราะเหอะ ๆ พลางกล่าว แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความขมขื่น
พอดูมาถึงตอนนี้ จูเปิ่นตบไหล่หรุ่ยเหวินเจ๋เบา ๆ อย่างเห็นอกเห็นใจ: “แกต้องคิดไปในทางที่ดีสิ แกบอกว่าบ้านแกอยู่ในภูเขาไม่ใช่เหรอ? ไม่แน่ว่าตอนที่แฟนสาวของแกไปเข้าห้องน้ำ อาจจะไม่ทันระวังตกหน้าผาไปก็ได้?”
หรุ่ยเหวินเจ๋หัวเราะคิกคักขึ้นมา กล่าว: “ลูกพี่ครับ พี่ก็อารมณ์ขันเหมือนกันนะนี่ ผมก็ถือว่าเธอได้ตายไปแล้ว แต่เพื่อนของผมกลับบอกว่า ตอนนี้เธอได้หมั้นไปแล้ว หมั้นกับคนที่รวยที่สุดในชั้นของเราในตอนนั้น เป็นคนที่ผมเกลียดที่สุด แล้วก็เป็นคนที่เธอเกลียดที่สุดในตอนนั้น พี่ว่าตลกไหมล่ะ? เพียงเพราะเงิน เธอถึงกลับยอมแต่งกับคนที่ตัวเองเกลียดที่สุด”
“คนเราล้วนเปลี่ยนไปได้” จูเปิ่นเงียบไปสักพัก
“ใช่ เปลี่ยนเป็นเห็นแกเงินมากกว่าเดิม” หรุ่ยเหวินเจ๋กล่าว
“น้องชาย เส้นทางที่ฉันเดิน เป็นเส้นทางที่ไม่อาจหันหลังกลับ หากมีทางเลือก อย่าเลือกเส้นทางเดียวกันกับฉัน จริง ๆ นะ หรือแกจะเป็นหมอที่ไร้คุณธรรมคนหนึ่งก็ได้ หมอในโรงพยาบาล มีใครบ้างที่ไม่รับเงินสกปรก? รอแกเป็นหมอไปสักสองสามปี จนได้ยืนอยู่หน้าเตียงผ่าตัด กำชีวิตคนอื่นไว้ในมือ ในกระเป๋าของแก ยังจะขาดเงินอยู่อีกเหรอ? แกว่าไหมล่ะ? น้องชาย”
“จับงูข้างหาง จะได้รับอันตรายง่าย ๆ เอาได้นะ” จูเปิ่นกล่าวแนะนำ
“ลูกพี่ พี่คิดว่า การมีชีวิตอยู่อย่างไร้ยางอาย มันมีความหมายอะไรไหม? ถ้าพี่บอกว่ามีความหมาย งั้นผมก็จะวางมือ” หรุ่ยเหวินเจ๋ทำเสียงฮึดฮัดทางจมูกหนึ่งครั้ง ยิ้มกล่าว: “เงินที่ไร้คุณธรรม จะได้มาง่าย ๆ ได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัด ส่วนมากล้วนเป็นคนที่น่าสงสารกันทั้งนั้น ผมคนนี้ ถึงแม้จะชื่นชอบเงิน แต่จะให้ผมไปขู่เข็ญเอาเงินกับคนที่น่าสงสาร ผมทำไม่ลงหรอกครับ”
“ทุกครั้งเวลาที่เห็นเหล่าญาติพี่น้องของคนไข้ ร้องไห้น้ำตาไหลไม่หยุด ผมก็มักคิดว่า อย่างน้อยผมก็มีร่างกายที่แข็งแรง แต่ตอนที่ผมได้พบเจอกับพวกลูกพี่ ถึงได้รู้ว่า อะไรคือความมีสง่าราศี ผมเข้าใจ เบื้องหลังของความมีหน้ามีตานั้น จะต้องเต็มไปด้วยข้อเสียมากมาย แต่แล้วยังไงล่ะ?”
“สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ก็สละชีพเพื่อสัจธรรม เป็นหลักทำนองคลองธรรมตั้งแต่โบราณมา ผมรู้ว่าไม่ง่ายกว่าพี่จะมาถึงวันนี้ได้ แต่ลูกพี่ครับที่ผมอยากจะบอกก็คือ ผมสามารถออกมาจากหมู่บ้านในหุบเขาเดินเข้าสู่เมืองใหญ่ได้นั้น ยากยิ่งกว่าอีก หลายครั้งที่ต้องจุดเทียนเพื่อต่อสู้ในยามค่ำคืน ถูกเหยียดหยามนับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับแลกมาด้วยงานที่เงินเดือนสองพันหยวน อะไรที่เรียกว่าโหดร้าย? นี่ไงล่ะที่เรียกว่าโหดร้าย!”
“ลูกพี่ครับ ผมไม่กลัวตายหรอก บาดแผลบนร่างกายของพี่พวกนี้ ผมก็สามารถทนรับได้……” หรุ่ยเหวินเจ๋กล่าว: “ลูกพี่ ผมแค่อยากเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต พี่จะสนับสนุนผมหน่อยไม่ได้เหรอครับ?”
“ลูกพี่ครับ ไม่งั้น พี่ก็รับเจ้าหนุ่มนี่เป็นลูกน้องดีไหมครับ? ในตอนนั้นแฟนผมก็ได้หนีไปกับไอ้หมูตอนคนหนึ่งเหมือนกัน” เสี่ยวซานจื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วยิ้มอย่างขบคิด: “น้องชาย แกก็ไม่ได้แข็งแกร่งตรงไปตรงมาเท่าไหร่นี่”
“รู้ไหมว่าในตอนที่ถูกสวมเขา ฉันทำยังไง? ฉันไปหาไอ้หมูตอนนั่น แล้วแทงมันไปสองครั้ง จากนั้นก็พาผู้หญิงคนนั้นไปในสถานที่เปลี่ยวรกร้าง แล้วขังเธอไว้หลายวัน ฮ่า ๆ รู้ไหม? ตอนนั้นฉันกลายเป็นผู้ร้ายถูกออกหมายจับเลยล่ะ”
ในตอนที่เสี่ยวซานจื่อกำลังพูดนั้น เขาก็พลางหัวเราะไปด้วย
จูเปิ่นถลึงตาใส่เสี่ยวซานจื่อ: “แกหยุดสร้างความวุ่นวายได้แล้ว ทำไม ไม่รู้ว่าตัวเองได้ก่อปัญหาใหญ่แค่ไหนใช่ไหม? ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นแกกับนายน้อยสนิทกัน นายน้อยพยายามปกป้องแกอย่างเต็มที่ล่ะก็ แกคิดว่าแกจะมีชีวิตมาอยู่ตรงนี้อย่างปลอดภัยได้ไหม?”
“แกรู้ไหมว่านายน้อยของเรา เพื่อปกป้องแก หมดเงินไปเท่าไหร่ ใช้กำลังไปมากแค่ไหน? แกมันไม่รู้อะไรสักอย่าง ยังร้องเอะอะโวยวายอยู่ทุกวัน ว่าถ้าหากเจอไอ้อ้วนนั้นอีก จะลากมันไปที่เมรุแล้วจัดการให้มันไปเกิดใหม่ ทำไมเหรอ ที่บ้านแกฆ่าคนไม่ผิดกฎหมายใช่ไหม?”
จูเปิ่นกลอกตามองบนใส่เสี่ยวซานจื่อ และต่อว่าเขาอย่างหนัก
เสี่ยวซานจื่อไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อทันที เขาหันหน้าไปอีกทาง แล้วจุดบุหรี่ให้กลับตัวเองมวลหนึ่ง พลางพึมพำเบา ๆ : “ต้องมีสักวัน ฉันจะจัดการหญิงชายสารเลวคู่นั้นให้ตาย”
จูเปิ่นส่ายหัว แล้วมองดูหรุ่ยเหวินเจ๋กล่าว: “แกอย่าเอามันเป็นแบบอย่างนะ มันเป็นคนบ้าคนหนึ่ง”
หรุ่ยเหวินเจ๋กลับมองไปทางเสี่ยวซานจื่อ เขายิ้มอย่างปลื้มปิติ: “ชีวิตของเขาดีจัง ผมอยากเป็นแบบเขามากเลย เฮ้อ……”
“ผมก็อยากจะมีอารมณ์เหมือนเขา ถือมีดผ่าตัด ช่วยหญิงชายสารเลวคู่นั้น ผ่าท้องของพวกมันออก” หรุ่ยเหวิยเจ๋กล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างเย็นชา
“พูดเพ้อเจ้ออะไรของแกน่ะ? คนอื่นทิ้งแกไป แล้วเขาผิดเหรอ? บ้านของแกอยู่ในเขาลึก ถูกคนรังเกียจก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเพียงแค่หล่อนทิ้งแกไป แกก็จะฆ่าหล่อนงั้นเหรอ? แกแม่งสมองมีปัญหาใช่ไหม?”
“เสี่ยวซานจื่อเป็นบ้า แกก็เป็นบ้า พวกแกแม่งล้วนเป็นบ้า ฉันก็เคยถูกทิ้งไปเหมือนกัน แต่ในตอนที่ฉันถูกทิ้ง ก็ครุ่นคิดว่า ตัวเองมีจุดด้อยตรงไหน ฉันไม่เคยคิดที่จะทำร้ายหรือเอาคืนเลย”
“ดูพวกแกสองคนสิ แต่ละคนนะ ทำไมเหรอ ผู้หญิงนั่นหลอกอะไรพวกแก? หลอกเงิน หรือหลอกหลับนอนด้วย?” จูเปิ่นทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา พลางกล่าวอย่างเหยียดหยาม: “มา พวกแกมาเล่าให้ฉันฟังหน่อยมา!”
“ความรู้สึก!” เสี่ยวซานจื่อและหรุ่ยเหวินเจ๋กล่าวออกมาพร้อมกัน
“ยังจะมาบอกว่าความรู้สึก ทำไมเหรอ? ผู้หญิงเขาไม่มีความรู้สึกหรือไง? ในตอนนั้นที่ทิ้งพวกแกไป หล่อนไม่เสียใจหรือไง? เพียงแต่ในสังคมของความเป็นจริง ความรักกับแต่งงานมันคนละเรื่องกัน แต่งงานแล้วต้องเผชิญหน้ากับข้าวปลาอาหาร มีลูกก็ต้องคำนึงถึงเงินซื้อนม แกสองคนไม่มีอะไรเลย ถูกทิ้งก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ?
จูเปิ่นโมโหด่าแม่งออกมาหนึ่งครั้ง ชี้หน้าหรุ่ยเหวินเจ๋กล่าว: “ทำงานให้ฉันเสร็จแล้วก็รีบไสหัวไปซะ ไอ้คนไม่มีหัวใจ”
“ผู้หญิงคนนั้นคบกับแกมาสามปี สามปีนี้แกทำอะไรบ้าง? แกพยายามหรือยัง? แกเคยให้อะไรหล่อนบ้าง? หล่อนก็ต้องแลกด้วยความเป็นสาวสามปี แลกด้วยอารมณ์ความรู้สึกสามปีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ความเป็นสาวของผู้หญิงมีแค่ไม่กี่ปี สามปีได้สูญเสียไปกับแก แกยังต้องการอะไรอีก? ตอนนี้จะแต่งกับคนรวยแล้ว แกยังอยากจะฆ่าหล่อน แกมันใช่คนไหม?”
“การรักคนคนหนึ่ง จะต้องอวยพรให้เขามีความสุข ตกลงแล้วแกเคยรักหล่อนบ้างหรือเปล่า”
จูเปิ่นพูดจบ ก็หันหน้าไปทางอื่น แล้วแอบเช็ดน้ำตา
คนขับรถหัวเราะคิกคัก ราวกับค่อนข้างจะมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น: “ผมว่านะ พวกคุณคงว่างมาก หาเรื่องอื่นทำไม่ดีเหรอ ทำไมต้องไปมีความรัก? เหอะ ๆ ดูผมสิ ไม่เคยต้องเสียใจเลย”
“ผมแค่เที่ยวผู้หญิง จุดมุ่งหมายของผมคือเที่ยวผู้หญิงให้ครบทุกที่ในประเทศ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ผมจะเที่ยวจนหมดแรง เที่ยวจนทำให้ตัวเองรู้สึกตื้นตันใจ” ชายหนุ่มที่ขับรถกล่าว
“ไสหัวไปเลย สักวันแกจะต้องนอนตายอยู่บนท้องของผู้หญิง”
จูเปิ่นด่า แล้วกล่าว: “อีกนานไหมกว่าจะถึง?”
“ถึงแล้วครับ ผมกำลังขับวนอยู่”
จูเปิ่นอืมตอบรับ เขามองหรุ่ยเหวินเจ๋ แล้วกล่าว: “จับตาดูให้ดี ๆ ล่ะ ยังไงแกก็เคยเจอพวกมัน ช่วยพวกเราทำงานนี้ให้ดี งานเสร็จแล้ว ฉันจ่ายให้แกแสนหนึ่ง”
“ลูกพี่ ผมเห็นพวกมันแล้วครับ” ทันใดนั้นลูกตาของหรุ่ยเหวินเจ๋พลันขยับ พลางกล่าว