NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 596 คุณค่าของจิตสำนึก

บทที่ 596 คุณค่าของจิตสำนึก

หรุ่ยเหวินเจ๋ลูบหัวตัวเองอย่างเขินๆ แล้วพูดว่า “แม้ว่าผมจะมีใบขับขี่ แต่ก็ไม่ค่อยได้ขับรถซักเท่าไหร่ ฝีมือไม่ค่อยได้เรื่อง ต้องขอโทษด้วย”

หรุ่ยเหวินเจ๋พูดไป พร้อมกับยิ้มอย่างเขินๆ แล้วหันไปมองเสี่ยวซานจื่อ “ให้ผมขึ้นรถอีกครั้ง แล้วชนพวกเขาอีกสักรอบไหม?”

“พอแล้ว พวกแกสองคนอย่าเอาแต่เล่น รีบทำงานกันเถอะ” จูเปิ่นลงมาจากรถ จ้องมองไปยังหรุ่นเหวินเจ๋และเสี่ยวซานจื่อแวบนึง

เฉินฝูเซิงที่ดูอยู่ไกลๆ ไม่ได้ออกมา เขาแค่ดูสังเกตการณ์อยู่ที่ไกลๆ

“แม่งเอ๊ย ไอ้มู่เสี่ยวไป๋โหดเหี้ยมซะจริง แม้แต่คนของตัวเองยังไม่เว้น” เฉินฝูเซิงที่นั่งอยู่บนรถ จู่ๆก็พูดออกมา

จูเปิ่นหันไปมองทั้งสองที่อยู่ในซอย แสดงสีหน้าที่เคร่งขรึมออกมา “แม่งเอ๊ย คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็มาไม่ทัน”

ชายผมสั้นในตอนนี้ มีดที่เสียบอยู่ได้แทงทะลุร่างเข้าไปข้างในร่าง แถมยังแทงทะลุเข้าไปถึงอวัยวะข้างใน

ก็หมายความว่า ชายผมสั้นคนนี้ โอกาสที่จะตายมีถึงแปดส่วน

“เป็นเพราะแกเลย” เสี่ยวซานจื่อหันไปพูดกับหรุ่ยเหวินเจ๋ “ถ้าเกิดแกขับรถเร็วกว่านี้ คนที่อยู่ตรงนั้น ก็คงไม่ต้องถูกมีดแทงแล้ว”

หรุ่มยเหวินเจ๋ทำหน้างง จ้องมองชายผมสั้นที่อยู่ข้างในซอย แล้วพูดว่า “คนนี้ยังไม่ตายซะหน่อย ถ้าเกิดรีบปฐมพยาบาล น่าจะไม่เป็นอะไร”

“ปฐมพยาบาลห่าอะไร มีดมันแทงทะลุไปถึงข้างในแล้ว” เสี่ยวซานจื่อพูดด้วยความโกรธ

สำหรับเสี่ยวซานจื่อและพวกจูเปิ่น ความจริงชีวิตของชายผมสั้น ก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะยังมีไอ้โมฮอกคนนั้นอยู่อีกหนึ่งคน แต่หรุ่ยเหวินเจ๋ได้เรียนแพทย์มา หลักการของหมอก็คือต้องช่วยเหลือคนให้ถึงที่สุด หรุ่ยเหวินเจ๋พูดว่า “เขายังมีโอกาสรอด เดี๋ยวผมจะโทรไปหาเพื่อนร่วมงาน”

“หมายความว่าไง?”เสี่ยวซานจื่อมองไปยังหรุ่ยเหวินเจ๋ ด้วยใบหน้าที่มึนงง

“เขาไม่สามารถทนได้นานขนาดนั้น คงต้องรีบรักษาตั้งแต่ตอนนี้” หรุ่ยเหวินเจ๋หันไปมองชายผมสั้น แล้วเดินเข้าไป ระหว่างทาง ก็มีชายสวมหน้ากากคนนึงที่จู่ๆก็พุ่งเข้ามา บนมือถือมีดเอาไว้ พุ่งแทงไปยังหรุ่ยเหวินเจ๋

แต่หรุ่ยเหวินเจ๋ได้เตรียมป้องกันเอาไว้แล้ว ในวินาทีมีดแทงเข้ามา เขาเผยรอยยิ้มออกมา เขาก้าวเท้าหลบก่อนที่จะถึงตัว ไม่เพียงแค่สามารถหลบมีดของชายสวมหน้ากากได้ แถมยังหยิบมีดทหารขนาดเล็กออกมา แล้วแทงเข้าไปยังท้องของชายสวมหน้ากาก

“อย่าขยะล่ะ เพื่อน ตำแหน่งที่ฉันแทง ตรงกับหลอดเลือดใหญ่พอดี ถ้าเกิดแกขยับแม้แต่น้อย หลอดเลือดใหญ่ของแกก็จะแตก ถึงตอนนั้นแผลนี้ ก็จะมีเลือดพุ่งออกมา ที่นี่ห่างจากโรงบาลอยู่มาก รถพยาบาลที่เร็วที่สุด ก็ยังต้องใช้เวลาถึงสิบนาที ภายในสิบนาทีนี้ ฉันขอรับประกันว่าเลือดบนตัวของแก คงไหลไปเกินครึ่ง ถึงเวลานั้น ใครก็ช่วยแกไม่ได้”

หรุ่ยเหวินเจ๋มองหน้าของชายสวมหน้ากาก แล้วพูดเตือนด้วยรอยยิ้ม

“มึงขู่กูเหรอ!”ชายสวมหน้ากากไม่ค่อยเชื่อ รู้สึกว่าหรุ่ยเหวินเจ๋คนนี้กำลังโกหกอยู่

“ฮ่าๆ ถ้าเกิดแกไม่เชื่อ แกลองขยับตัวไปทางขวาดูสิ ตำแหน่งที่ฉันแทงอยู่ อยู่ใกล้กับหลอดเลือดใหญ่ของแก ใบมีดอยู่ใกล้กับหลอดเลือดใหญ่ของแก มันอยู่ใกล้กันมาก ลองขยับซะนิด หลอดเลือดใหญ่ของแก ก็จะฉีกขาด”

“นี่เป็นนามบัตรของฉัน ฉันเป็นหมอ” หรุ่ยเหวินเจ๋หยิบบัตรพนักงานของตัวเองออกมา

แค่เอาออกมาโชว์ต่อหน้าชายสวมหน้ากากเพียงแวบเดียว ชายสวมหน้ากากก็เชื่อทันที

“ยืนอยู่แบบนี้ห้ามขยับ รอให้เพื่อนร่วมงานฉันมาก่อน”

หรุ่ยเหวินเจ๋พูด แล้วหยิบมือถือออกมาอย่างใจเย็น แล้วโทรไปหาเพื่อนร่วมงานของตัวเอง “พี่จาง ตรงที่ฉันอยู่มีคนไข้อยู่สองคน คุณต้องมาดูซะหน่อย คนนึงถูกมีดแทงทะลุไปถึงอวัยะข้างใน ผมไม่ได้พูดเล่น มันเป็นความจริง ถ้าเกิดคุณไม่เชื่ออีกเดี๋ยวผมจะถ่ายรูปแล้วส่งไปทางวีแชท ที่อยู่ผมก็จะส่งไปทางวีแชท อีกอย่าง เอาถุงเลือดมาด้วย ผมคิดว่าอีกเดี๋ยว ก็คงจะมีสองคนที่ต้องการเลือดเป็นอย่างมาก”

หรุ่ยเหวินเจ๋พูดไป พร้อมกับหันกลับมามองชายสวมหน้าหน้ากาก “เห้ยเพื่อน แกเลือดกรุ๊ปอะไร?”

“กรุ๊ป O” ชายสวมหน้ากากมองไปยังหรุ่ยเหวินเจ๋ แววตาเผยความหวาดกลัวออกมา

“พี่จาง ได้ยินรึเปล่า? เลือดกรุ๊ป O”

พูดจบ หรุ่ยเหวินเจ๋ก็หันกลับมามองชายสวมหน้ากากอีกครั้ง แล้วถามว่า “เห้ยเพื่อน แกต้องการกี่ถุง”

“ยิ่งเยอะยิ่งดี ผมยังไม่อยากตาย” ชายสวมหน้ากากกระซิบออกไป

“ได้ สองหมื่นต่อหนึ่งถุง จะให้แกห้าถุงแล้วกัน” หรุ่ยเหวินเจ๋มองไปด้วยพร้อมรอยยิ้ม เหมือนกับคนที่หลงไหลในเงินทองเป็นอย่างมาก

หรุ่ยเหวินเจ๋มองไปยังชายสวมหน้ากาก แล้วถามว่า “เอางี้ ถ้าเกิดต้องการก็จ่ายเงินมาก่อน”

“ลูกพี่ คุณเอามาเยอะๆหน่อย ผมกลัวว่ามันจะไม่พอ” ชายสวมหน้ากากพูดอย่างไม่สนอะไร

แววตาของหรุ่ยเหวินเจ๋เป็นประกาย พูดพร้อมหัวเราะ “ได้ ในโกดังมีอีกเยอะ จะเอามาให้แกสักสิบถุง ทั้งหมดก็สองแสน ยังมีค่า ที่คุณหมอต้องออกมานอกสถานที่ ต้องพับแผล ทายาอะไรพวกนั้นอีกที่ต้องจ่าย”

“วางใจได้ ไม่โกงแกอย่างแน่นอน นี้พวกเราเรียกว่าคุณค่าของจิตสำนึก” หรุ่ยเหวินเจ๋หัวเราะฮิๆ

พอเห็นหรุ่ยเหวินเจ๋ทำแบบนี้ ก็ไม่มีใครกล้าลงมือกับหรุ่ยเหวินเจ๋อีก

ตอนนี้ ชีวิตของพี่น้องตัวเอง ยังอยู่ในกำมือของหรุ่ยเหวินเจ๋

“พี่จาง เจอคนรวยเข้าแล้ว เอาถุงเลือดมาให้เยอะๆล่ะ” หรุ่ยเหวินเจ๋หันไปพูดกับคนที่อยู่ในสาย หัวเราะฮ่าๆ

ทันใดนั้น ก็มีชายสวมหน้ากากคนนึงถอดผ้าปิดปากออก แล้วหันไปถามพวกจูเปิ่นว่า “แกเป็นพวกไหนกัน ทำไมถึงต้องมายุ่งเรื่องของพวกเราด้วย?”

“คิดจะเข้ามาเสือกรึไง ถ้าจะหนีก็รีบหนี ใช้โอกาสนี้ถอยกลับไปก็ยังทัน”

จูเปิ่นหัวเราะ ชี้ไปทางข้างหลังตัวเอง “เห็นรถสีคันที่อยู่ข้างหลังไหม ข้างในเต็มไปด้วยคน แถมทุกคนก็อาวุธครบมือ ฉันรู้ว่าแกเองก็ไม่ใช่คนอ่อนแออะไร แต่ฉันไม่เชื่อว่า พวกเรามีคนมากขนาดนี้ จะสู้กับพวกแกที่มีแค่ไม่กี่คนไม่ได้?”

เสี่ยวซานจื่อก็ยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “ลูกพี่ จะมัวแต่คุยกับพวกโง่นี้ทำไมกัน ฆ่าพวกมันซะก็หมดเรื่อง”

“ดูสิข้างๆนี้ก็มีป่าอยู่ หั่นพวกมันเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็เอาไปฝั่งข้างในป่า ให้พวกมันกลายเป็นปุ่ย ดีจะตาย” เสี่ยวซานจื่อพูด

“กูชื่อว่าเจว๋เหริน ถ้าเกิดพวกมึงเป็นคนของเมืองเอก ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อของฉันบ้าง” คนๆนี้พูดออกมา

“เจว๋เหริน?”

เสี่ยวซานจื่อหัวเราะฮ่าๆ พูดติดตลกว่า “ชื่อเหี้ยอะไร มีคนที่ใช้ชื่อว่าเจว๋เหรินด้วยเหรอ?”

“ต้องขอโทษด้วย พวกเราไม่ใช่คนของเมืองเอก เพราะงั้นต่อให้บอกฉายากับพวกเรา แกคงจะพูดผิดคนแล้ว”เสี่ยวซานจื่อพูดลากเสียงยาว

“พวกมึงเป็นคนของเฉินฝูเซิง” เจว๋เหรินรีบพูดกลับไป

เจว๋เหรินพูดอย่างมั่นใจว่า “กูรู้แล้วว่าศัตรูของพวกกูเป็นใคร……ฮ่าๆ พวกมึงเป็นคนของคุณชายหลี่ถูกไหม? ข้างกายคุณชายหลี่ มีหัวหอกอยู่สามคน คนแรก ก็คือหวางเห้า คนที่สอง คือหวางเสี่ยวหยวน ทั้งสองคนนี้ กูก็เรียกได้รู้จัก แต่ยกเว้นพวกมึง ล้วนเป็นคนแปลกหน้า”

“กลับไปอย่างตะวันออกเฉียงเหนือของพวกมึงซะเถอะ อย่ามาเล่นมาน้ำขุ่นแถวนี้เลย เดี๋ยวก็จนน้ำตายหรอก”

เจว๋เหรินหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วมองไปยังจูเปิ่นกับเสี่ยวซานจื่อ “เฉินฝูเซิงล่ะ? ทำไมเขาถึงไม่มาด้วย อยู่ข้างในรถที่อยู่ข้างหลังรึเปล่า?”

“ช่างเป็นคนที่ปอดแหกซะจริง” เจว๋เหรินแสดงสีหน้าที่เยาะเย้ยออกมา

“มึงตั้งหากที่เป็นคนปอดแหก แค่จัดการกับคนกระจอกอย่างมึง คุณชายของพวกเราไม่จำเป็นต้องออกโรง? แค่กูคนเดียว ก็จัดการคนอย่างมึงได้แล้ว”

เสี่ยวซานจื่อพูดด้วยความโกรธ

“งั้นมึงลองแสดงให้กูดูสิ” เจว๋เหรินพูดด้วยน้ำเสียงที่กวนบาทากลับไปหาเสี่ยวซานจื่อ

เดิมทีเสี่ยวซานจื่อก็เป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว สะกิดนิดก็เดือดแล้ว เพิ่งพูดจบ เสี่ยวซานจื่อก็พุ่งเข้าไปทันที มุมปากของเจว๋เหริน เผยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ออกมา

เสี่ยวซานจื่อเพิ่งพุ่งเข้ามา เจว๋เหรินก็ถือมีดฟันออกไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่า (ฉัวะ)……

เจว๋เหรินเคลื่อนไหวเร็วมาก แต่ ก็มีลูกเหล็ก ลอยเข้ามาในเวลาเดียวกัน ทำให้มีดที่อยู่บนมือของเสี่ยวซานจื่อ หักในทันที

แต่ต่อให้ไม่มีมีด เสี่ยวซานจื่อก็ไม่ใช่คู่มือของเจว๋เหรินอยู่ดี

เสี่ยวซานจื่อโดนเจว๋เหรินเตะลงไปนอนกับพื้น ตอนที่กำลังจะงัดหมัดซักใส่หน้าของเสี่ยวซานจื่อ จูเปิ่นก็ยกแขนขึ้นมา หยิบปืนออกมา ชี้ไปทางเจว๋เหริน แล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่าแกเป็นใคร”

“เจว๋เหริน เข้าวงการนี้ตั้งแต่อายุสิบแปด แถมยังฆ่าคน จนมีชื่อเสียงขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นหัวหน้าที่อายุน้อยที่สุดของเมืองเอก แต่เพราะไม่มีคนหนุนหลัง เรื่องที่ก่อมันใหญ่เกินไป เพราะงั้นสุดท้ายจึงต้องวิ่งหนีอย่างไม่มีทางเลือก”

“ทำไม ข้างนอกอยู่ไม่สบายรึไง ถึงได้กลับมา?”

พอได้ยินแบบนี้ ใบหน้าของเจว๋เหรินก็เต็มไปด้วยความตกใจ ต่อให้ฝันเขาก็คงนึกไม่ถึงว่า ลูกน้องของเฉินฝูเซิง จะมีคนที่รู้จักเขาอยู่ด้วย

“ดูเหมือนมึงจะทำการบ้านมาดี” เจว๋เหรินพูด พร้อมกับหันไปมองจูเปิ่น

“แกเองก็เหมือนกันไม่ใช่รึไง?”จูเปิ่นยิ้ม แล้วพูดว่า “จะไปหรือไม่ไป? จะให้โอกาสแกอีกสักครั้ง”

เจว๋เหรินมองพี่น้องของตัวเองที่ได้รับบาดเจ็บ ลังเลอยู่พักนึง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท