หรุ่ยเหวินเจ๋ลูบหัวตัวเองอย่างเขินๆ แล้วพูดว่า “แม้ว่าผมจะมีใบขับขี่ แต่ก็ไม่ค่อยได้ขับรถซักเท่าไหร่ ฝีมือไม่ค่อยได้เรื่อง ต้องขอโทษด้วย”
หรุ่ยเหวินเจ๋พูดไป พร้อมกับยิ้มอย่างเขินๆ แล้วหันไปมองเสี่ยวซานจื่อ “ให้ผมขึ้นรถอีกครั้ง แล้วชนพวกเขาอีกสักรอบไหม?”
“พอแล้ว พวกแกสองคนอย่าเอาแต่เล่น รีบทำงานกันเถอะ” จูเปิ่นลงมาจากรถ จ้องมองไปยังหรุ่นเหวินเจ๋และเสี่ยวซานจื่อแวบนึง
เฉินฝูเซิงที่ดูอยู่ไกลๆ ไม่ได้ออกมา เขาแค่ดูสังเกตการณ์อยู่ที่ไกลๆ
“แม่งเอ๊ย ไอ้มู่เสี่ยวไป๋โหดเหี้ยมซะจริง แม้แต่คนของตัวเองยังไม่เว้น” เฉินฝูเซิงที่นั่งอยู่บนรถ จู่ๆก็พูดออกมา
จูเปิ่นหันไปมองทั้งสองที่อยู่ในซอย แสดงสีหน้าที่เคร่งขรึมออกมา “แม่งเอ๊ย คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็มาไม่ทัน”
ชายผมสั้นในตอนนี้ มีดที่เสียบอยู่ได้แทงทะลุร่างเข้าไปข้างในร่าง แถมยังแทงทะลุเข้าไปถึงอวัยวะข้างใน
ก็หมายความว่า ชายผมสั้นคนนี้ โอกาสที่จะตายมีถึงแปดส่วน
“เป็นเพราะแกเลย” เสี่ยวซานจื่อหันไปพูดกับหรุ่ยเหวินเจ๋ “ถ้าเกิดแกขับรถเร็วกว่านี้ คนที่อยู่ตรงนั้น ก็คงไม่ต้องถูกมีดแทงแล้ว”
หรุ่มยเหวินเจ๋ทำหน้างง จ้องมองชายผมสั้นที่อยู่ข้างในซอย แล้วพูดว่า “คนนี้ยังไม่ตายซะหน่อย ถ้าเกิดรีบปฐมพยาบาล น่าจะไม่เป็นอะไร”
“ปฐมพยาบาลห่าอะไร มีดมันแทงทะลุไปถึงข้างในแล้ว” เสี่ยวซานจื่อพูดด้วยความโกรธ
สำหรับเสี่ยวซานจื่อและพวกจูเปิ่น ความจริงชีวิตของชายผมสั้น ก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะยังมีไอ้โมฮอกคนนั้นอยู่อีกหนึ่งคน แต่หรุ่ยเหวินเจ๋ได้เรียนแพทย์มา หลักการของหมอก็คือต้องช่วยเหลือคนให้ถึงที่สุด หรุ่ยเหวินเจ๋พูดว่า “เขายังมีโอกาสรอด เดี๋ยวผมจะโทรไปหาเพื่อนร่วมงาน”
“หมายความว่าไง?”เสี่ยวซานจื่อมองไปยังหรุ่ยเหวินเจ๋ ด้วยใบหน้าที่มึนงง
“เขาไม่สามารถทนได้นานขนาดนั้น คงต้องรีบรักษาตั้งแต่ตอนนี้” หรุ่ยเหวินเจ๋หันไปมองชายผมสั้น แล้วเดินเข้าไป ระหว่างทาง ก็มีชายสวมหน้ากากคนนึงที่จู่ๆก็พุ่งเข้ามา บนมือถือมีดเอาไว้ พุ่งแทงไปยังหรุ่ยเหวินเจ๋
แต่หรุ่ยเหวินเจ๋ได้เตรียมป้องกันเอาไว้แล้ว ในวินาทีมีดแทงเข้ามา เขาเผยรอยยิ้มออกมา เขาก้าวเท้าหลบก่อนที่จะถึงตัว ไม่เพียงแค่สามารถหลบมีดของชายสวมหน้ากากได้ แถมยังหยิบมีดทหารขนาดเล็กออกมา แล้วแทงเข้าไปยังท้องของชายสวมหน้ากาก
“อย่าขยะล่ะ เพื่อน ตำแหน่งที่ฉันแทง ตรงกับหลอดเลือดใหญ่พอดี ถ้าเกิดแกขยับแม้แต่น้อย หลอดเลือดใหญ่ของแกก็จะแตก ถึงตอนนั้นแผลนี้ ก็จะมีเลือดพุ่งออกมา ที่นี่ห่างจากโรงบาลอยู่มาก รถพยาบาลที่เร็วที่สุด ก็ยังต้องใช้เวลาถึงสิบนาที ภายในสิบนาทีนี้ ฉันขอรับประกันว่าเลือดบนตัวของแก คงไหลไปเกินครึ่ง ถึงเวลานั้น ใครก็ช่วยแกไม่ได้”
หรุ่ยเหวินเจ๋มองหน้าของชายสวมหน้ากาก แล้วพูดเตือนด้วยรอยยิ้ม
“มึงขู่กูเหรอ!”ชายสวมหน้ากากไม่ค่อยเชื่อ รู้สึกว่าหรุ่ยเหวินเจ๋คนนี้กำลังโกหกอยู่
“ฮ่าๆ ถ้าเกิดแกไม่เชื่อ แกลองขยับตัวไปทางขวาดูสิ ตำแหน่งที่ฉันแทงอยู่ อยู่ใกล้กับหลอดเลือดใหญ่ของแก ใบมีดอยู่ใกล้กับหลอดเลือดใหญ่ของแก มันอยู่ใกล้กันมาก ลองขยับซะนิด หลอดเลือดใหญ่ของแก ก็จะฉีกขาด”
“นี่เป็นนามบัตรของฉัน ฉันเป็นหมอ” หรุ่ยเหวินเจ๋หยิบบัตรพนักงานของตัวเองออกมา
แค่เอาออกมาโชว์ต่อหน้าชายสวมหน้ากากเพียงแวบเดียว ชายสวมหน้ากากก็เชื่อทันที
“ยืนอยู่แบบนี้ห้ามขยับ รอให้เพื่อนร่วมงานฉันมาก่อน”
หรุ่ยเหวินเจ๋พูด แล้วหยิบมือถือออกมาอย่างใจเย็น แล้วโทรไปหาเพื่อนร่วมงานของตัวเอง “พี่จาง ตรงที่ฉันอยู่มีคนไข้อยู่สองคน คุณต้องมาดูซะหน่อย คนนึงถูกมีดแทงทะลุไปถึงอวัยะข้างใน ผมไม่ได้พูดเล่น มันเป็นความจริง ถ้าเกิดคุณไม่เชื่ออีกเดี๋ยวผมจะถ่ายรูปแล้วส่งไปทางวีแชท ที่อยู่ผมก็จะส่งไปทางวีแชท อีกอย่าง เอาถุงเลือดมาด้วย ผมคิดว่าอีกเดี๋ยว ก็คงจะมีสองคนที่ต้องการเลือดเป็นอย่างมาก”
หรุ่ยเหวินเจ๋พูดไป พร้อมกับหันกลับมามองชายสวมหน้าหน้ากาก “เห้ยเพื่อน แกเลือดกรุ๊ปอะไร?”
“กรุ๊ป O” ชายสวมหน้ากากมองไปยังหรุ่ยเหวินเจ๋ แววตาเผยความหวาดกลัวออกมา
“พี่จาง ได้ยินรึเปล่า? เลือดกรุ๊ป O”
พูดจบ หรุ่ยเหวินเจ๋ก็หันกลับมามองชายสวมหน้ากากอีกครั้ง แล้วถามว่า “เห้ยเพื่อน แกต้องการกี่ถุง”
“ยิ่งเยอะยิ่งดี ผมยังไม่อยากตาย” ชายสวมหน้ากากกระซิบออกไป
“ได้ สองหมื่นต่อหนึ่งถุง จะให้แกห้าถุงแล้วกัน” หรุ่ยเหวินเจ๋มองไปด้วยพร้อมรอยยิ้ม เหมือนกับคนที่หลงไหลในเงินทองเป็นอย่างมาก
หรุ่ยเหวินเจ๋มองไปยังชายสวมหน้ากาก แล้วถามว่า “เอางี้ ถ้าเกิดต้องการก็จ่ายเงินมาก่อน”
“ลูกพี่ คุณเอามาเยอะๆหน่อย ผมกลัวว่ามันจะไม่พอ” ชายสวมหน้ากากพูดอย่างไม่สนอะไร
แววตาของหรุ่ยเหวินเจ๋เป็นประกาย พูดพร้อมหัวเราะ “ได้ ในโกดังมีอีกเยอะ จะเอามาให้แกสักสิบถุง ทั้งหมดก็สองแสน ยังมีค่า ที่คุณหมอต้องออกมานอกสถานที่ ต้องพับแผล ทายาอะไรพวกนั้นอีกที่ต้องจ่าย”
“วางใจได้ ไม่โกงแกอย่างแน่นอน นี้พวกเราเรียกว่าคุณค่าของจิตสำนึก” หรุ่ยเหวินเจ๋หัวเราะฮิๆ
พอเห็นหรุ่ยเหวินเจ๋ทำแบบนี้ ก็ไม่มีใครกล้าลงมือกับหรุ่ยเหวินเจ๋อีก
ตอนนี้ ชีวิตของพี่น้องตัวเอง ยังอยู่ในกำมือของหรุ่ยเหวินเจ๋
“พี่จาง เจอคนรวยเข้าแล้ว เอาถุงเลือดมาให้เยอะๆล่ะ” หรุ่ยเหวินเจ๋หันไปพูดกับคนที่อยู่ในสาย หัวเราะฮ่าๆ
ทันใดนั้น ก็มีชายสวมหน้ากากคนนึงถอดผ้าปิดปากออก แล้วหันไปถามพวกจูเปิ่นว่า “แกเป็นพวกไหนกัน ทำไมถึงต้องมายุ่งเรื่องของพวกเราด้วย?”
“คิดจะเข้ามาเสือกรึไง ถ้าจะหนีก็รีบหนี ใช้โอกาสนี้ถอยกลับไปก็ยังทัน”
จูเปิ่นหัวเราะ ชี้ไปทางข้างหลังตัวเอง “เห็นรถสีคันที่อยู่ข้างหลังไหม ข้างในเต็มไปด้วยคน แถมทุกคนก็อาวุธครบมือ ฉันรู้ว่าแกเองก็ไม่ใช่คนอ่อนแออะไร แต่ฉันไม่เชื่อว่า พวกเรามีคนมากขนาดนี้ จะสู้กับพวกแกที่มีแค่ไม่กี่คนไม่ได้?”
เสี่ยวซานจื่อก็ยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “ลูกพี่ จะมัวแต่คุยกับพวกโง่นี้ทำไมกัน ฆ่าพวกมันซะก็หมดเรื่อง”
“ดูสิข้างๆนี้ก็มีป่าอยู่ หั่นพวกมันเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็เอาไปฝั่งข้างในป่า ให้พวกมันกลายเป็นปุ่ย ดีจะตาย” เสี่ยวซานจื่อพูด
“กูชื่อว่าเจว๋เหริน ถ้าเกิดพวกมึงเป็นคนของเมืองเอก ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อของฉันบ้าง” คนๆนี้พูดออกมา
“เจว๋เหริน?”
เสี่ยวซานจื่อหัวเราะฮ่าๆ พูดติดตลกว่า “ชื่อเหี้ยอะไร มีคนที่ใช้ชื่อว่าเจว๋เหรินด้วยเหรอ?”
“ต้องขอโทษด้วย พวกเราไม่ใช่คนของเมืองเอก เพราะงั้นต่อให้บอกฉายากับพวกเรา แกคงจะพูดผิดคนแล้ว”เสี่ยวซานจื่อพูดลากเสียงยาว
“พวกมึงเป็นคนของเฉินฝูเซิง” เจว๋เหรินรีบพูดกลับไป
เจว๋เหรินพูดอย่างมั่นใจว่า “กูรู้แล้วว่าศัตรูของพวกกูเป็นใคร……ฮ่าๆ พวกมึงเป็นคนของคุณชายหลี่ถูกไหม? ข้างกายคุณชายหลี่ มีหัวหอกอยู่สามคน คนแรก ก็คือหวางเห้า คนที่สอง คือหวางเสี่ยวหยวน ทั้งสองคนนี้ กูก็เรียกได้รู้จัก แต่ยกเว้นพวกมึง ล้วนเป็นคนแปลกหน้า”
“กลับไปอย่างตะวันออกเฉียงเหนือของพวกมึงซะเถอะ อย่ามาเล่นมาน้ำขุ่นแถวนี้เลย เดี๋ยวก็จนน้ำตายหรอก”
เจว๋เหรินหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วมองไปยังจูเปิ่นกับเสี่ยวซานจื่อ “เฉินฝูเซิงล่ะ? ทำไมเขาถึงไม่มาด้วย อยู่ข้างในรถที่อยู่ข้างหลังรึเปล่า?”
“ช่างเป็นคนที่ปอดแหกซะจริง” เจว๋เหรินแสดงสีหน้าที่เยาะเย้ยออกมา
“มึงตั้งหากที่เป็นคนปอดแหก แค่จัดการกับคนกระจอกอย่างมึง คุณชายของพวกเราไม่จำเป็นต้องออกโรง? แค่กูคนเดียว ก็จัดการคนอย่างมึงได้แล้ว”
เสี่ยวซานจื่อพูดด้วยความโกรธ
“งั้นมึงลองแสดงให้กูดูสิ” เจว๋เหรินพูดด้วยน้ำเสียงที่กวนบาทากลับไปหาเสี่ยวซานจื่อ
เดิมทีเสี่ยวซานจื่อก็เป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว สะกิดนิดก็เดือดแล้ว เพิ่งพูดจบ เสี่ยวซานจื่อก็พุ่งเข้าไปทันที มุมปากของเจว๋เหริน เผยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ออกมา
เสี่ยวซานจื่อเพิ่งพุ่งเข้ามา เจว๋เหรินก็ถือมีดฟันออกไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่า (ฉัวะ)……
เจว๋เหรินเคลื่อนไหวเร็วมาก แต่ ก็มีลูกเหล็ก ลอยเข้ามาในเวลาเดียวกัน ทำให้มีดที่อยู่บนมือของเสี่ยวซานจื่อ หักในทันที
แต่ต่อให้ไม่มีมีด เสี่ยวซานจื่อก็ไม่ใช่คู่มือของเจว๋เหรินอยู่ดี
เสี่ยวซานจื่อโดนเจว๋เหรินเตะลงไปนอนกับพื้น ตอนที่กำลังจะงัดหมัดซักใส่หน้าของเสี่ยวซานจื่อ จูเปิ่นก็ยกแขนขึ้นมา หยิบปืนออกมา ชี้ไปทางเจว๋เหริน แล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่าแกเป็นใคร”
“เจว๋เหริน เข้าวงการนี้ตั้งแต่อายุสิบแปด แถมยังฆ่าคน จนมีชื่อเสียงขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นหัวหน้าที่อายุน้อยที่สุดของเมืองเอก แต่เพราะไม่มีคนหนุนหลัง เรื่องที่ก่อมันใหญ่เกินไป เพราะงั้นสุดท้ายจึงต้องวิ่งหนีอย่างไม่มีทางเลือก”
“ทำไม ข้างนอกอยู่ไม่สบายรึไง ถึงได้กลับมา?”
พอได้ยินแบบนี้ ใบหน้าของเจว๋เหรินก็เต็มไปด้วยความตกใจ ต่อให้ฝันเขาก็คงนึกไม่ถึงว่า ลูกน้องของเฉินฝูเซิง จะมีคนที่รู้จักเขาอยู่ด้วย
“ดูเหมือนมึงจะทำการบ้านมาดี” เจว๋เหรินพูด พร้อมกับหันไปมองจูเปิ่น
“แกเองก็เหมือนกันไม่ใช่รึไง?”จูเปิ่นยิ้ม แล้วพูดว่า “จะไปหรือไม่ไป? จะให้โอกาสแกอีกสักครั้ง”
เจว๋เหรินมองพี่น้องของตัวเองที่ได้รับบาดเจ็บ ลังเลอยู่พักนึง