“ไอ้หนู แกเป็นใครกันน่ะ?”
“นั่นสิ พวกเราไม่ได้มีความแค้นอะไรกับแกสัหน่อย ทำไมแกต้องฆ่าล้างบางด้วย?”
กลุ่มที่อยู่ตรงหน้า พอได้ยินคำพูดของหลี่ฝาง ก็เผยใบหน้าที่ตกใจและโกรธแค้นออกมา
เวลานี้ พวกเขารู้สึกว่าหลี่ฝางไม่มีเหตุผลเอาสักเลย
ไม่ว่าจะยังไง พวกเขาก็เป็นแค่หมาก ถ้าต้องการจะฆ่า ก็ควรเป็นการคนที่ค่อยสั่งการถึงจะถูก
ทำไมต้องมาหาเรื่องกับหมากอย่างพวกเขาด้วยล่ะ?
ซุนจิ้นมองหลี่ฝางด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่ใบหน้าของไอ้หน้าหนวด กลับเผยใบหน้าที่ดุร้าย
“คนที่อยู่ที่นี่ สามปีก่อน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็คงจะเคยเข้าร่วมการปราบหลอซ่าถูกไหม?”
ไอ้หน้าหนวดเปิดปากออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา
ตอนนั้นไอ้หน้าหนวด เป็นแค่ลูกกะจ๊อก เขาไม่ได้มีความสามารถอะไร แต่เขาเป็นจริงใจ แถมยังติดตามหลอซ่า มาอย่างยาวนาน
สามปีก่อน สี่ตระกูลใหญ่ร่วมหัวกันปราบหลอซ่ากับท่านจวน ท่านจวนรับแรงกดดันไม่ไหว จึงล่าถอยกลับไป
ตอนนั้นหลอซ่าเองก็อยากจะล่าถอย แต่สี่ตระกูลใหญ่ กลับไม่ยอมปล่อยหลอซ่าไป ตัดสินใจที่จะฆ่าล้างบาง
และเวลานั้นเอง ไอ้หน้าหนวดคอยติดตามและอยู่ข้างกายหลอซ่า ไม่ยอมถอยหนีไปไหน
และเวลานั้นเอง ไอ้หน้าหนวดเองก็ถูกพวกลูกกะจ๊อกตามฆ่า ทุกๆวันเอาแต่หลบซ่อนตัว เป็นช่วงชีวิตที่น่าอกสูงมาก
ตอนนี้ เขาติดตามหลอซ่าจนกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง แน่นอนว่าต้องอยากแก้แค้นอยู่แล้ว
และกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า ล้วนเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย
พวกลูกกะจ๊อกมองไปยังไอ้หน้าหนวด ค่อยๆนึกออกว่าเขาเป็นใคร
“ที่แท้เป็นแกนี่เอง?”
พอเห็นไอ้หน้าหนวด มีคนยิ้มออกมาด้วยความเย็นชา “ฮ่าๆ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังจำได้ดี ตอนนั้นแกนอนอยู่ในกองเลือด ทั้งตัวเต็มไปด้วยคราบเลือดที่น่าอัปยศ นึกไม่ถึงว่า แกยังมีชีวิตอยู่อีก”
“เหล่าพี่น้องเอ๊ย ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการที่จะจัดการพวกเราให้สิ้นซาก งั้นพวกเรา ก็ไม่จำเป็นต้องยอมจำนน……”
“เขาเป็นคนของหลอซ่า และในหมู่พวกเรา ตอนนั้นก็เคยร่วมกันปราบหลอซ่า ถ้าเกิดหลอซ่ากลับมา จะต้องมาแก้แค้นพวกเราแน่”
“ฉันได้ข่าวมาว่า ตอนนี้หลอซ่าอยู่นอกประเทศ นี่เป็นโอกาสอันดีของพวกเรา ทำไมเราไม่ใช่โอกาสที่หลอซ่าไม่อยู่ กวาดล้าง ลูกน้องของเขาให้หมดล่ะ”
“แต่อีกฝ่าย……มีคนมากขนาดนั้นเลยน่ะ?”
มีคนปอดแหกพูดขึ้นมา
ตอนนี้ ซุนจิ้นพาคนมากว่าร้อยคน เพียงแป๊บเดียว คนของฝั่งสถานตากอากาศ ก็มีพอๆกับพวกเขาแล้ว
“ฮ่าๆ จะกลัวอะไร? ในกลุ่มพวกเรา ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองเอกกันทั้งนั้น ปกติคนนึงสู้กับหลายคน ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรถูกไหม?”
“เมื่อกี้พวกเราสู้เพื่อคนอื่น พวกเราสามารถสู้แบบขอไปทีได้ แต่ตอนนี้ อีกฝ่ายต้องการให้พวกเราอยู่ที่นี่ นี่มันหมายความว่าต้องการเอาชีวิตของพวกเรา เพราะงั้นตอนนี้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราต้องสู้เพื่อตัวเอง”
“เอาฝีมือที่มีออกมาให้หมด ให้พวกเขาดูสักหน่อย”
“ล้มพวกมันลงไปกองกับพื้นให้หมด จากนั้นก็แย่งของมีค่าของสถานตากอากาศมาให้หมด ฉันเคยได้ยินมาว่า สถานตากอากาศแห่งนี้มีสถานที่สะสมคอลเลกชัน ข้างในเก็บของโบราณไว้เป็นจำนวนมาก แม้แต่ของสะสมโบราณของท่านปู่สวี ก็ถูกหลอซ่าขโมยออกมาเงียบๆ ถ้าเกิดพวกเราชนะขึ้นมา แล้วบุกเข้าไปสถานตากอากาศ งั้นพวกเรา……
“ก็รวยแล้ว!”
พูดเสร็จ คนๆนี้ก็หัวเราะดังลั่น
และในเวลานี้เอง โหจื่อก็ยกปืนขึ้นมา เล็งไปยังคนที่พูด จากนั้นก็ยิงกระสุนมุ่งตรงเป้าไปโดนตำแหน่งหัวใจของเขา
“ไอ้เชี้ยนี้พูดมากซะจริง ถ้าเกิดเป็นลูกผู้ชาย จะลงมือก็ลงมือสิ จะพูดมากทำไม คิดจะโม้ให้กูฟังรึไง?”
โหจื่อพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเล็กน้อย
หลังจากที่ได้ยิงเสียงปืนของโหจื่อ ใบหน้าของคนจำนวนไม่น้อย ได้เผยสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา
ไม่ว่าจะยังไง กระสุน เหมือนเทียบกับมีด มันมีอานุภาพกว่ามาก
กระสุนพุ่งออกไปหนึ่งนัด ต้องการเอาชีวิตคน ก็ได้ชีวิตนั้นมา
“พวกเราไม่ต้องกลัว ไอ้นั่นมันมีปืนแค่กระบอกเดียว ปืนแค่หนึ่งกระบอกมันจะใส่กระสุนได้สักกี่นัด? พวกเรามีคนเยอะขนาดนี้ แค่พวกเราร่วมใจเป็นหนึ่ง แล้วบุกไปพร้อมกัน……”
คนๆนี้ยังไม่ทันพูดจบประโยค มือขวาของโหจื่อ จู่ๆก็มีปืนขึ้นมาอีกหนึ่งกระบอก จากนั้นก็เล็งไปหัวสมองของคนๆนี้ แล้วหัวเราะออกมา “ดูให้ดีล่ะ บนตัวของกู ไม่เคยใส่ปืนแค่กระบอกเดียว”
พูดจบ โหจื่อก็สไลด์ไกปืน เล็งไปยังหัวสมองของคนๆนี้ แล้วหัวก็แตกขึ้นมา
ตอนนี้ ทุกคนต่างก็หวาดกลัว
ไม่ว่าจะยังไง ขนาดอยู่ห่างกันขนาดนี้ โหจื่อยังสามารถใช้กระสุนแค่นัดเดียวเอาชีวิตของคนๆนึงได้แล้ว เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าฝีมือการยิงปืนของเขานั้นเก่งขนาดไหน
และคนแรกที่โหจื่อยิงจนเสียชีวิต เขายืนอยู่ข้างหน้า ถูกยิงทะลุหัวใจ ก็ไม่น่าแปลกอะไร
แต่คนๆนี้……
เขายืนอยู่ข้างหลังกลุ่ม มีคนมากขนาดนั้นบังเขาเอาไว้ ก็ยังสามารถยิงเข้าหัวภายในนัดเดียว
ฝีมือการยิงปืนนี้มันอะไรกัน?
ความจริง การที่คนๆนี้กล้าพูดคำพูดแบบนี้ ความจริงแล้ว ก็เป็นเพราะว่าตำแหน่งที่เขายืนอยู่ มันปลอดภัยเป็นอย่างมาก
เขาคิดว่า ต่อให้โหจื่อยิงมา ก็คงไม่โดนเขาหรอก
ใครจะรู้ว่า……
“จะสู้ก็เข้ามา ไม่อยากสู้ก็ตัดขาตัวเอง ไปหนึ่งข้าง”
“จากนั้นความแค้นเมื่อสามปีก่อน ถือว่าหายกัน”
โหจื่อพูดด้วยเสียงนิ่งว่า “ไม่อย่างนั้น จะฆ่าให้หมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียว”
หลังจากที่โหจื่อพูดจบประโยค คนพวกนี้ต่างก็มองตาซึ่งกันและกัน ดูเหมือนจะคิดเหมือนกัน พุ่งเข้าไปข้างหน้า
ให้พวกเขาตัดขาข้างนึงของตัวเองเหรอ?
ฮ่าๆ มันจะเป็นไปได้ยังไง?
ไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าจะด้านกำลังคน หรือว่าฝีมือ ก็ไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น
เพราะงั้น ถ้าเกิดจะให้พวกเขายอมแพ้ในเวลาแบบนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่ยอมอยู่แล้ว
เพียงแป๊บเดียว ทั้งสองฝ่ายก็สู้ขึ้นมาอีกครั้ง
และครั้งนี้ อีกฝ่ายก็เผยรังสีการฆ่าฟันออกมาอย่างชัดเจน
อาจจะเป็นเพราะมีคนตายไปแล้วสองคน ครั้งนี้ อีกฝ่ายต่างก็ทุบสุดตัว
คนของไอ้หน้าหนวด แน่นอนว่าก็เป็นเหมือนกัน แต่ว่าคนของบ้านตระกูลจูเก่อ ทุกครั้งที่พวกเขาขยับ ก็ยังเหลือความปราณีเอาไว้
โหจื่อยืนอยู่ข้างๆหลี่ฝาง ไม่ได้มีความคิดที่จะพุ่งเข้าไปช่วยเหลือ
หลี่ฝางตบไหล่ของโหจื่อ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องคอยปกป้องฉัน แกเองก็ลุยเถอะ”
“ฉันจะไปหลบอยู่ข้างในสถานตากอากาศ”
หลี่ฝางเข้าใจฝีมือของโหจื่อดี แม้ว่าเขาจะเทียบกับส้าวส้วยไม่ได้ แต่แค่ไปสู้กับกลุ่มคนพวกนี้ มันเป็นเรื่องง่ายๆราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
หลี่ฝางพูดจบ แล้วถอยกลับเข้าไปยังสถานตากอากาศ
ส่วนโหจื่อ ในเวลานี้ก็พุ่งเข้าไปอย่างกลางวง แย่งมีดมา ราวกับเป็นเทพแห่งสงคราม
หลี่ฝางหาตำแหน่งที่ปลอดภัย แล้วโทรไปหาหวางเสี่ยวหยวน
“พี่หยวน เป็นยังไงบ้าง แย่งพื้นที่มาได้รึยัง?” หลังจากที่โทรติด หลี่ฝางก็เปิดปากถามทันที
ทางด้านหวางเสี่ยวหยวนมีเสียงการต่อสู้ดังเข้ามาในสาย “ใกล้แล้ว พื้นที่ของฉัน ขยายขึ้นมามากกว่าหนึ่งในสาม ทุกๆร้านแทบจะ มีแค่มีลูกกะจ๊อกเฝ้าอยู่แค่ไม่กี่คน พวกที่มีความกล้ากับชื่อเสียง ล้วนไม่อยู่ มีแค่ลูกกะจ๊อกที่ไม่ได้มีพิษสงอะไร แค่ขู่นิดหน่อย พวกเขาก็หนีกันไปหมด”
“แต่ว่า เมืองเอกมีคนลึกลับที่ทรงอำนาจปรากฏออกมา ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็ใช้โอกาสครั้งนี้ ยึดพื้นที่ต่างๆ เมื่อกี้พวกเราเพิ่งจะเจอเข้า แต่ว่าพวกเขาไม่ได้สู้กับพวกเรา ยอมมอบพื้นที่ให้กับพวกเราซะงั้น”
“ไม่รู้ว่ามีที่มาที่ไปยังไง” หวางเสี่ยวหยวนพูด
“เป็นคนของท่านจวน”หลี่ฝางพูด
“ท่านจวน? ถึงว่า ที่แท้พวกเขาเป็นลูกน้องของท่านจวน ฉันก็ว่าทำไมดูแข็งแกร่งขนาดนั้น ท่านจวนเก็บตัวมานานหลายปี ดูเหมือนว่า ก็ยังมีเขี้ยวเล็บอยู่ พอลงมือ ก็มีคนฝีมือขนาดนี้ปรากฏออกมา ฉันได้ยินมาว่าทางตะวันตกของเมืองเอก ถูกคนพวกนี้แย่งพื้นที่ไปเกือบทั้งหมดแล้ว” หวางเสี่ยวหยวนพูดพร้อมเสียงหัวเราะ
“พอแล้ว พี่รีบหน่อยก็แล้วกัน แย่งมาได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น”
“ถ้าเกิดเจอคนของท่านจวนอีก ขอแค่พวกเขายอมมอบพื้นที่ให้ พี่เองก็อย่าลังเล อาจจะหน้าด้านไปซะหน่อยแต่ก็รับเอาไว้ก็แล้วกัน” หลี่ฝางพูด
หวางเสี่ยวหยวนลังเลไปไม่กี่วิ แต่ก็พยักหน้าตอบว่าได้
และในเวลาไล่เลี่ยกัน หลี่ฝางก็โทรไปหาซินปาและเฉินฝูเซิงคนละหนึ่งสาย ภายในสามคนนี้ เฉินฝูเซิงแย่งพื้นที่มาได้เยอะที่สุด
“ดูเหมือนว่า หลังจากคืนนี้ เมืองเอกคงจะเหลือแค่คนทรงอิทธิพลแค่สองแล้ว” หลี่ฝางพูดอย่างใจเย็น
ที่หลี่ฝางไม่ยอมให้คนพวกนี้กลับไป ก็เพื่อเฉินฝูเซิง หวางเสี่ยวหยวน แล้วก็พวกซินปา
ถ้าเกิดพวกเขากลับไป ลูกน้องของตัวเอง ก็ชิบหายกันพอดี
ขอแค่ไม่ยอมปล่อยคนพวกนี้กลับไป ลูกน้องของตัวเองทั้งสามคน ก็จะทำงานได้อย่างราบรื่น แล้วยึดพื้นที่มาได้อย่างง่ายๆ
ทางฝั่งท่านจวนตั้งหาก ได้ผลประโยชน์จะตัวเองไปเต็มๆ เพราะงั้น ลูกน้องของเขา พอเจอกับลูกน้องตัวเอง จึงยอมถอยไปด้วยดี มันเป็นควรจะเป็นอย่างงั้น หลี่ฝางก็ไม่ได้รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอะไรท่านจวน
พอโหจื่อเข้าร่วม อีกฝ่ายก็เผยสีหน้ายอมแพ้ขึ้นมา
ฝีมือการต่อสู้ของโหจื่อ เก่งเกินไปแล้ว เขาแค่คนเดียว ก็เหมือนมีคนกว่าสิบคน ทุกคนต่างก็หวาดกลัวเขา เขาก็เหมือนกับปลาฉลาม ไม่ว่าจะไปที่ไหน อีกฝ่ายก็จะถอยหนีไปเอง