เมื่อหลายปีก่อน คนคนนี้ได้ทำลายล้างองค์กรที่เขาจัดตั้งขึ้นมาอย่างยากลำบาก ทั้งเกือบจะเอาชีวิตของเขาไป
ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเกลียดชังผู้ชายคนนี้ เดิมทีคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะได้เจออยู่ที่นี่ในวันนี้
ในตอนนี้เอง เงาร่างนั้นก็ได้เอ่ยปากขึ้นมา
“ไสหัวไป!”
เพียงแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้กุ่ยเมี่ยนราวกับได้รับการนิรโทษกรรม เขาปล่อยมือจากหญิงสาวคนนั้น จากนั้นก็นำหลอดยาที่แย่งชิงมาวางกลับไปที่เดิม แล้วค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปทางประตูอย่างช้า ๆ
ขอเพียงแค่หนีรอดไปได้ เขาสามารถละทิ้งได้ทุกอย่าง
ในที่สุด กุ่ยเมี่ยนที่เคลื่อนตัวมาจนถึงประตูใหญ่ ก็ได้รีบหนีไปในทันที เขาไม่กล้าชักช้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว
กุ่ยเมี่ยนที่วิ่งหนีไป ในหัวของเขามีเพียงแค่ความคิดเดียว: “เขากลับมาแล้ว หลอซ่ากลับมาแล้ว! จะต้องนำข่าวนี้กลับไป! ชายคนนั้นกลับมาแล้ว!”
แต่สิ่งที่หลี่ฝางคิดอยู่ในใจนั้นกลับเป็น: “ข้อมูลที่หลิวฮุยให้มานั้นไม่ผิดเลยจริง ๆ คนที่ชื่อกุ่ยเมี่ยนคนนี้ เคยถูกพ่อของฉันอัดอย่างหนักมาก่อน และยังได้ทิ้งรอยบาดแผลที่ลึกมากไว้ในใจของมันอีก”
กุ่ยเมี่ยนคิดไม่ถึงเลยว่า คนที่มานั้นไม่ใช่หลอซ่า แต่เป็นลูกชายของเขา ความกลัวทำให้เขาไม่กล้าที่จะหยุดอยู่เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ แต่ว่าแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้กุ่ยเมี่ยนสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้
กุ่ยเมี่ยนและพรรคพวกที่มาพร้อมกับพลังอำนาจที่หาที่เปรียบไม่ได้ ก็ได้เดินคอตกกลับไปแบบนี้แล้วเหรอ เขาไม่ได้ต่อปากต่อคำกับหลี่ฝางเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรือแม้แต่ใบหน้าของหลี่ฝางก็ไม่ได้มองอย่างชัดเจน หลี่ฝางพูดเพียงประโยคเดียว เขาก็รีบหนีไปในทันที
สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ทุกคนเกิดความสงสัยขึ้นอีกครั้ง สงสัยแม้กระทั่งว่าทั้งสองคนได้ร่วมมือกันแสดงละครตบตาหรือไม่
แต่ประตูที่พังทลายบานนั้น กลับได้ย้ำเตือนพวกเขาว่าทั้งหมดนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเพียงแค่การแสดง
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าคนนี้เป็นมนุษย์จริง ๆ เหรอ?
โลกทัศน์ของหญิงสาวได้เริ่มสั่นคลอน
“สวัสดี! ผมชื่อหลี่ฝาง ข้างบนส่งผมมาปกป้องคุณ”
หลี่ฝางเป็นฝ่ายยื่นมือออกมาทักทายเกาเมิ่งฉีก่อน เพราะถึงยังไงการขจัดความเข้าใจผิดนั้นจะเป็นผลดีต่อการทำงานในวันหน้า ไม่ใช่เพียงเพราะผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นสาวสวยคนหนึ่งอย่างแน่นอน
“เอ่อ ฉันชื่อเกาเมิ่งฉี สวัสดี”
เกาเมิ่งฉียื่นมือออกมาตามสัญชาตญาณ สมองยังไม่ทันได้รับรู้ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีความรู้สึกแปลก ๆ ไหลมาจากมือ ทำให้เธอรู้สึกตัวขึ้นมาทันที จากนั้นเธอก็ได้กล่าวกับหลี่ฝางอย่างโมโห: “ทำอะไรของนายน่ะ?”
“ขอโทษ ขอโทษ ไม่ทนได้ระวังน่ะ” หลี่ฝางรีบกล่าวอธิบายอย่างเขินอาย เขาแอบด่าสัญชาตญาณของตัวเองอยู่ภายในใจ
“นายบอกว่านายเป็นคนที่ข้างบนส่งมา มีหลักฐานอะไรไหม?”
เกาเมิ่งฉีจำได้ว่า เมื่อก่อนพ่อของตัวเองเคยบอกว่าด้านบนจะส่งคนมาปกป้องตัวเอง
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่ฝางก็ไม่ได้พูดมากอะไร เขาคลำเขาเอกสารที่อยู่บนตัวออกมาแล้วยื่นให้เกาเมิ่งฉี
เอกสารนั่นหลิวฮุยได้มอบให้เขาก่อนออกเดินทาง นั้นเป็นเพียงตัวตนชั่วคราวเท่านั้น จะไม่มีผลโดยอัตโนมัติทันทีที่เสร็จงาน แต่ในระหว่างที่ปฏิบัติภารกิจมันสามารถนำความสะดวกสบายมาให้กับหลี่ฝางได้มาก
เกาเมิ่งฉีรับมาดูอย่างลวก ๆ จากนั้นก็ตะลึงงันไปสักพัก ทันใดนั้นเธอก็เบิกตากว้าง
องค์กรที่ประทับตราอยู่ด้านบนและตัวตนของหลี่ฝาง ต่างกว่าสูงเกินกว่าความคาดหมายของเกาเมิ่งฉี
“คุณ คุณมาจากที่นั่น?”
ภายใต้น้ำเสียงแห่งความตกใจ ยังซ่อนความสงสัยที่แรงกล้าของเกาเมิ่งฉีเอาไว้ด้วย
เมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยของเกาเมิ่งฉี หลี่ฝางก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา จากนั้นก็ชี้ไปที่ประตูนั่น และไม่ได้พูดอะไร
เกาเมิ่งฉีก็ได้มองไปที่ประตูบานนั้นเหมือนกัน และได้เข้าใจความหมายของหลี่ฝางขึ้นมา
สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ จะเป็นคนธรรมดาไปได้เหรอ? อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย เกรงว่าแม้แต่คนที่มาจากที่นั่นก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำได้!
“ฉันเชื่อคุณแล้ว” เกาเมิ่งฉีพยักหน้า และยิ้มขึ้นมา
“งั้นก็ดี” หลี่ฝางรู้สึกดีใจมากที่เรื่องราวดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
ในตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนที่นอนอยู่บนพื้นพลันขยับตัว จู่ ๆ เขาก็กระอักเลือดออกมาคำโต
เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา โดนคนที่ฝึกวิทยายุทธต่อยเข้าไปที่ท้องหนึ่งหมัด ถึงแม้จะเป็นพลังเพียงเล็กน้อย ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทนรับได้
“พ่อคะ!”
หลังจากที่เกาเมิ่งฉีอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก เธอก็รีบพุ่งเข้าไปทันที เพื่ออยากจะดูว่าอาการบาดเจ็บของชายวัยกลางคนเป็นยังไงบ้าง
“รีบพาไปส่งโรงพยาบาลก่อนเถอะ” หลี่ฝางเอ่ยเตือนขึ้นอยู่ทางด้านหลัง
“ใช่ รีบโทรศัพท์เร็ว!” เกาเมิ่งฉีพลันตอบสนองขึ้นมา
สิบนาทีหลังจากนั้น รถฉุกเฉินก็ได้มาถึงและรับเอาตัวชายวัยกลางคนไป หลังจากนั้นก็ได้มีคนมาทำความสะอาดห้องทดลองแห่งนี้
เรื่องของที่นี่จะต้องมีคนมาจัดการเป็นธรรมดา ไม่จำเป็นต้องให้หลี่ฝางใส่ใจ
……
บนระเบียงทางเดินของโรงพยาบาลเป่ยไห่ หลี่ฝางและเกาเมิ่งฉีนั่งรอฟังผลบนเก้าอี้ยาวที่ด้านนอก
บนใบหน้าของเกาเมิ่งฉีเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความตึงเครียด เธอมองไปทางฉุกเฉินอยู่บ่อยครั้ง
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อาการบาดเจ็บของพ่อคุณไม่ได้หนักหนาอะไร รักษาตัวสักระยะก็หายดีแล้ว”
เมื่อเห็นเกาเมิ่งฉีเป็นห่วงพ่อของตัวเอง หลี่ฝางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปลอบโยนขึ้น
“กระดูกซี่โครงหักไปหนึ่งท่อนยังไม่หนักอีกงั้นเหรอ?” เกาเมิ่งฉีถลึงตาใส่หลี่ฝางอย่างจัง
“มันไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรหรอก นอนพักอยู่บนเตียงสักระยะก็ดีขึ้นแล้ว จะต้องไม่มีอันตรายถึงชีวิตแน่” หลี่ฝางกล่าวพลางหัวเราะเหอะ ๆ
บางทีอาจจะเป็นเพราะการชักนำทางจิตวิทยา เกาเมิ่งฉีไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพ่อของตัวเอง จึงทำได้เพียงเชื่อที่หลี่ฝางพูด
“อ้อใช่ นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้ายาเพิ่มพลังความแข็งแกร่งสำเร็จคนนั้นเป็นยังไงบ้าง? เขาจะมีอันตรายไหม? ฉันมาที่นี่เพื่อปกป้องเขาเป็นพิเศษ อย่างถูกคนฆ่าตายตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้เห็นหน้าแล้วซะล่ะ”
หลี่ฝางพลันนึกถึงปัญหานี้ขึ้นมา จึงรีบเอ่ยถาม
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลี่ฝาง เกาเมิ่งฉีอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้: “ฉันก็คือนักวิทยาศาสตร์คนนั้น”