NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 850 ยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง

บทที่ 850 ยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง

หญิงสาวทำท่าทำทางจะขว้างหลอดยาทิ้งลงบนพื้น ข่มขู่ไม่ให้กุ่ยเมี่ยนเข้ามาใกล้

กุ่ยเมี่ยนกลับไม่แยแสเลยสักนิด เขาหัวเราะเหอะ ๆ พลางกล่าว: “ส่งยาเพิ่มพลังความแข็งแกร่งนั่นมาให้ฉัน”

เขาสามารถรับรู้ได้โดยใช้วิธีการพิเศษตั้งแต่แรกแล้วว่านั่นคือยาเพิ่มพลังความแข็งแกร่ง เขารู้ว่าที่นี่มีตัวยาที่ประสบความสำเร็จเพียงแค่หลอดเดียว นั่นก็คือหลอดที่อยู่ในมือของหญิงสาวนั่นเอง

หญิงสาวตอบรับด้วยความเงียบ และไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม

เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาดี ถ้าเธอเชื่อคำพูดของอีกฝ่าย เกรงว่าผลลัพธ์คงไม่ดีเท่าไหร่นัก ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงใช้วิธีนี้เพื่อข่มขู่อีกฝ่ายต่อไป ทำให้คนพวกนั้นไม่กล้าที่จะทำอะไรโดยพลการ

ในตอนนี้เอง จุ่ ๆ กุ่ยเมี่ยนก็ได้เอ่ยปากขึ้นมา: “งั้นเธอก็คงจะเป็นคนที่คิดค้นยาตัวนี้ขึ้นมาได้สินะ”

หญิงสาวชะงักงันไปสักพัก ไม่นานก็รู้สึกตัวขึ้นมา เธอรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที: “ฉันไม่มีความสามารถแบบนั้นหรอกนะ คนที่แกตามหาเพิ่งไปจากที่นี่ไม่นาน ถ้าหากตามไปตอนนี้ก็ยังทัน”

“เหอะ ๆ เธอหลอกฉันไม่ได้หรอก” กุ่ยเมี่ยนหัวเราะขึ้นมาอย่างตื่นเต้นดีใจ: “หญิงสาวที่สวยดึงดูดแบบนี้ ทั้งยังเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง สุดยอดไปเลยจริง ๆ !”

สายตาที่กุ่ยเมี่ยนมองหญิงสาวราวกับหมาป่าที่หิวโหยกำลังจ้องมองเหยื่อของตัวเองอยู่ ความกะหายแผ่ซ่านออกมา ช่างทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก

“อย่าเข้ามาอีกนะ!” หญิงสาวเรียบตะโกนขึ้นมา: “ถ้าเข้ามาใกล้อีกนิดฉันจะขว้างมันทิ้งซะ ให้แกมาโดยเสียเวลาเปล่า!”

กล่าวไป หญิงสาวพลางทำท่าทำทางจะขว้างหลอดยาทิ้ง พยายามทำให้ตัวเองมีท่าทีที่ไม่เกรงกลัว

“ฮ่า ๆ ! เธอขว้างสิ! ขอแค่จับตัวเธอได้ ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะทำยาเพิ่มพลังความแข็งแกร่งนั่นไม่ได้”

กุ่ยเมี่ยนกลับไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด เขายังคงเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวเรื่อย ๆ เขาเพียงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด: “ก็แล้วแต่ มีเธอตกอยู่ในมือ ทำไมจะผลิตยาไม่ได้?”

คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาในใจ สมองของเธอว่างเปล่าไปชั่วขณะ

ในตอนนั้นเอง กุ่ยเมี่ยนก็ได้พลันลงมือ การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วมาก หญิงสาวรู้สึกตาลายไปชั่วขณะ จากนั้นหลอดยาที่อยู่ในมือก็ได้ถูกแย่งชิงไป

หลังจากนั้นไหล่ของเธอก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา ซึ่งได้ถูกกุ่ยเมี่ยนบีบเอาไว้แน่นเป็นที่เรียบร้อย

“หยุดนะ!”

ชายวัยกลางคนตะโกนขึ้นมา เขาดิ้นรนอย่างหนักพลางร้องกล่าว: “อย่าทำร้ายลูกสาวฉันนะ!”

ชายวัยกลางคนพึ่งจะดิ้นรนขึ้นมา หมัดของชายฉกรรจ์ที่คุมตัวเขาอยู่ก็ได้ต่อยเข้าใส่บริเวณของเขาอย่างจัง จนทำให้เขาร้องโหยหวนขึ้นมา แล้วล้มลงไปกองอยู่บนพื้นและได้สูญเสียแรงต่อต้านไป

“หยุดนะ!”

หญิงสาวรีบตะโกนขึ้นมา แต่เธอก็ไม่อาจหลุดพ้นจากการควบคุมของกุ่ยเมี่ยนไปได้

“ฉันแนะนำเธอให้เชื่อฟังหน่อยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นละก็……”

กุ่ยเมี่ยนกล่าวข่มขู่อย่างเปิดเผย

เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็ได้สูญเสียแรงต่อต้านไปโดยสิ้นเชิง

และในตอนนั้นเอง ที่ด้านนอกของห้องทดลอง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นสองเสียง จากนั้นเสียงร้องนั่นก็ขาดหายไป ราวกับถูกขัดขาดอย่างกะทันหัน

“J! K!”

กุ่ยเมี่ยนรีบร้องตะโกนขึ้นมา เขาลองพยายามร้องเรียกพรรคพวกของตัว

แต่ไม่ว่ากุ่ยเมี่ยนจะร้องเรียกยังไง คนทั้งสองที่เฝ้าประตูอยู่ด้านก็ไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ขึ้นมาอีกเลย ตรงกันข้ามกลับมีเสียงฝีเท้าที่ชัดเจนดังก้องไปทั่วหูของทุกคน

“เจอเข้ากับคนสายงานเดียวกันงั้นเหรอ?”

ความคิดนี้เกิดขึ้นมาภายในใจของกุ่ยเมี่ยนโดยสัญชาตญาณ

เพราะไม่ว่ายังไงหลังจากที่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ไม่รู้ว่ามีกองกำลังมากมายแค่ไหนที่จับตามองที่นี่อยู่ กุ่ยเมี่ยนคิดจะถือโอกาสลงมือในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีคนที่มีความคิดเหมือนกันกับตัวเอง?

ณ เวลานี้ จู่ ๆ กุ่ยเมี่ยนก็พลันรู้สึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองลงมือเร็วแบบนี้ บางที เขาควรจะลอบมองสถานการณ์อย่างลับ ๆ สักระยะก่อนแล้วค่อยลงมือ

“ปิดประตูลงซะ!” กุ่ยเมี่ยนตะโกนไปทางลูกน้องของตัวเอง เขาไม่ได้เลือกที่จะปะทะกับอีกฝ่ายซึ่ง ๆ หน้า

‘J’ และ ‘K’ ที่เขาสั่งให้เฝ้าอยู่ด้านนอกนั้นต่างก็ฝีมือไม่เลว แต่เสียงของพวกเขากลับสูญหายไปภายในชั่วพริบตา แสดงให้เห็นว่าฝีมือของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งไม่เบา ถ้าหากบุ่มบ่ามลงมือจะต้องจบไม่สวยแน่

ภายใต้การคุกคามของกุ่ยเมี่ยนลูกน้องของเขาก็รีบควบคุมตัวคนที่อยู่ภายในห้องทดลอง ให้ไปปิดประตูใหญ่บานนั้นของห้องทดลองทันที

ประตูใหญ่บานนี้เป็นประตูที่ทำมาจากโลหะอย่างหนา ที่ไม่อาจทำลายได้ง่าย ๆ

มองดูประตูที่ค่อย ๆ ปิดลง กุ่ยเมี่ยนค่อยรู้สึกวางใจขึ้นมาหน่อย แล้วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง: “ที่นี่ยังมีทางออกทางอื่นอีกไหม?”

เขาไม่อยากจะถูกขังไว้ในนี้ เหมือนกับเต่าที่ถูกคนจับขังไว้ในไหแบบนี้หรอกนะ

“ไม่มี มีแค่ทางนั้นทางเดียว”

หญิงสาวได้ทำลายจินตนาการที่งดงามของกุ่ยเมี่ยนอย่างไรความปรานี

กุ่ยเมี่ยนกำลังจะระเบิดความโมโหออกมา แต่วินาทีต่อมาการเคลื่อนไหวของเขาก็ได้หยุดชะงักลง เพราะจู่ ๆ ก็ได้มีเสียงทุ้มหนัก ๆ ดังมาจากด้านนอกของประตู ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังกระแทกประตูอยู่

“แย่แล้ว ประตูบานนี้ไม่สามารถเปิดจากด้านนอกได้” หญิงสาวทอดถอนใจอยู่ภายในใจ คิดว่าตัวเองคงไม่มีความหวังเสียแล้ว

ประตูใหญ่ที่ทำจากเหล็กหนาบานนี้ต่อให้ใช้วัตถุระเบิดระเบิดให้เปิดออกก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เดิมทีเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งภายในตัวของมันเอง

คิดไม่ถึงว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งนี้กลับได้ปกป้องชายฉกรรจ์พวกนี้เอาไว้

เสียงทุ้มหนัก ๆ นั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นทำให้ทุกคนต่างรู้สึกใจสั่น แต่ละคนต่างก็มีความรู้สึกสงสัย เกิดขึ้นภายในใจ ทันใดนั้นพวกเขาก็พบว่า ได้ค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับประตูบานนั้น

ในตอนแรกเพียงแค่เกิดรอยเท้าจาง ๆ นูนขึ้นมาเท่านั้น

แต่เมื่อเวลาผ่านไป รอยเท้านั่นก็ได้ชัดเจนขึ้นมาเรื่อย ๆ

“โครม!”

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงโครมครามดังขึ้น ประตูบานนั้นพลันถูกแยกออกจากกัน จากนั้นเสียงโครมดังขึ้นหนึ่งครั้ง ประตูบานนั้นก็ได้แตกเป็นชิ้น ๆ ทันที

“อะไรน่ะ!”

เมื่อทุกคนได้เห็นสถานการณ์ตรงหน้าต่างก็ตกใจตาค้าง จนเกือบสงสัยว่าตัวเองได้เกิดประสาทหลอนเพราะเครียดมากจนเกินไป

ใครกันนะที่สามารถใช้พลังทำลายประตูบานหนาที่ทำจากโลหะนี้ได้?

ประตูที่พังทลายลงทำให้เกิดฝุ่นละอองลอยขึ้นมา จากนั้นก็พลันปรากฏเงาร่างหนึ่งขึ้น และได้พุ่งเข้ามาในห้องทดลอง

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้สมองของทุกคนแทบจะหยุดการทำงาน

ทุกคนต่างจ้องมองไปที่เงาดำเงานั้น ร่างกายสั่นเทาราวกับได้พบเจอสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น

สถานการณ์เช่นนี้ ไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถจินตนาการได้

โดยเฉพาะพวกนักวิจัยเหล่านั้น ยิ่งไม่อาจหาคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้ได้

ฝุ่นละอองเหล่านั้น ได้ตกลงสู่พื้นอย่างช้า ๆ ในที่สุดเงานั่นก็ได้ปรากฏตัวออกมา ทุกคนต่างเลื่อนสายตาแห่งความอยากรู้อยากเห็นไปที่ใบหน้านั้น

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นผิดหวังก็คือ คนคนนี้พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน

มีเพียงชายที่ใส่หน้ากากกุ่ยเมี่ยนคนนั้น ที่จู่ ๆ ก็หัวใจเต้นเร็วขึ้นมา เหมือนว่าจะมีภาพเหตุการณ์บางอย่างได้แวบเข้ามาในหัวของเขา

จากนั้น ในที่สุดเขาก็ได้นำภาพสถานการณ์ในหัวและปัจจุบันรวบรวมเข้าด้วยกัน เขานึกขึ้นมาได้แล้วว่าคนคนนี้เป็นใคร นั่นเป็นฝันร้ายในความทรงจำของเขา

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท