ไม่คิดเลยว่าในซากปรักหักพังนี่จะเปลี่ยนเวลาได้ด้วย ช่างน่ามหัศจรรย์
“มังกรฟ้า พวกเรา……”
กู่ยี่เทียนกำลังคิดที่จะกล่าวตอบมังกรฟ้า ทว่าเครื่องมือสื่อสารกลับเกิดคลื่นเสียงความถี่ หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้อีก
“ฮัลโหล! ฮัลโหล! มังกรฟ้าแกได้ยินฉันไหม? มังกรฟ้า มังกรฟ้า ทราบแล้วเปลี่ยน!”
“มังกรฟ้า! เสือขาว! ได้ยินที่ฉันพูดไหม?”
……
ใช้เครื่องมือสื่อสารติดต่อกับโลกภายนอกหลายต่อหลายหนแต่ก็ไร้ประโยชน์ กู่ยี่เทียนเองก็เกิดระเบิดขึ้นมา เขาโยนอุปกรณ์สื่อสารลงบนพื้นอย่างแรง ก่นด่าด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“แม่งเอ๊ย ที่นี่แม่งที่บ้าบออะไรกันวะ!”
หลี่ฝางในตอนนี้ได้สงบสติอารมณ์ของตนเองเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นกู่ยี่เทียนที่เกิดคลั่งขึ้นมาเล็กน้อย ถือโอกาสที่เขาไม่ได้ตั้งตัว พลันยื่นมือไปที่หว่างคิ้วของเขาใช้แรงแตะ
กู่ยี่เทียนร้องโหยหวน ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างหายไปจากร่างกาย อารมณ์โมโหและความหงุดหงิดหายในคราแรกสงบลงในทันที เขากุมหน้าผากของตนเองจ้องมองหลี่ฝางด้วยความประหลาดใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน? เมื่อกี้ฉันเกือบจะขาดสติไปแล้ว”
หลี่ฝางหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า จุดหนึ่งมวลสูบหนึ่งคำก่อนกล่าว
“เมื่อกี้ฉันลองคิดดูแล้ว อาจเป็นเพราะสนามแม่เหล็กในซากปรักหักพังลึกลับที่มากขึ้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังงาน ซากปรักหักพังลึกลับในตอนนี้แปลกแยกถึงขนาดเปลี่ยนแปลงเวลาได้ ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อจิตใจของคน”
“เราคิดตั้งแต่แรก แม้ในซากปรักหักพังตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง แต่ไม่ใช่ฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ แต่ยังเป็นฤดูใบไม้ร่วงของปีที่แล้วอยู่”
“ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ก็คือ เราอยู่นี้หนึ่งวัน ข้างนอกนั่นอาจจะเป็นหนึ่งเดือน สนามแม่เหล็กของมันจะส่งผลต่อประสาทของเรา ขยายอารมณ์ทางด้านลบของเราให้ใหญ่ขึ้น”
“หากไม่รีบหาอาซาโทสให้เจอแล้วกำจัดเขาทิ้งซะ หากเวลายาวขึ้น เราก็จะคลั่ง สุดท้ายก็จะติดอยู่ที่ซากปรักหักพังนี่จนตาย”
เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านั้น กู่ยี่เทียนนิ่งค้าง นี่มันประหลาดเกินไปรึเปล่า? ให้ตายถึงกับเปลี่ยนเวลาได้!
“ถ้างั้นจะรออะไรอยู่อีก เราอีกไปหาอาซาโทสของสังหารไอ้บ้านั่นซะสิ ที่บ้าบอแบบนี้ฉันไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานแม้แต่นาทีเดียวหรอกนะ”
การขาดการควบคุมแบบนั้นกู่ยี่เทียนไม่ชอบใจนัก ความรู้สึกแบบนั้นราวกับว่าในใจของเขามีคนอื่นอีกคนอยู่ ควบคุมร่างกายของเขาตลอดเวลาอย่างไรอย่างงั้น
หลี่ฝางเองก็เข้าใจสาหัสของสถานการณ์นี้เช่นเดียวกัน พลันดับบุหรี่ในมือ ไม่พูดอะไรมาก มุ่งไปตามทางในซากปรักหักพังตามความทรงจำก่อนหน้านี้
ทางด้านมังกรฟ้าเองก็วุ่นวายเมื่อขาดการติดต่อกบหลี่ฝางทั้งคู่อีกครั้ง
หงส์แดงและเสือขาวที่อารมณ์ร้อน โยนเครื่องมือสื่อสารของทีมวิจัยทิ้งลงพื้น พลันสบถว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ขยะ ความสามารถของทีมวิจัยก็งั้นๆ ถูกนักรบทั้งสองท่านก่นด่าจนไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ
สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้พวกเขาอดหลับอดนอนกว่าสามเดือนในการสร้างมันขึ้นมา ก่อนหน้านี้ที่ทำการทดลองก็ไม่มีปัญหาอะไร ใครจะไปรู้ว่าเมื่อถึงสถานการณ์จริงจะใช้ไม่ได้
มังกรฟ้าที่เป็นคนใจเย็นเสมอในตอนนี้ก็มีสีหน้าบูดบึ้งเช่นเดียวกัน หลังการติดต่อในแต่ละครั้งล้วนล้มเหลว พลันเตะต้นไม้ที่สูงตระหง่านข้างๆ จนหัก
“แค่กๆ มังกรฟ้า แกใจเย็นก่อน อย่าโมโหเลย”
“นั่นสินั่นสิ พี่มังกรฟ้า พวกลูกพี่ใหญ่เขาต้องไม่เป็นอะไรแน่ ครั้งก่อนพวกเขาก็ออกมาจากในนั้นอย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือไง เราต้องเชื่อมั่นในตัวลูกพี่ใหญ่”
หงส์แดงและเสือขาวที่โอดครวญอยู่อีกด้านเมื่อเห็นเขาโมโห จึงรีบเข้ามาปลอบให้เขาใจเย็นลงบ้าง
อย่าเห็นแต่มังกรฟ้าไอ้หมอนี่เคร่งขรึม มักจะนิ่งเฉยต่อทุกคน แต่ถ้าเขาโมโหขึ้นมาจริงๆ ละก็ ต่อให้เป็นหงส์ขาว เสือแดง เต่าดำสามคนก็ไม่แน่ว่าจะหยุดเขาได้
ในเวลานี้ไม่ว่าใครโกรธก็ให้เขาโกรธไม่ได้เป็นอันขาด หากเขาขาดการควบคุม ทุกคนในที่นี้ก็จะโดนลูกหลงกันไปหมด
ต่อให้เป็นคนนิ่งเงียบ ที่วันๆ แทบจะไม่พูดอะไรเลยอย่างเต่าดำ ก็เริ่มเปล่งเสียงเพื่อปลอบโยนเช่นเดียวกัน “มังกรฟ้า ใจเย็น ในเวลานี้นายยิ่งไม่สมควรขาดสติ”
“อืม ไม่เป็นไร” ภายใต้การเตือนสติของเต่าดำ มังกรฟ้าพอจะดึงสติกลับมาได้บ้าง หลังสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด บีบบังคับข่มความหงุดหงิดเอาไว้
เมื่อกล่าวถึงหลี่ฝางไปแล้ว มาทางด้านฉินวี่เฟยบ้าง ย้อนกลับไปเมื่อสามวันก่อน เริ่มจากตอนเช้าหลังจากที่หลี่ฝางออกไปจากบ้านของเหลียงเชี่ยนในวันนั้น
การเมาเป็นเรื่องที่ทรมานเสียจริง เช้าวันที่สองตื่นมาฉินวี่เฟยรู้สึกทรมานท้องไส้ อยากจะอาเจียนแต่กลับอาเจียนไม่ออก ใบหน้าขาวซีด
“เหลียงเชี่ยน เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? ทำไมฉันถึงมานอนที่บ้านเธอได้?” ทานอาหารเช้าที่เหลียงเชี่ยนเตรียมไว้ให้ ฉินวี่เฟยถามอย่างสงสัย
เมื่อคืนนี้เธอดื่มมากเกินไป จำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เธอจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่เหมือนว่าเธอจะได้ยินเสียงขอหลี่ฝางด้วย ไม่รู้ว่าเพราะเสียใจมากจึงเกิดภาพหลอนรึเปล่านะ
“ไม่ ไม่มีอะไร ประธานฉินทานตอนยังร้อนเถอะ ดื่มเหล้าเยอะขนาดนั้นต้องรู้สึกไม่สบายแน่” เหลียงเชี่ยนไม่ได้อยากให้ฉินวี่เฟยรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมากเท่าไหร่นัก ถึงได้ตั้งใจปิดบังเรื่องที่หลี่ฝางมาที่นี่
สำหรับเธอ ในเมื่อฉินวี่เฟยตัดสินใจที่จะเลิกกับหลี่ฝางแล้ว ถ้างั้นทั้งคู่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะติดต่อกันอีก ต่อให้หลี่ฝางรับประกัน ว่าครั้งนี้กลับมาจะตัดขาดกับผู้หญิงคนนั้น ก็ต้องรอให้เขาทำได้เสียก่อน
ก่อนที่จะถึงวันนั้น เหลียงเชี่ยนไม่มีทางให้หลี่ฝางรบกวนชีวิตของฉินวี่เฟยแน่
เมื่อได้ยินประโยคของเหลียงเชี่ยน ฉินวี่เฟยเองก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ พลันก้มหน้าทานโจ๊ก เธอตัดสินใจแล้ว เธอไม่ควรที่จะถูกพันธนาการด้วยความรักชู้สาว ต่อให้ไม่มีหลี่ฝาง เธอก็ต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
และวิธีการลืมความสัมพันธ์ที่หยาบกระด้างและเรียบง่าย หนึ่งคือการเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ สองคือการทำตัวเองให้ยุ่งเข้าไว้ ยุ่งจนไม่มีเวลาให้คิดถึงเขา
“ซู่ว เหลียงเชี่ยน แจ้งให้เหล่าประธานทราบ สิบโมงประโมง หารือเรื่องการตีตลาดที่อเมริกา”
เห็นได้ชัด ว่าฉินวี่เฟยเลือกทางที่สอง บางทีอาจเพราะถูกหลี่ฝางทำร้ายความรู้ลึกเกินไป เธอไม่คาดหวังในเรื่องความรักอีกแล้ว
แม้บริษัทของฉินวี่เฟยจะเป็นองค์กรอันดับต้นๆ ของประเทศจีน แต่ในระดับชาติชื่อเสียงยังไม่โด่งดังมากนัก เธออยากจะถือโอกาสนี้เจาะตลาดต่างชาติ ทำให้บริษัทยิ่งใหญ่มากขึ้น จนกลายเป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่
“ประธานฉิน ท่านคิดที่จะย้ายรากฐานของบริษัทไปที่ต่างประเทศใช่ไหม? เพราะผู้ชายสารเลวอย่างหลี่ฝางไม่คุ้มค่า บริษัทของเราเพิ่งจะเติบโตในประเทศ หากตอนนี้เจาะตลาดต่างชาติอาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม”
ตามความเข้าใจที่เธอมีต่อฉินวี่เฟย ต่อให้เธอไม่พูด เหลียงเชี่ยนก็มองการตัดสินใจของฉินวี่เฟยทะลุปรุโปร่งแล้ว เธอก็แค่อยากเปิดสาขาที่ต่างประเทศ เพื่อหลบหนีหลี่ฝาง
การเจาะตลาดต่างชาติพูดง่าย แต่การลงมือทำยากซะยิ่งกว่ายาก โดยเฉพาะฉินวี่เฟยที่เป็นผู้หญิง อยากจะทำให้บริษัทเป็นบริษัทข้ามชาติ ต้องใช้แรงกายและความพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า