NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 1309 บึงไร้ขอบเขต

บทที่ 1309 บึงไร้ขอบเขต

กลุ่มของหลี่ฝางพยายามขจัดสิ่งกีดขวางอยู่อย่างนั้นจนเดินไปได้อีกสามสี่ชั่วโมง จนท้ายที่สุดก็ออกมาจากป่าทึบได้สักที

หลังจากทำลายขวากหนามพุ่มสุดท้ายออกไป สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าของทุกคนคือทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ในทุ่งหญ้าเต็มไปด้วยพืชพรรณดอกไม้หลากสี สะท้อนกับท้องฟ้าสีฟ้าและหมู่ก้อนเมฆสีขาวนวล ทำให้รู้สึกชื่นใจขึ้นมาในทันที

“สวยมากเลย!” เสี่ยวหลินตังเป็นผู้หญิง จึงเกิดความสนใจในของสวยๆ งามๆ เป็นธรรมดา เธอวิ่งแล่นเข้าไปในทุ่งหญ้าเป็นคนแรก แล้วเด็ดดอกไม้หลากสีพวกนั้นอย่างมีความสุข

“พี่กู่ยี่เทียน อันนี้ให้คุณ” ผ่านไปเพียงไม่นานเสี่ยวหลินตังก็ร้อยมงกุฎดอกไม้ขึ้นมาอันหนึ่ง พลางพูดไปพร้อมกับสวมใส่ลงบนหัวของกู่ยี่เทียน

แต่แน่นอนว่าผู้ชายซื่อๆ อย่างกู่ยี่เทียนไม่มีทางยอมอยู่แล้ว จึงหลบมือนั้นของเสี่ยวหลินตัง

“ฉันเป็นผู้ชาย ใส่ของแบบนี้คนอื่นจะมองยังไง ไม่สวมๆ ” ท่าทีของกู่ยี่เทียนเต็มไปด้วยการต่อต้าน

“หื้ม คุณไม่ใส่ก็ช่างเถอะ เสี่ยวหลิงหลิงให้นายสวม” หลังจากยึกยักอยู่นานสองนาน เสี่ยวหลินตังยังคงไม่สามารถสวมมงกุฎดอกไม้ที่อยู่ในมือให้กับกู่ยี่เทียนได้ สุดท้ายจึงได้เพียงทำปากมุ่ยกระทืบเท้า แล้วหันหน้าเดินไปหาอูหลิงแทน

อูหลิงที่อยู่อีกด้านคอยมองดูพวกเขาสองคนเล่นสนุกหยอกล้อกันอย่างเงียบๆ ถึงแม้จะมีสีหน้าที่จะยังคงนิ่งเฉย แต่คนที่มีความใส่ใจอย่างส้าวส้วยกลับมองเห็นความไม่พอใจจากแววตาของเขา

คาดว่าคงเป็นเพราะเสี่ยวหลินตังเอาแต่ตามติดกู่ยี่เทียน เขาเลยเกิดอาการหึงหวงขึ้นมาในใจ

“มงกุฎดอกไม้อันนี้ไม่สวย เธอต้องทำอันใหม่ให้ฉัน” อูหลิงหยิบมงกุฎดอกไม้ที่อยู่บนหัวลงมาแล้วพูดกลับอย่างราบเรียบ พร้อมให้ข้ออ้างว่ามันไม่สวยและให้เสี่ยวหลินตังทำอันใหม่ให้กับเขา

“ไม่สวยตรงไหน?ฉันว่ามันสวยดีออก” เสี่ยวหลินตังที่ตอนนี้ยังสังเกตไม่เห็นอาการหึงหวงของอูหลิง พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ยังคงไร้เดียงสา

อูหลิงชำเลืองมองดูมงกุฎดอกไม้ในมือของเสี่ยวหลินตัง ในแววตาฉายแววรังเกียจออกมา มงกุฎดอกไม้นี้ไม่ได้ทำให้เขามาแต่แรกอยู่แล้ว สิ่งของของคนอื่นต่อให้สวยแค่ไหนเขาก็ไม่เอา !

“ดอกอันนี้ใกล้จะเหี่ยวหมดแล้ว ไม่สวยเลยสักนิด เสี่ยวหลินตังทำอันใหม่ให้ฉันเถอะนะ”

เมื่อเห็นว่าอูหลิงไม่ต้องการมงกุฎดอกไม้นี้จริงๆ เสี่ยวหลินตังจึงได้เพียงสวมมันลงไปบนหัวของตัวเอง จากนั้นก็เด็ดดอกไม้มาทำอีกอันให้กับอูหลิงอีกครั้ง

จนกระทั่งเสี่ยวหลินตังลงมือทำมงกุฎดอกไม้ให้กับตัวเองเสร็จ คราวนี้อูหลิงถึงค่อยสวมมันลงไปอย่างมีความสุข

ทั้งส้าวส้วยและหลี่ฝางที่เห็นท่าทีน้อยใจแบบนี้ของเขา ต่างก็แอบยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

อูหลิงคนนี้ขี้น้อยใจซะจริง เห็นๆ อยู่ว่ากำลังหึง แต่กลับยังจะแสดงท่าทีเหมือนไม่เป็นอะไรออกมาอยู่ได้

“อะแฮ่ม พักกันพอแล้วใช่ไหม?ถึงแม้ว่าพวกเราจะผ่านป่าทึบมาแล้ว แต่พวกเรายังต้องเดินข้ามที่ราบนี้ไปถึงจะเดินทางไปถึงเผ่ากู่ ในขณะที่ฟ้ายังไม่มืดพวกเราก็รีบเดินทางกันเถอะ”

อูหลิงที่หันไปเห็นว่าส้าวส้วยและหลี่ฝางกำลังมองมาที่ตัวเองด้วยใบหน้าหยอกล้อ ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมา ก่อนจะกระแอมออกมาแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

ทางด้านหลี่ฝางและส้าวส้วยก็ไม่คิดที่จะไปขัดอะไรเขา ดังนั้นหลังจากหัวเราะเบาๆ พวกเขาก็แบกกระเป๋าสัมภาระขึ้นมาแล้วเดินทางต่อ

หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดฟ้าก็มืดลง พวกของหลี่ฝางได้ทำคบเพลิงแบบง่ายๆ ขึ้นมา แล้วถือคบเพลิงนั้นเดินไปตามพื้นที่ราบนี้

แต่พอยิ่งเดินไปเรื่อยๆ หลี่ฝางก็รู้สึกว่าร่างกายยิ่งหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ แถมจากพื้นที่ที่แห้งแล้งกลับค่อยๆ มีความชื้นขึ้นมา อีกทั้งบนพื้นก็มีแอ่งน้ำปรากฏอยู่เต็มไปหมด

“แปลกแฮะ ทำไมฉันรู้สึกว่ายิ่งเดินก็ยิ่งชื้นมากขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ ? จนสามารถได้ยินเสียงน้ำหยดแล้วด้วย” หลี่ฝางมองดูแอ่งน้ำที่สะท้อนแสงจากแสงจันทร์ ถามขึ้นมาอย่างสงสัย

“ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ตอนนี้รองเท้าของฉันแทบจะเปียกหมดแล้ว รู้สึกหนาวไปทั้งตัว อึดอัดสุดๆ” กู่ยี่เทียนพูดไปพลางลูบแขนตัวเองขึ้นลงไปมา

เพราะว่าเป็นฤดูร้อน ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไม่ได้พกเสื้อผ้าหนาๆ มาด้วยเลย ในกระเป๋าสะพายมีก็แต่เสื้อแขนสั้นหมดเลย คิดไม่ถึงเลยว่าคราวนี้อากาศจะหนาวจนขนลุกไปหมดแบบนี้

“อันที่จริงแล้วเมื่อหลายพันปีก่อนพื้นที่ราบแห่งนี้เค็ยเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำมาก่อน แต่พอเวลาผ่านไปก็เกิดการเปลี่ยนแปลงของธรณีวิทยาทำให้น้ำค่อยๆ เหือดแห้งไป จนกลายเป็นทุ่งหญ้าอย่างในตอนนี้ ถึงแม้ว่าแม่น้ำจะหายไปแล้ว แต่ในที่ลุ่มบางแห่งก็ยังมีน้ำบาดาลไหลผ่านอยู่ จนบางที่ก็กลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่”

ตั้งแต่เด็กๆ อูหลิงเคยได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของเผ่ากู่มาแล้ว ฉะนั้นสำหรับเรื่องพื้นที่ราบนี้ รวมทั้งเผ่ากู่ที่เคยชีวิตอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เขาจึงมีความเข้าใจเป็นอย่างดี

และครั้งนี้ถือเป็นเรื่องหายากที่เขาตอบคำถามของหลี่ฝาง ซึ่งไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่แต่ละคำของเขามักจะแฝงไปด้วยคำพูดเหน็บแนมแล้ว

หลังจากที่ได้ยินคำตอบของอูหลิง หลี่ฝางถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ “หากว่าตามที่นายพูด อย่างนั้นทางหน้าก็จะเป็นหนองน้ำแล้วไม่ใช่หรอกหรอ?”

“ใช่แล้ว เพียงแค่ข้ามหนองน้ำนั้นไป ก็นับว่าได้เข้าสู่ดินแดนของเผ่ากู่แล้ว” อูหลิงพยักหน้าตอบกลับ

คราวนี้หลี่ฝางก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถนนเส้นนี้คนเผ่ากู่ถึงได้ทิ้งร้างเอาไว้ บริเวณด้านหน้ามีป่าทึบพอผ่านเข้ามาก็มีหนองน้ำอีก คนภายนอกอยากเข้ามาก็นับว่าเป็นเรื่องยากมากแล้ว แต่ถึงต่อให้เข้าไปได้ ก็ต้องถูกพบโดยแมลงที่เผ่ากู่เลี้ยงเอาไว้อย่างรวดเร็วอีก

“ตอนนี้ฟ้าก็มืดมากแล้ว พวกเราหาที่พักกันก่อนดีกว่า หนองน้ำในยามค่ำคืนคงจะมีบางสิ่งอันตรายแน่นอน”

เมื่อไตร่ตรองเรื่องที่ทุกคนเดินทางมาทั้งวันแล้ว รวมกับท้องฟ้าที่มืดแล้ว อีกทั้งเพราะว่าทางข้างหน้าเป็นหนองน้ำ หลี่ฝางจึงตัดใจที่จะไม่เดินทางต่อ แล้วรอให้วันพรุ่งนี้เช้าค่อยคิดวิธีพิชิตเส้นทางสุดท้าย

“ไม่ได้ ตอนนี้พวกเราเดินทางมาถึงจุดที่มีน้ำบาดาลไหลผ่านมากที่สุดแล้ว ในทุกคืนของที่นี่จะมีน้ำไหลผ่านเป็นธารน้ำ ถ้าหากพวกเราพักแรมกันที่นี่ ต้องจมน้ำบาดาลที่ผุดขึ้นมาตอนกลางดึกตายแน่นอน”

ทุกคนที่กำลังเตรียมจะวางกระเป๋าลง เมื่อได้ยินคำพูดของนี้ของอูหลิงก็ทำให้พวกเขาต้องชะงักมืออย่างเลี่ยงไม่ได้

เดิมที่คิดว่าที่ที่ราบน้จะเดินทางง่ายกว่าป่าทึบนั้น แต่ใครจะรู้ว่ามันกลับยิ่งลำบากมากกว่าเดิม ดูแล้ววันนี้พวกเขาที่ไม่อยากจะข้ามหนองน้ำไป คงต้องข้ามมันไปแล้ว

ในความเอือมระอา ทุกคนหยิบเอากระเป๋ากลับมาสะพายอีกครั้ง ก่อนจะเดินประทับรอยเท้าต่อไปข้างหน้า

หลังจากที่ทุกคนเดินไปอีกครึ่งชั่วโมงอย่างยากลำบาก ในที่สุดพวกหลี่ฝางก็พอจะมองเห็นหนองน้ำนั้นที่อูหลิงพูดเอาไว้

“แม่เจ้า!นี่เรียกหนองน้ำงั้นหรอ?นี่มันมองไม่เห็นที่สิ้นสุดเลยนะ!” ด้วยแสงจันทร์ที่เจิดจ้าลงมา ทุกคนมองดูทุ่งหญ้าที่สะท้อนแสงจันทร์ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไขจี๋เออนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสบถคำหยาบออกมา

ในความคิดของพวกเขาหนองน้ำมันไม่ได้กว้างใหญ่มาก แต่หลังจากที่ได้เห็นหนองน้ำที่ไร้ขอบเขตผืนนี้แล้ว พวกหลี่ฝางถึงได้รู้ตัวว่าพวกเขานั้นยังไร้เดียงสาเกินไป

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท