NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 1313 เหนือจินตนาการ

บทที่ 1313 เหนือจินตนาการ

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ หลี่ฝางไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตัวเองนั้นโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่ เมื่อมองไปที่คางคกอัปลักษณ์ตัวนั้น คิ้วของเขาพลันขมวดแน่นจนปูดโปนออกมา แล้วถามอย่างไม่แน่ใจนักว่า “จริงหรือ”

“พลังของนายแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งหมด ทำไมฉันต้องหลอกนายเรื่องนี้ด้วย หากนายไม่เชื่อฉันก็ได้ แต่หากถึงเวลาแล้วขาดส่วนผสมยาไปขนานหนึ่ง นายก็อย่าหาว่าฉันไม่บอกก็แล้วกัน” อูหลิงกลอกตาแล้วไม่กล่าวอะไรอีก

“หลี่ฝาง พวกเราจัดการคางคกตัวนี้ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปเถิด พี่ดูสายตาของมันสิ มันเห็นพวกเราเป็นเหยื่อของมันตั้งแต่แรกแล้ว”

กู่ยี่เทียนปัดโคลนที่ติดตามตัวของตนออกอย่างง่ายๆ แล้วเงยหน้าหรี่ตามองไปยังคางคกที่กำลังจ้องมองมาทางพวกเขา

พิจารณาจากขนาดของคางคกตัวนี้แล้ว อายุคงจะมากกว่าพันปีแล้วและก็คงจะไม่ได้ผจญเรื่องระทึกเช่นนี้มานานแล้ว จึงไม่ง่ายนักที่วันนี้จะจับเหยื่ออย่างพวกเขามาได้ แล้วมันจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร

การต่อสู้นองเลือดคงมิอาจหลีกเลี่ยงพ้นแล้ว

หลี่ฝางเองก็สังเกตเห็นความกระหายในสายตาของคางคกตัวนี้ จึงแอบถอนใจ แล้วเอ่ยกับคางคกด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่

“ตอนแรกพวกเราก็ไม่อยากต่อสู้กับแกหรอก แต่ใครให้แกเป็นส่วนผสมทำยาของฉันเล่า ดูท่าฉันคงต้องส่งแกเดินทางครั้งสุดท้ายแล้ว”

เมื่อกล่าวจบประโยค หลี่ฝางก็ออกแรงที่เท้าแล้วพุ่งทะยานไปยังคางคกตัวนั้น กู่ยี่เทียนก็ตามหลังไปติดๆ

บนท้องฟ้าปรากฏเพียงเงาของทั้งสองร่าง การต่อสู้ทำให้คางคกส่งเสียงร้องกระหึ่ม คางคกที่มีชีวิตมากว่าพันปีย่อมมีจิตรับรู้ เมื่อเห็นว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ฝางก็พ่นไอพิษออกมาแล้วรีบมุดลงไปในบึงน้ำ

“แย่แล้ว มันกำลังจะหนี! รีบจับขามันไว้เร็วเข้า!” กู่ยี่เทียนรีบตะโกนร้อง เมื่อเห็นคางคกมุดลงไปในบึงน้ำได้ครึ่งตัว

“คิดหนี? ฉันอนุญาตรึยัง!” คางคกนั้นว่องไวมาก แต่ยังคงเร็วไม่เท่าหลี่ฝางกับกู่ยี่เทียน

พวกเขาทั้งสองช่วยกันดึงขาหลังข้างหนึ่งของคางคกขึ้นมา คางคกที่มุดลงไปในบึงน้ำได้ครึ่งตัวก็ถูกดึงกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

พวกหลี่ฝางได้โยนคางคกลงกระแทกกับพื้นดังตึ้ง เสียงกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้โคลนสาดกระเซ็น คางคกถูกเหวี่ยงจนขาทั้งสี่ข้างชี้ฟ้าโด่ เผยหน้าท้องสีขาวให้พวกหลี่ฝางมีโอกาสได้เห็น

เมื่อเหยื่อตกอยู่ในมือแล้วก็ไร้เหตุผลที่จะปล่อยไป หลี่ฝางแหวกท้องคางคกด้วยมือเปล่า แล้วควักเอาอวัยวะด้านในออกมาจากตัวของมัน

หลังจากคางคกถูกแหวกท้องแล้วก็ดิ้นพล่านอยู่สองสามทีก่อนจะหมดลมหายใจไป เมื่อเสี่ยวหลินตังเห็นมันตายอย่างน่าเวทนาเช่นนั้นก็คลื่นไส้อาเจียนอยู่อีกด้านหนึ่ง

ส่วนไขจี๋เออกับ ไขบู๊เกอก็กำลังถกเถียงกันอยู่ว่า เนื้อของคางคกตัวนี้จะกินได้หรือไม่

“อูหลิง นี่คืออวัยวะของมันใช่หรือไม่” หลี่ฝางมองสิ่งที่มีขนาดเท่าไข่ห่านและมีสีเขียวมรกตในมือ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

ตอนนี้อูหลิงกำลังหาของมีค่าอย่างอื่นด้านในตัวของคางคก แล้วหันไปเหลือบมองไข่มุกสีเขียวในมือของหลี่ฝางคร่าวๆ แล้วก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด

“ถูกต้อง คางคกตัวนี้มีชีวิตอยู่มาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปี อวัยวะภายในจึงหลอมรวมกันเป็นมุกทิพย์ วันนี้ถือเป็นคราวซวยของมันที่ได้มาเจอพวกนาย มันต้องบำเพ็ญตบะมาหลายร้อยปีกว่าจะได้กลายเป็นภูต”

ภูตคืออะไร? เป็นครั้งแรกที่พวกหลี่ฝางได้ยินคำๆ นี้

“พวกนายไม่รู้จักคำว่าภูตหรอกหรือ” อูหลิงหันมามองทุกคนที่กำลังจ้องมาที่ตนอย่างสับสนแล้วกล่าวอธิบาย

“ไม่รู้” หลี่ฝางส่ายหน้าแล้วตอบตามตรง

เขาเพิ่งเป็นนักรบได้เพียงไม่กี่ปี เรื่องราวที่เกี่ยวกับการรบก็ยังไม่ทันจะเข้าใจถ่องแท้ แล้วจะให้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับภูตได้อย่างไร

“คำว่าภูตนั้นหมายถึงสัตว์ธรรมดาที่ผ่านการบำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานาน เหตุในการบำเพ็ญตบะนั้นไม่ต่างจากนักรบอย่างพวกเรา เพียงแค่ไม่ได้มีระดับขั้นมากเท่าพวกเราก็เท่านั้น”

กู่ยี่เทียนเคยอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวกับภูตมาบ้าง เมื่อเขาเห็นหลี่ฝางกับพวกมีสีหน้าล่องลอยจึงอาสาเล่าเรื่องให้พวกหลี่ฝางฟังเอง

“สรรพสัตว์บนโลกใบนี้เมื่อได้ดูดซับพลังจากตะวันและจันทรา ก็จะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นสัตว์ในระดับขั้นที่สูงขึ้นได้ ทว่าความเป็นไปได้ต่ำมาก ในบรรดามนุษย์ที่มีพรสวรรค์ย่อมสามารถเป็นนักรบได้ และในบรรดานักรบที่มีพรสวรรค์มากกว่าก็สามารถเลื่อนขั้นไปสู่เขตแดนที่สูงกว่าได้”

“ในบรรดาสัตว์ก็ปรากฏเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน แต่พวกมันจะเลื่อนขั้นยากกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว แถมเวลาที่ใช้ในการบำเพ็ญตบะก็ยาวนานกว่ามนุษย์ โดยมากแล้วต้องใช้เวลามากกว่าพันปีกว่าจะได้เลื่อนขั้น”

“สัตว์ธรรมดาที่ได้ดูดซับพลังงานจากตะวันและจันทราจนได้เลื่อนขั้นแล้ว จะถูกเรียกขานว่าภูต สติปัญญาและความรู้ของภูตจะได้รับการยกระดับขึ้นมาก ถึงขั้นสามารถนำไปเปรียบเทียบกับเด็กอายุสิบขวบได้เลย”

“และเมื่อพ้นระดับภูตขึ้นไปแล้ว ก็ยังมีสัตว์เซียน สัตว์เซียนสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ สติปัญญาเทียบเท่ากับมนุษย์วัยผู้ใหญ่ และหลังจากเป็นสัตว์เซียนก็ยังมีสัตว์เทพ สัตว์เทพไม่เพียงพูดได้เท่านั้น แต่ยังสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ด้วย”

“ประเทศจีนของพวกเรามีการร่ำลือสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณแล้วว่า มังกรกับหงสาถือเป็นสัตว์เทพ แต่อันที่จริงแล้วไม่ถูกต้อง พวกมังกรกับหงสานั้นมีพรสวรรค์มากกว่าสัตว์ธรรมดาทั่วไปมากนัก ทำให้พวกมันบำเพ็ญตบะได้ง่ายกว่าสัตว์ธรรมดามาก”

“ตั้งแต่โลกถือกำเนิดขึ้น มีเพียงมังกรและหงสาเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถเลื่อนขั้นเป็นสัตว์เทพได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นนักรบหรือสัตว์ เมื่อกลายเป็นเทพแล้วจะไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ได้ ดังนั้นเรื่องราวของเทพกับสัตว์เทพจึงกลายเป็นเพียงตำนานเท่านั้น”

หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากปากของกู่ยี่เทียน หลี่ฝางรู้สึกราวกับตนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเข้าใจผิดมาตลอดว่ามังกรกับหงสา ไหนจะพวกสัตว์อย่างหงส์แดงและเต่าดำเป็นเพียงสัตว์ประหลาดที่คนโบราณแต่งขึ้นมาเองเท่านั้น

นึกไม่ถึงเลยว่าพวกมันจะมีตัวตนอยู่จริงๆ เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างยิ่ง

“พวกแกเป็นใคร ถึงกล้าบุกเข้ามาในเขตแดนเผ่ากู่ของพวกเรา” และในช่วงเวลานั้นเอง กลุ่มคนสวมชุดดำและมีรอยสักประหลาดบนร่างก็ได้เข้ามาล้อมพวกหลี่ฝางเอาไว้

“คุณชายน้อยอูหลิง? เหตุใดถึงไปอยู่กับคนพวกนั้นได้” สตรีค่อนข้างสูงวัยที่นำอยู่ด้านหน้าเมื่อเห็นอูหลิง ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท