เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ หลี่ฝางไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตัวเองนั้นโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่ เมื่อมองไปที่คางคกอัปลักษณ์ตัวนั้น คิ้วของเขาพลันขมวดแน่นจนปูดโปนออกมา แล้วถามอย่างไม่แน่ใจนักว่า “จริงหรือ”
“พลังของนายแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งหมด ทำไมฉันต้องหลอกนายเรื่องนี้ด้วย หากนายไม่เชื่อฉันก็ได้ แต่หากถึงเวลาแล้วขาดส่วนผสมยาไปขนานหนึ่ง นายก็อย่าหาว่าฉันไม่บอกก็แล้วกัน” อูหลิงกลอกตาแล้วไม่กล่าวอะไรอีก
“หลี่ฝาง พวกเราจัดการคางคกตัวนี้ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปเถิด พี่ดูสายตาของมันสิ มันเห็นพวกเราเป็นเหยื่อของมันตั้งแต่แรกแล้ว”
กู่ยี่เทียนปัดโคลนที่ติดตามตัวของตนออกอย่างง่ายๆ แล้วเงยหน้าหรี่ตามองไปยังคางคกที่กำลังจ้องมองมาทางพวกเขา
พิจารณาจากขนาดของคางคกตัวนี้แล้ว อายุคงจะมากกว่าพันปีแล้วและก็คงจะไม่ได้ผจญเรื่องระทึกเช่นนี้มานานแล้ว จึงไม่ง่ายนักที่วันนี้จะจับเหยื่ออย่างพวกเขามาได้ แล้วมันจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร
การต่อสู้นองเลือดคงมิอาจหลีกเลี่ยงพ้นแล้ว
หลี่ฝางเองก็สังเกตเห็นความกระหายในสายตาของคางคกตัวนี้ จึงแอบถอนใจ แล้วเอ่ยกับคางคกด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่
“ตอนแรกพวกเราก็ไม่อยากต่อสู้กับแกหรอก แต่ใครให้แกเป็นส่วนผสมทำยาของฉันเล่า ดูท่าฉันคงต้องส่งแกเดินทางครั้งสุดท้ายแล้ว”
เมื่อกล่าวจบประโยค หลี่ฝางก็ออกแรงที่เท้าแล้วพุ่งทะยานไปยังคางคกตัวนั้น กู่ยี่เทียนก็ตามหลังไปติดๆ
บนท้องฟ้าปรากฏเพียงเงาของทั้งสองร่าง การต่อสู้ทำให้คางคกส่งเสียงร้องกระหึ่ม คางคกที่มีชีวิตมากว่าพันปีย่อมมีจิตรับรู้ เมื่อเห็นว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ฝางก็พ่นไอพิษออกมาแล้วรีบมุดลงไปในบึงน้ำ
“แย่แล้ว มันกำลังจะหนี! รีบจับขามันไว้เร็วเข้า!” กู่ยี่เทียนรีบตะโกนร้อง เมื่อเห็นคางคกมุดลงไปในบึงน้ำได้ครึ่งตัว
“คิดหนี? ฉันอนุญาตรึยัง!” คางคกนั้นว่องไวมาก แต่ยังคงเร็วไม่เท่าหลี่ฝางกับกู่ยี่เทียน
พวกเขาทั้งสองช่วยกันดึงขาหลังข้างหนึ่งของคางคกขึ้นมา คางคกที่มุดลงไปในบึงน้ำได้ครึ่งตัวก็ถูกดึงกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
พวกหลี่ฝางได้โยนคางคกลงกระแทกกับพื้นดังตึ้ง เสียงกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้โคลนสาดกระเซ็น คางคกถูกเหวี่ยงจนขาทั้งสี่ข้างชี้ฟ้าโด่ เผยหน้าท้องสีขาวให้พวกหลี่ฝางมีโอกาสได้เห็น
เมื่อเหยื่อตกอยู่ในมือแล้วก็ไร้เหตุผลที่จะปล่อยไป หลี่ฝางแหวกท้องคางคกด้วยมือเปล่า แล้วควักเอาอวัยวะด้านในออกมาจากตัวของมัน
หลังจากคางคกถูกแหวกท้องแล้วก็ดิ้นพล่านอยู่สองสามทีก่อนจะหมดลมหายใจไป เมื่อเสี่ยวหลินตังเห็นมันตายอย่างน่าเวทนาเช่นนั้นก็คลื่นไส้อาเจียนอยู่อีกด้านหนึ่ง
ส่วนไขจี๋เออกับ ไขบู๊เกอก็กำลังถกเถียงกันอยู่ว่า เนื้อของคางคกตัวนี้จะกินได้หรือไม่
“อูหลิง นี่คืออวัยวะของมันใช่หรือไม่” หลี่ฝางมองสิ่งที่มีขนาดเท่าไข่ห่านและมีสีเขียวมรกตในมือ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
ตอนนี้อูหลิงกำลังหาของมีค่าอย่างอื่นด้านในตัวของคางคก แล้วหันไปเหลือบมองไข่มุกสีเขียวในมือของหลี่ฝางคร่าวๆ แล้วก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
“ถูกต้อง คางคกตัวนี้มีชีวิตอยู่มาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปี อวัยวะภายในจึงหลอมรวมกันเป็นมุกทิพย์ วันนี้ถือเป็นคราวซวยของมันที่ได้มาเจอพวกนาย มันต้องบำเพ็ญตบะมาหลายร้อยปีกว่าจะได้กลายเป็นภูต”
ภูตคืออะไร? เป็นครั้งแรกที่พวกหลี่ฝางได้ยินคำๆ นี้
“พวกนายไม่รู้จักคำว่าภูตหรอกหรือ” อูหลิงหันมามองทุกคนที่กำลังจ้องมาที่ตนอย่างสับสนแล้วกล่าวอธิบาย
“ไม่รู้” หลี่ฝางส่ายหน้าแล้วตอบตามตรง
เขาเพิ่งเป็นนักรบได้เพียงไม่กี่ปี เรื่องราวที่เกี่ยวกับการรบก็ยังไม่ทันจะเข้าใจถ่องแท้ แล้วจะให้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับภูตได้อย่างไร
“คำว่าภูตนั้นหมายถึงสัตว์ธรรมดาที่ผ่านการบำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานาน เหตุในการบำเพ็ญตบะนั้นไม่ต่างจากนักรบอย่างพวกเรา เพียงแค่ไม่ได้มีระดับขั้นมากเท่าพวกเราก็เท่านั้น”
กู่ยี่เทียนเคยอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวกับภูตมาบ้าง เมื่อเขาเห็นหลี่ฝางกับพวกมีสีหน้าล่องลอยจึงอาสาเล่าเรื่องให้พวกหลี่ฝางฟังเอง
“สรรพสัตว์บนโลกใบนี้เมื่อได้ดูดซับพลังจากตะวันและจันทรา ก็จะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นสัตว์ในระดับขั้นที่สูงขึ้นได้ ทว่าความเป็นไปได้ต่ำมาก ในบรรดามนุษย์ที่มีพรสวรรค์ย่อมสามารถเป็นนักรบได้ และในบรรดานักรบที่มีพรสวรรค์มากกว่าก็สามารถเลื่อนขั้นไปสู่เขตแดนที่สูงกว่าได้”
“ในบรรดาสัตว์ก็ปรากฏเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน แต่พวกมันจะเลื่อนขั้นยากกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว แถมเวลาที่ใช้ในการบำเพ็ญตบะก็ยาวนานกว่ามนุษย์ โดยมากแล้วต้องใช้เวลามากกว่าพันปีกว่าจะได้เลื่อนขั้น”
“สัตว์ธรรมดาที่ได้ดูดซับพลังงานจากตะวันและจันทราจนได้เลื่อนขั้นแล้ว จะถูกเรียกขานว่าภูต สติปัญญาและความรู้ของภูตจะได้รับการยกระดับขึ้นมาก ถึงขั้นสามารถนำไปเปรียบเทียบกับเด็กอายุสิบขวบได้เลย”
“และเมื่อพ้นระดับภูตขึ้นไปแล้ว ก็ยังมีสัตว์เซียน สัตว์เซียนสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ สติปัญญาเทียบเท่ากับมนุษย์วัยผู้ใหญ่ และหลังจากเป็นสัตว์เซียนก็ยังมีสัตว์เทพ สัตว์เทพไม่เพียงพูดได้เท่านั้น แต่ยังสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ด้วย”
“ประเทศจีนของพวกเรามีการร่ำลือสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณแล้วว่า มังกรกับหงสาถือเป็นสัตว์เทพ แต่อันที่จริงแล้วไม่ถูกต้อง พวกมังกรกับหงสานั้นมีพรสวรรค์มากกว่าสัตว์ธรรมดาทั่วไปมากนัก ทำให้พวกมันบำเพ็ญตบะได้ง่ายกว่าสัตว์ธรรมดามาก”
“ตั้งแต่โลกถือกำเนิดขึ้น มีเพียงมังกรและหงสาเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถเลื่อนขั้นเป็นสัตว์เทพได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นนักรบหรือสัตว์ เมื่อกลายเป็นเทพแล้วจะไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ได้ ดังนั้นเรื่องราวของเทพกับสัตว์เทพจึงกลายเป็นเพียงตำนานเท่านั้น”
หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากปากของกู่ยี่เทียน หลี่ฝางรู้สึกราวกับตนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเข้าใจผิดมาตลอดว่ามังกรกับหงสา ไหนจะพวกสัตว์อย่างหงส์แดงและเต่าดำเป็นเพียงสัตว์ประหลาดที่คนโบราณแต่งขึ้นมาเองเท่านั้น
นึกไม่ถึงเลยว่าพวกมันจะมีตัวตนอยู่จริงๆ เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างยิ่ง
“พวกแกเป็นใคร ถึงกล้าบุกเข้ามาในเขตแดนเผ่ากู่ของพวกเรา” และในช่วงเวลานั้นเอง กลุ่มคนสวมชุดดำและมีรอยสักประหลาดบนร่างก็ได้เข้ามาล้อมพวกหลี่ฝางเอาไว้
“คุณชายน้อยอูหลิง? เหตุใดถึงไปอยู่กับคนพวกนั้นได้” สตรีค่อนข้างสูงวัยที่นำอยู่ด้านหน้าเมื่อเห็นอูหลิง ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ