ชั้นบน สีหน้าเรียบเฉยจ้องมองภาพที่เกิดขึ้นเบื้องล่าง ริมฝีปากบางกรีดยิ้มเบาๆ ที่มุมปาก
ประตูห้องไพรเวทถูกเปิดออกอวี๋ซงก้าวเข้ามา ‘รับความดีความชอบ’
ป๋อจิ่งชวนหันหน้ามากวาดสายตามองเขา
อวี๋ซงเก็บคางโน้มตัวลงเล็กน้อย ร่างกายเกิดอาการเกร็งด้วยความหวาดหวั่น
“สกิลการปั่นหัวคนของนาน…ยังต้องพัฒนาอีกเยอะ”
ป๋อจิ่งชวนเอ่ยประโยคสุดท้ายอย่างราบเรียบ ทำให้อวี๋ซงคลายความกังวลลงได้บ้าง
“ผมจะพยายามอย่างถึงที่สุดครับ”
ป๋อจิ่งชวนเลิกคิ้วขึ้น “ส่งอาหารให้เธอต่อ วันล่ะสามมื้อจนกว่าเธอจะแข็งแรงขึ้นและออกจากโรงพยาบาลได้”
“รับทราบครับ คุณผู้ชาย”
–
ยามพลบค่ำ เฉินฝานซิงได้แต่พูดไม่ออกกับการมาถึงของอวี๋ซง
ตลอดสองวันอวี๋ซงจะคอยเปลี่ยนเมนูอาหารที่ทั้งบำรุงร่างกายและมีสารอาหารในแบบที่ไม่เคยซ้ำกันจนหน้าตาของเธอดูสดใสขึ้นไม่น้อย
ขนาดแต่เมื่อก่อนเธอมักจะปวดท้องบ่อยๆ ทว่าสองวันมานี้กลับไม่มีอาการอย่างน่าแปลกใจ
แต่ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้เรื่อยๆ ก็เห็นทีไม่ใช่เรื่อง สุดท้ายในเที่ยงของวันที่สามเธอก็ทนต่อไปอีกไม่ไหว
อวี๋ซงเข้ามาอย่างเช่นทุกครั้ง เธอรับกล่องอาหารมาอย่างเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณยายอยู่ไหนคะ ฉันเคยสัญญาว่าจะไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
อวี๋ซงเอ่ยเสียงทุ้ม “ผมขอกลับไปคุยกับนายหญิงดูก่อนนะครับ”
เธอพยักหน้ารับ “ท่านมีเบอร์ของฉัน หากท่านอยากจะคุยกับฉันก็สามารถโทรหาฉันได้ทุกเมื่อ”
“ครับ”
อวี๋ซงเดินออกมาจากห้องคนคนไข้เตรียมจะกลับไปความคิดเห็นจากนายหญิง
ผลที่ตามมาคือเขาเกือบชนเข้ากับคนทั้งสอง
เขาเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วทำให้ไม่ได้ชนเข้ากับร่างกายของคนทั้งคู่แม้แต่น้อย
หลังจากนั้นจึงกวาดสายตามองพวกเขาหนึ่งครั้งแล้วก้มศีรษะลงเป็นการขอโทษขอโพยก่อนจะปลีกตัวออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เฉินเชียนโหรวคว้าแขนของซูเหิงมาจับไว้ มองไปยังแผ่นหลังของอวี๋ซงที่กำลังเดินจากไปด้วยแววตาตกใจ
“เขา…เพิ่งออกมาจากห้องของพี่สาวเหรอ พี่เหิง เขาคือใครเหรอคะ”
ซูเหิงจ้องมองเข้าอย่างเคร่งขรึมและแววตาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว
“น่าจะเป็นคนที่พี่สาวเธอเคยร่วมงานด้วยมั้ง ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”
“อ๋อ”
เชียนโหรวที่มองแผ่นหลังนั้นอยู่ เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มก็ผุดขึ้นในดวงตาสวย
“งั้นเรารีบเข้าไปกันเถอะค่ะ”
“อืม”
ซูเหิงตอบรับ ยกมือขึ้นผลักประตูห้องของเฉินฝานซิง
เฉินฝานซิงที่นั่งป้อนอาหารที่อวี๋ซงเพิ่งส่งมาให้ใส่ปากอย่างเสียไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงเธอจึงแหงนหน้าขึ้น
เธอชะงักไม่ไหวติงไปในเสี้ยวนาที ลมหายใจได้หยุดลงไปขณะหนึ่ง
เฉินเชียนโหรวในเสื้อกันลมสีขาว ผมสีชานมม้วนเป็นคลื่นสวยประอยู่ตรงไหล่ ขับกับใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือที่สวยได้รูปของเธอ ดวงตากลมสวยยังคงทอแสงระยิบระยับอยู่ไม่คลาย ผิวพรรณขาวเนียนละเอียด ยามแสดงสีหน้ากังวลหรือเสียใจก็นุ่มนวลและน่ามองไปหมด
อาศัยแค่ใบหน้าที่สวยงามบวกกับพรสวรรค์ในการแสดงตั้งกำเนิด การจะเป็นหนึ่งในดาราสาวที่โด่งดังที่สุดระดับประเทศก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ตอนนี้เธอกำลังจับมือถือแขนกับซูเหิงอย่างสนิทสนม หนุ่มรวยกับสาวสวย อยู่ด้วยกันแล้วก็ดูเข้ากันดีราวกับกิ่งทองใบหยก
เฉินฝานซิงค่อนข้างเหม่อลอย
ย้อนนึกถึงตัวเองที่ทั้งวันเอาแต่ใส่ชุดทำงานสีเดิมๆ ซ้ำๆ ผมก็แทบจะไม่เคยมีเวลาดูแล สุดท้ายเวลาทำงานเธอก็ทำอยู่แค่ทรงเดียวคือไม่รวบตึงก็มวยผมแบบง่ายๆ
จริงสิ ถ้าจับเธอกับเฉินเชียนโหรวมายืนคู่กัน ผู้ชายคนไหนก็ต้องเลือกเชียนโหรวทั้งนั้นแหละ