เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
จ้องมองแอปเปิลอยู่ค่อนวันแต่ก็ไม่ยื่นมือไปรับสักที
ฝ่ามือขาวขยับไปหาเธออีกสองสามครั้ง กดเสียงพูด:
“คุยมาตั้งนาน ไม่ฝืดคอบ้างเหรอ”
นายหญิงสกุลป๋อเลิกคิ้ว ก้มหน้าลงหญิงแก้วชาที่วางอยู่บนโต๊ะ เม้มปากเบาๆ ไม่พูดไม่จา
เฉินฝานซิงรับผลไม้มาอย่างหวาดๆ ระหว่างนั้นเผลอไปสัมผัสเข้ากับปลายนิ้วของอีกฝ่ายจนรู้สึกหนาวเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะ”
เธอก้มลง ยกแอปเปิลขึ้นกัดหนึ่งคำ กรอบจนได้ยินเสียง กรุบกรุบ ดังเข้ามาในหู
นัยน์ตาสีหมึกของป๋อจิ่งชวนทอประกาย นำมีดปอกผลไม้วางลงบนโต๊ะน้ำชา ยืนมือหยิบกระดาษเช็ดมือขึ้นมาสองแผ่น บรรจงเช็ดลงไปบนนิ้วเรียวสวยทั้งห้า
การกระทำละเอียดอ่อนเช่นนั้นเพียงพอที่จะทำให้มองออกเพราะในเวลาปกติเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้
เมื่อเห็นเฉินฝานซิงยอมทานแอปเปิล นายหญิงสกุลป๋อเองก็คลี่ยิ้มออกมา
มองในตาของหลานชายที่ถึงแม้จะถูกใจแต่ก็อดอิจฉาไม่ได้
ชาตินี้เธอยังไม่เคยได้ทานแอปเปิลที่หลานชายเป็นคนปอกให้เลยสักครั้ง
หลานรักเอ๊ย!
ถ้าเกิดวันนี้ไม่ใช่ฝานซิงล่ะก็นะ!
หึ้ย!
แอปเปิลมีรสชาติที่หวานมาก หวานเสียจนรู้สึกว่าความหวานนั้นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจทีละน้อย
“ฝานซิง บริษัทของเพื่อนหนูทำเกี่ยวกับอะไรจ๊ะ”
ห้องรับแขกที่เงียบมาพอสมควร หญิงชราจึงเป็นคนออกปากถามคำถามที่ป๋อจิ่งชวนเพิ่งถามไปเมื่อสักครู่ใหม่อีกครั้ง
“บริษัทเครื่องสำอางจือชิ่นค่ะ ตอนนี้ทำโรงงานเองก็เลยยุ่งมากๆ เลย”
“อ๋อ”
นายหญิงพยักหน้าเข้าใจ
หลังนั้นก็ตามมาด้วยบทสนทนาง่ายๆ รอจนแอปเปิลในมือถูกกินจนหมดเป็นเวลาเดียวกับที่ไหลหรงรีบเข้ามาเตือนว่าอาหารเย็นได้เตรียมเสร็จแล้ว
แอปเปิลลูกใหญ่ขนาดนั้นลงท้องไป เฉินฝานซิงยังจะทานอะไรลงอีก
แต่รอมานานจนป่านนี้ แถมตกลงไว้แล้วว่าจะอยู่ทานอาหารเย็นกับหญิงชราแล้วจะไม่ทานก็ไม่ได้
ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่ง ป๋อจิ่งชวนได้ลากเก้าอี้ออกให้ เธอเอ่ยคำขอบคุณเบาๆ แล้วเดินเข้าไป ป๋อจิ่งชวนจึงดันเก้าอี้กลับไปเล็กน้อย เธอจึงโน้มตัวลงนั่ง ทั้งสองจับคู่กันเป็นที่รู้กันทั้งสองฝ่ายในตำแหน่งที่พอดี
หลังจากนั้นป๋อจิ่งชวนก็ตามมานั่งข้างๆ
นายหญิงสกุลป๋อตรงเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามมองมายังทั้งคู่อย่างพึงใจ
ดูเหมือนว่าไหลหรงจะคอยอยู่ข้างหญิงชราไม่ห่าง แม้แต่ขณะทานอาหารเธอเองก็ยังคอยยืนอยู่ข้างๆ
แม้ว่าในท้องจะเต็มไปด้วยอาหาร ทว่าเฉินฝานซิงยังคงยกมีดกับซ่อมขึ้นมาและเริ่มทาน
เธอนั่งแค่ครึ่งหนึ่งของเก้าอี้ ไหล่ผายอย่างเป็นธรรมชาติ แผ่นหลังเหยียดตรง เก็บคางเล็กน้อย เรียวคิ้วลู่ลง ไม่ค้อมตัวลงมองจานอาหาร แม้กระทั่งท่าอิริยาบถในการเคี้ยวอาหาร ล้วนอยู่ในอุปนิสัยที่แสดงออกถึงการถูกอบรมมาเป็นอย่างดีและนิสัยที่แท้จริง
ไหลหรงแอบพยักหน้าและส่งสายตาให้กับหญิงชราด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความพอใจ
–
หลังทานเสร็จก็นั่งพักกันสักครู่ ฟ้าข้างนอกก็ได้มืดลงแล้ว เฉินฝานซิงอยู่นานกว่านี้ไม่ได้จึงลุกขึ้นและขอตัวลา
ป๋อจิ่งชวนลุกขึ้นตาม บ่าวรับใช้จึงปรี่เข้ามายื่นสูทตัวนอกให้โดยไว
“ผมไปส่ง”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นในลำคออย่างเคยตัว ประโยคที่ฟังดูเรียบง่าย แต่กลับแฝงไปด้วยอำนาจที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ง่ายๆ
เฉินฝานซิงไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งสองเดินออกไปโดยผ่านเส้นทางลัดเช่นเดิม
“คุณจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่” เสียงทุ้มแว่วดังมาจากเหนือศีรษะ
“มะรืนมั้งคะ”
เขาเงียบไปก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง:
“หลังจากนี้ผมคงจะยุ่งมาก”
เฉินฝานซิงก้าวผ่านประตูรั้วหันกลับมามองเขา
“ฉันกลับเองได้”
เธอเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ
แต่ถึงแม้จะพูดอย่างนั้น วันที่เธอออกจากโรงพยาบาล ป๋อจิ่งชวนก็มาอยู่ดี