ตอนที่ 63 หนึ่งฉาด
ความหลักแหลมปรากฏขึ้นในดวงตาของหญิงชราอย่างเด่นชัด
“ปล่อยให้เธอได้ใจไปก่อน มันจะต้องมีสักวันที่เธอต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า!”
ไหลหลงแย้มยิ้ม เธอเชื่อมั่นในความคิดของนายหญิงอย่างไม่มีข้อสงสัย
“ค่ะ นายหญิง”
ขณะเดินออกจากจัตุรัสซินซื่อเจี้ย เฉินฝานซิงเดินไปขึ้นรถที่ลานจอดรถ ส่วนแม่บ้านไหลหรงและหญิงชรายืนรอเธออยู่ริมทาง
และขณะนั้นเฉินเชียนโหรวก็ได้ขับรถออกมาจากโรงจอดรถใต้ดิน ก็ได้เห็นหญิงชราที่นั่งอยู่บนวิลแชร์และผู้ติดตามของเธอจากที่ไกลๆ
แม้จะบอกว่าเมื่อกี้ยังไม่ได้เห็นหน้าแบบชัดๆ แต่จะมีสักกี่คนกันที่นั่งวิลแชร์มาช้อปปิ้งในห้างแบบนี้?
เธอยกยิ้มเย็นขึ้นในใจ อยู่กับผู้หญิงเย็นชาและหม่นหมองอย่างเฉินฝานซิง?
เข้าใจยากเสียจริง!
ดวงตาเธอวูบไหวเล็กน้อยจากนั้นจึงได้เร่งความเร็วของรถขึ้นอย่างเงียบๆ
ขณะที่เฉินฝานซิงขับผ่านมาได้เหลือบไปเห็นเฉินเชียนโหรวที่กำลังขับซูเปอร์คาร์เฟอรารี่สีแดง
สัญชาตญาณบอกเธอว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง รู้ตัวอีกทีรถของเฉินเชียนโหรวก็ได้พุ่งเข้าไปยังริมทางที่มีหญิงชรากับแม่บ้านไหลหรงยืนอยู่!
หัวใจเธอเย็นวาบ!
กล้ามาก!
กลางวันแสกๆ แบบนี้ เฉินเชียนโหรวเธอคิดจะทำอะไรกันแน่!
เธอรีบบีบแตรอย่างเร็ว เสียงยาวแสบแก้วหูดังสนั่นทั่วจัตุรัส!
“เชียนโหรว! ระวังคน!”
ซูเหิงที่นั่งอยู่ตำแหน่งผู้โดยสารก้มลงหาเพลงอยู่ แต่เมื่อได้ยินเสียงแตรแสบแก้วหูดังขึ้นเขาก็ได้เงยหน้าขึ้นทันที จนเห็นว่าเฉินเชียนโหรวกำลังจะชนคน
เสียงหยุดรถดังขึ้นทันควัน เฟอร์รารี่สมรรถนะเยี่ยมจอดสนิทลงตรงหน้าของไหลหรงและหญิงชราภายในเสี้ยววินาที
ไหลหรงที่มักจะสงบนิ่งอยู่เสมอตกใจจนหน้าซีดเผือดนำตัวเข้ามาขวางหน้านายหญิงของเธอไว้ด้วยสัญชาตญาณ ความภักดีสามารถเห็นได้ในครั้งนี้
“พี่เหิง พี่ทำฉันตกใจหมดเลยเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ซูเหิงสีหน้าเคร่งขรึมกว่าปกติ “เมื่อกี้เธอเกือบจะชนคนอยู่แล้ว!”
“จะเป็นไปได้ไงฉันก็มีขอบเขตนะ!”
ซูเหิงชะโงกมองหญิงชราสองคนที่กำลังตกใจจนขวัญกระเจิงอยู่หน้ารถ
ไม่นานเขาก็เห็นเฉินฝานซิงลงมาจากรถ วิ่งมาหาทั้งสองคนด้วยใบหน้าขาวซีดแล้วทรุดตัวลงไปมองหญิงชราบนวีลแชร์ด้วยสีหน้าร้อนรน
“คุณย่าไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
แววตาของหญิงชราดุดันจนน่ากลัว แก่จนปูนนี้แล้วทำไมจะมองไม่ออกว่ารถคันนั้นมีเจตนาอะไร!
รถคันนั้นไม่ได้ต้องการจะมาเอาชีวิตเธอแค่ขู่ให้ตกใจเล่นมากกว่า
“ไม่เป็นไร ยังไงย่าก็อายุมากแล้วรับเรื่องตกใจไม่ค่อยจะไหว ไหลหรงไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะท่าน”
เมื่อแน่ใจว่าทั้งคู่ปลอดภัยแล้ว สีหน้าของเฉินฝานซิงก็ขุ่นมัวลงทันตา
เธอเด้งตัวขึ้นยืนแล้วมองไปยังซูเปอร์คาร์เฟอร์รารี่คันนั้นก่อนจะปรี่เข้าไป
ท่าทางที่เต็มไปด้วยความแข็งกร้าวและเดือดดาล ทำเอาพวกที่เกือบเกิดอุบัติเหตุเมื่อครู่และพวกจีนมุงหนาวกันไปเป็นแถบๆ
เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้น ปึ้งๆ ปึ้ง เสียงนั้นดังมากเสียจนกระจกรถแทบแตก
เฉินเชียนโหรวขบฟันก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถไป
“พี่คะ…”
เพี้ยะ! เสียงดังสนั่น!
เฉินเชียนโหรวที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกประเคนฝ่ามือลงบนใบหน้าไปฉาดใหญ่!
เพราะจับประตูรถเอาไว้แน่น ร่างของเฉินเชียนโหรวถึงได้ไม่ร่วงลงไปกับพื้น
แต่ฝ่ามือที่ฟาดลงมาอย่างไม่ออมแรงของเฉินฝานซิง ทำเอาเลือดสีสดไหลรินออกมาจากมุมปาก ใบหน้าบวมเป่งไปครึ่งหน้า!
เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเฉินฝานซิงที่ดูผอมบางเช่นนี้จะมีเรี่ยวแรงได้ขนาดนี้!
“แกคิดจะทำอะไร!”
เธอถามด้วยเสียงเยือกเย็นอย่างถึงที่สุด จ้องเฉินเชียนโหรวเขม็งราวกับจะใช้สายตานั้นทิ่มแทงเธอจนตาย!
“พี่คะ ฉันไม่รู้ว่าพี่กำลังพูดเรื่องอะไร…ฉันผิดอะไรเหรอ จู่ๆ พี่ถึงได้มาตบฉันแบบนี้?”
ตอนที่ 64 เพราะเธอมันรกหูรกตาไง
เฉินเชียนโหรวประคองใบหน้า ตาคู่นั่นเปลี่ยนเป็นสีแดงน้ำตาแห่งความเสียใจเอ่อล้นขึ้นมาจากกรอบตา
สุดท้ายแสงจากหยดน้ำก็สะท้อนกลับมาสองหยด น้ำตาร่วงหล่นจากกรอบตาออกมาได้อย่างพอดิบพอดี!
เล่นละครเก่งเสียจริงนะ!
“เธอไม่รู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงตบเธอ”
เธอก้มหน้าอันแสนเย็นชาลงแล้วพูดต่อ
“ได้ เชิญเธอแกล้งโง่ต่อไป! ฉันจะตอบเธอเอง ทำไมนะเหรอ ก็เพราะเธอมันรกหูรกตาไง!”
เฉินฝานซิงพูดจบก็ง้างมือเตรียมจะฟาดลงไปอีกครั้ง แต่สุดท้ายกลับโดนใครบางคนคว้ามือเอาไว้!
“ฝานซิง!”
ซูเหิงที่ไม่รู้ว่าเดินลงมาจากรถตั้งแต่ตอนไหน ได้เดินมาหยุดตรงหน้าแล้วคว้ามือของเฉินฝานซิงเอาไว้มองเธอด้วยสายตาวาวโรจน์ก่อนจะส่งเสียงเข้มออกมาจากลำคอ
“เมื่อกี้เชียนโหรวไม่ได้ตั้งใจ!”
เฉินฝานซิงมองเขาอย่างเยือกเย็นไร้ความรู้สึกใดๆ
“เธอไม่ได้ตั้งใจ?” สีหน้าเธอไร้อารมณ์ แววตาเย็นเยียบจนเสียดแทงไปถึงกระดูก
“อ๋อ สำหรับนายต่อให้วันนี้เธอเกิดชนคนตายขึ้นมาก็ถือว่าไม่ตั้งใจสินะ”
ซูเหิงขยับปากแต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากลำคอ
ความเย็นชาของเธอราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคอยบีบเบาๆ ที่หัวใจของเขากดให้บรรยากาศดูอึดอัด
รถโรลส์รอยซ์ โฮลดิงส์คันสีดำได้จอดลงข้างๆ กัน หลินเฟยเฟยลงมาจากรถ เหมือนจะเห็นว่าทางนี้เกิดเรื่องขึ้นแล้วจึงได้วิ่งมาหยุดที่เฉินเชียนโหรวเพื่อปกป้องเธอ!
“เฉินฝานซิงเธอจะจบไม่จบ ทำไมไม่ว่าหันไปทางไหนก็มีแต่เธอนะ ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ ทำไมเธอถึงได้น่ารำคาญแบบนี้…นี่ก็ยังไม่ได้ชนไม่ใช่เหรอ จะว่าไปต่อให้ชนไปแล้วยังไงล่ะ สองคนนั้นยังไงก็ไม่มีค่าเท่ากับกระจกมองหลังอันหนึ่งของรถคันนี้หรอก!”
เฉินฝานซิงกลอกตามองไปยังเฉินเชียนโหรวที่ก้มหน้าร้องห่มร้องไห้อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม สายตาที่มอบให้เธอกลับเต็มไปด้วยเงาแห่งความเกลียดชัง ไหนจะคำพูดที่ออกมาจากปากของหลินเฟยเฟยจนต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์!
“พี่คะ เมื่อกี้ฉันไม่ทันระวังเอง ทำให้ผู้ใหญ่สองท่านนี้ต้องตกใจ ฉันจะชดใช้ให้ก็ได้ สักสองแสนพอไหมคะเดี๋ยวฉันจะรีบให้…”
คิ้วงามขมวดเข้าหากัน น้ำแข็งได้ก่อตัวขึ้นจากส่วนลึกในดวงตา!
สายตากวาดมองไปยังรถที่จอดอยู่ด้านหลังเฉินเชียนโหรว
เฟอร์รารี่ GTC แปดล้านห้า!
ค่าชดใช้สองแสน ไม่เห็นจะสมกับที่หลินเฟยเฟย พูดว่ากระจกมองหลังแพงๆ อันหนึ่ง!
หลินเฟยเฟยพูดจาไม่เข้าหูอีกแล้ว ไร้สมองสิ้นดี
เธอแสดงสีหน้าที่ทั้งแสนดีและบอบบาง ระหว่างนั้นก็ทิ่มแทงคนให้เจ็บปวดรวดร้าว ถากถางคนด้วยสีหน้าเรียบเฉยและความคิดลึกซึ้ง
คิดๆ ดูแล้วไม่ใช่ว่าเธอถูกหลอกมาตลอดหรอกเหรอ
“สองแสน?!”
หลินเฟยเฟยหัวเราะเยาะ แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“นับว่าเข้าทางพวกเขาแล้วนะ เป็นครั้งแรกที่จะได้รู้สึกว่าเงินที่หาได้มาจากการหลอกลวงนั้นได้มาช่างง่ายดาย!”
“…เฟยเฟย อย่าพูดแบบนั้น”
ใบหน้าของเชียนโหรวยังคงเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ท่าทางน่าสงสารจับใจ
ริมฝีปากบางยกขึ้นอย่างถากถางพร้อมกับรอยยิ้มอันเยือกเย็น
มองคนเหล่านี้ที่เริ่มจะชาหนังศีรษะ [1]
ขณะที่เดาไม่ออกว่าเฉินฝานซิงคิดจะทำอะไรเพียงแต่เห็นเธอหันไปยังรถพาสสาท ซีซี ของตน เปิดกระจกรถหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออก
—
ณ ห้องประชุมสมาคมสกุลป๋อชั้นสิบแปด การประชุมในภาคบ่ายกำลังดำเนินต่อไป
ทุกๆ ฝ่ายกำลังทำการรายงานอย่างต่อเนื่อง ภายใต้บรรยากาศเคร่งเครียดดุดันราวกับอยู่ในขุมนรกเหมือนอย่างเคยเป็นมา
แม้ว่าอวี๋ซงจะอยู่ในสภาพที่ตาแดงบวมฉึ่งน้ำตาหยดติ๋งๆ ต่างกับเขาในลุคปกติที่มักจะเคร่งขรึมแข็งทื่อราวฟ้ากับเหว
แต่เมื่อมองไปยังชายหนุ่มรูปงามเจ้าของสีหน้าเรียบเฉยไม่แยแสคนนั้นเป็นอันดับแรก ใครก็ยิ้มไม่ออก
หัวหน้าฝ่ายยังคงยืนรายงานอยู่หน้าโปรเจคเตอร์ เหลือบมองสีหน้าของชายหนุ่มเป็นครั้งคราว คิ้วโก่งดังภูเขา นัยน์ตาสีนิลเงียบสงบ ยากแก่การคาดเดา
การประชุมไม่ได้เคร่งเครียดตลอดเวลา แต่อวี๋ซงที่ยืนอยู่อีกด้าน กลับรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง
ครืด ครืด เสียงนั้นได้ยินชัดเจนเมื่ออยู่ในห้องประชุมอันเงียบสงบ…
——
[1] ชาหนังศีรษะ หมายถึง กลัวหรือเคร่งเครียดจนทำตัวไม่ถูก