ตอนที่ 139 คุณหนูเฉินฝานซิงดื่มหนักแล้ว (3)
เธอส่ายหน้า “ไม่ เขาบอกว่าอยากให้ฉันรอ”
อวี๋ซงเริ่มคิดหนัก ก็เพราะอากาศข้างนอกมันหนาวเหน็บเสียขนาดนี้ ป่วยครั้งก่อนยังไม่ทันจะหาย หากป่วยหนักว่าเดิม เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะรายงานกับผู้เป็นเจ้านายว่ายังไง
มือของเธอกุมอยู่ที่หน้าผาก ดูเหมือนว่าเธอจะถูกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เล่นงานเข้าเสียแล้ว ตอนที่เธอมองตรงไปข้างหน้าก็รู้สึกมึนศีรษะราวกับว่าโลกกำลังหมุน
“หรือคุณหนูจะขึ้นไปรอบนรถ?” อวี๋ซงเสนอขึ้นอีก
เฉินฝานซิงยังคงส่ายหน้า
“เอาเถอะ ฉันจะขึ้นไปหาเขาละ”
หนังศีรษะของเขาเริ่มชาขึ้นมาบ้างแล้ว!
ตอนนี้คุณผู้ชายคงกำลังพบปะผู้คนอยู่ ซึ่งแต่ละคนก็เป็นคนสำคัญทั้งนั้น ดูก็รู้ว่าเธอดื่มหนักขนาดนี้ หากเธอขึ้นไปจะไม่วุ่นวายแย่เหรอ
แต่ตอนนี้เฉินฝานซิงไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เธอรู้แค่ว่าตอนนี้เธอรอมานานมากแล้ว แต่เขาคนนั้นก็ไม่มาสักที
เธอไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน
เธอว่าพลางเกาะขอบปูนของแปลงดอกไม้เอาไว้แล้วลุกพรวดขึ้นมา หลังจากที่โงนเงนไปสองสามรอบเธอก็ค่อยๆ ตั้งหลักได้ อวี๋ซงอยากเข้าไปช่วยพยุงแขนให้เธอยืนนิ่งอยู่กับที่
“ไม่เป็นไร ฉันโอเค ขอบใจมาก!”
เฉินฝานซิงรับรู้ได้ถึงความพยายามของอวี๋ซง รอยยิ้มจึงผุดขึ้นบนใบหน้าสีแดงระเรื่อ
ราวกับใบหน้าที่เย็นชาและห่างเหินอยู่เสมอนั้นจะโดนแอลกอฮอล์กัดกร่อนจนอ่อนลง สลัดทิ้งภาพลักษณ์จนหมดสิ้น ยิ้มได้อย่างจริงใจและ…
แค่คิดถึงคำนั้นเขาก็ยังไม่กล้า ไม่ทันได้แตะเนื้อต้องตัวของเธอ เขาก็ต้องรีบดึงมือตัวเองกลับมาราวกับโดนมันเผาลวกมืออย่างไรอย่างงั้น
ลูกกระเดือกเคลื่อนขึ้นลงสองครั้ง เขาฝืนกลืนน้ำลายหนืดลงคอไปอย่างยากลำบาก
เขาลนลานอย่างเสียการควบคุม เธอก้าวเดินไปยังโรงแรมอย่างเนิบนาบ
“คุณหนูเฉิน…”
อวี๋ซงรีบสาวเท้าตามเธอไปอย่างรีบร้อน
ช่าง…
เขาคอยติดตามคุณผู้ชายมาก็หลายปี แต่รู้สึกว่าพักนี้งานมันจะสูบพลังหนักขึ้นทุกวัน
ให้เขาดูแลผู้หญิงที่เมาแอ๋ แต่ห้ามแตะห้ามต้อง ห้ามคิดไม่ซื่อ เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าควรทำยังไงดี!
ก็เหมือนกับตอนนี้ ที่ได้แต่มองหญิงสาวตรงหน้าเฉยๆ ภายในใจก็ต้องคอยภาวนาเป็นหมื่นเป็นพันครั้งว่าต้องระวังๆ อย่างเผลอไปโดน อย่าเผลอไปแตะต้อง…
แต่ดูเหมือนจะยิ่งกลัวสิ่งใดก็ยิ่งได้สิ่งนั้น!
ลานจอดรถด้านหน้ามีที่กั้นรถอยู่หนึ่งอัน เฉินฝานซิงไม่ทันได้ระวังส้นรองเท้าแหลมดันไปเหยียบมันเข้า ร่างทั้งร่างนั้นซวนเซไปด้านหลัง
รอบกายไม่มีอะไรสักอย่าง เธอไม่มีแม้แต่สิ่งใดให้เอาไว้ยึดเกาะ
อวี๋ซงรีบจะเข้าไปพยุงด้วยความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ก้าวฉับๆ เข้ามา ฝ่าเท้าเขาหยุดชะงักอยู่กับที่ ก่อนที่เขาจะแอบทอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เรื่องเลวร้ายอย่างที่คิดไว้กลับไม่ได้เกิดขึ้นจริง
สายลมค่อยๆ พัดผ่านเข้ามาจากด้านหลัง พร้อมกับความรู้สึกรุนแรงบางอย่างที่ไม่อาจละเลยได้ กับอ้อมกอดที่คาดไม่ถึงว่าเป็นของใคร
…
ใจของเธอเย็นวาบ อยากจะเด้งตัวขึ้นตามสัญชาตญาณแต่กลับถูกใครบางคนโอบรัดเอาไว้
“อยู่เฉยๆ”
หน้าอกกว้างและแข็งแกร่ง เสียงชีพจรและหัวใจที่เต้นอย่างหนักหน่วงพร้อมทั้งกลิ่นหอมสดชื่นที่แสนคุ้นเคยทำให้เธอค่อยๆ หยุดดิ้นลงในทันที
“ป๋อจิ่งชวน”
“อืม ผมเอง” เขาตอบเธอด้วยเสียงเนิบนาบและแหบแห้งที่ออกมาจากลำคอ น้ำเสียงแม้จะราบเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความดีใจ
เธอไม่แม้แต่จะหันมามองด้วยซ้ำ แต่กลับรู้ว่าเป็นเขา?
ไม่เลวนี่
เธอผ่อนลมหายใจออกก่อนจะหมุนตัวออกมาจากอ้อมแขน อันที่จริงรองเท้าคริสตัลที่สวมอยู่ดูจะไม่เหมาะกับคนเมาเท่าไหร่นัก
แค่หมุนอยู่กับที่เธอก็แทบจะล้มลงไปอีกครั้ง
เขากางแขนโอบเอวเธอเข้ามา เธอเองก็ยื่นมือออกไปยึดไหล่เขาโดยอัตโนมัติ
ตอนที่ 140 ทำไมต้องมาจูบกันต่อหน้าต่อตาคนอื่นเขาด้วยเนี่ย!
ร่างของป๋อจิ่งชวนโถมลงไปหาเธอตามแรงกระชาก
ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
ดวงตาฉ่ำปรือเพราะพิษเหล้า รู้สึกพร่าเลือน เธอกะพริบตาขึ้นลงช้าๆ
“คุณหายยุ่งแล้วเหรอ”
“…อืม”
“งั้นก็ดีเลย ฉัน…รอคุณตั้งนาน…แถมตรงนี้ยังหนาวอีก…”
นัยน์ตาของเขาวูบลง มือที่รั้งเอวของเธอเอาไว้อยู่กระชับแน่นขึ้น
“ทำไมไม่ไปรอผมบนรถ”
“อึดอัด…หายใจไม่ออก…”
“ขึ้นรถตอนนี้?”
เธอคลี่ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ค่ะ”
เธอว่าพลางขยับตัว แต่กลับพบว่าเขากลับไม่ยอมปล่อยเธอ
เธอเหลือบสายตามองเขา
ก่อนจะเอ่ยเร่ง “ขึ้นรถ”
“อืม”
เขากดเสียงต่ำแล้วโน้มหน้าลง
เธอชะงักไป ฝ่ามือที่กำอยู่ตรงไหล่ของเขากำแน่นขึ้นแต่ก็ไม่ได้ผลักเขาออก
อวี๋ซงที่ยืนมองอยู่ถึงกับต้องเบิกตาโพลงพร้อมกับหันหน้าหนี
ทำไมถึงไร้ยางอายได้ขนาดนี้!
เขาไม่ใช่คนรึไง
นี่จะจูบกันต่อหน้าคนอื่นจริงๆ?!
“ให้ตายเถอะ! นี่มันอะไรกันครับเนี่ย!”
เสียงสุดประหลาดใจสไตล์ลูกคุณหนูอันแสนคุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
อินรุ่ยเจวี๋ยสงสัยมาตั้งนานแล้วว่าเมื่อกี้ตอนที่อยู่ในงานพี่ป๋อของเขาจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
เขาไม่เคยเห็นป๋อจิ่งชวนในสภาพนี้มาก่อน
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือจู่ๆ ป๋อจิ่งชวนก็ขอออกมากลางคัน
เขาเป็นพระเอกของคืนนี้ โอกาสสำคัญแบบนี้ เขาคิดจะไปก็เดินออกไปอย่างหน้าตาเฉย
ในเมื่องานเลี้ยงขาดตัวละครหลัก พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อ ทุกคนพากันเดินออกมากะจะกลับไปพร้อมกันแต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอกับภาพนี้
ป๋อจิ่งชวนได้ยินเสียงอินรุ่ยเจวี๋ย คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากัน
แก้มของเฉินฝานซิงแดงระเรื่อ ดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มเพราะฤทธิ์เหล้าหรี่ลงเล็กน้อย เธอหันหน้าไปมองด้วยความสงสัย
ท่าทีบอบบางอย่างผู้หญิงเช่นนั้นเขาเองก็เพิ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก
จะยอมให้คนอื่นเห็นเธอในสภาพแบบนี้ได้ไง!
อินรุ่ยเจวี๋ยมองหญิงสาวในอ้อมกอดของป๋อจิ่งชวนที่โผล่ขึ้นมาเพียงครึ่งศีรษะ เขาอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงเพื่อหวังจะมองหญิงสาวให้เต็มสองตา
แต่สุดท้ายลำคอที่ยื่นออกมาพร้อมทั้งเส้นผมฟูฟ่องที่เผยให้เห็นแค่ครึ่งเดียวกลับถูกชายหนุ่มรวบเข้ามาในอ้อมกอด
“เอ๋?” เขาฉงนไปก่อนจะก้าวไปข้างหน้า!
แต่ป๋อจิ่งชวนกลับรีบโน้มตัวลงอุ้มอีกคนขึ้นมาในท่าเจ้าสาวแล้วก้าวยาวๆ ไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล
อวี๋ซงรีบเดินไปเปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว
เฉินฝานซิงโอบรอบคอเขาเอาไว้แน่น ทั้งร่างขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา ศีรษะเองก็ถูกเขากดเอาไว้จนไม่อาจเคลื่อนไหว
“นี่ นี่ พี่ป๋ออย่าเพิ่งไปสิ…”
ป๋อจิ่งชวนอุ้มเฉินฝานซิงแล้วโน้มตัวขึ้นไปนั่งบนรถ
อวี๋ซงยืนทอดถอนหายใจอยู่อีกด้านกับท่าทางการอุ้มหญิงสาวของเขาที่ทั้งดูเผด็จการและกระฉับกระเฉง
ป๋อจิ่งชวนออกคำสั่งเสียงแข็ง
“ออกรถ”
อวี๋ซงรีบรับคำรีบร้อนและเมื่อเขาเห็นคุณชายอินที่กำลังปรี่เข้ามาพอดี เขาก็รีบวิ่งไปขึ้นรถแล้วจัดการล็อกประตูให้เสร็จสรรพ ก่อนจะเหยียบคันเร่งเผ่นหนีออกไป
“เวรเอ๊ย! อีกนิดเดียวจะได้เห็นอยู่แล้ว”
อินรุ่ยเจวี๋ยรีบกระโดดไปยืนอยู่ข้างรถ หลังจากที่รถคันนั้นหายลับตาไปแล้ว หลงเหลือไว้เพียงความประหลาดใจและความรู้สึกเสียดาย
เหลียงซวี่เอ๋อร์ที่ควงแขนลี่ถิงเซินอยู่บนขั้นบันไดแย้มยิ้มขึ้นชนิดที่ดอกไม้ยังต้องสั่นไหว “เป็นไงบ้างคะคุณชายอิน ได้เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นรึเปล่า”
เขากัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจ
“ไม่รีบหรอก สักวันก็ต้องได้รู้อยู่ดี!”
แค่เสียดายที่เมื่อกี้พลาดไป เสียดายนิดหน่อยก็เท่านั้น
ไม่นานอินรุ่ยเจวี๋ย ก็ลูบคางไปมาอย่างครุ่นคิด “ที่แท้พี่ป๋อก็เป็นผู้ชายธรรมดานี่ล่ะน้า”