ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย – ตอนที่ 157 ฉันเลี้ยงน้ำชา (1) / ตอนที่ 158 ฉันเลี้ยงน้ำชา (2)

ตอนที่ 157 ฉันเลี้ยงน้ำชา (1) / ตอนที่ 158 ฉันเลี้ยงน้ำชา (2)

ตอนที่ 157 ฉันเลี้ยงน้ำชา (1)

สีหน้าของเฉินฝานซิงดูเคร่งขรึมขึ้นทันตา

“บริษัทที่พวกเธอดูแลอยู่ ไม่ได้เข้าตาฉันแม้แต่น้อย แต่ก็เอาเถอะ รีบๆ ไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว!”

ในใจของเฉินเชียนโหรวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ทำได้เพียงแค่แอบกัดฟัน

“พี่คะ ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็ยังหวังว่าวันนั้นพี่จะมาได้นะคะ ไหนบอกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน…”

“วันนี้เธอแบกหน้ามาที่นี่เพื่อยั่วโมโหกันใช่ไหม”

แก๊ก เฉินฝานซิงโยนตะเกียบที่ในมือลงบนโต๊ะ ดึงดูดสายตาหลายคู่ให้มาให้ความสนใจ

เฉินเชียนโหรวตัวสั่นเล็กน้อยก่อนจะโผเขาไปหลบในอ้อมกอดของซูเหิง

ซูเหิงเองก็รีบก้าวออกมายืนบังเธอแล้วดันเธอไปยืนข้างหลังอย่างหวงแหน

เขาไม่มีแม้แต่คำพูดอะไร แต่ในแววตาของเขากลับทำให้เฉินฝานซิงเกลียดจนเข้าไส้

แววตาของเฉินเชียนโหรวราวกับเจ้าหญิงสโนไวท์ผู้ไร้เดียงสา สายตาที่มองมานั้นราวกับว่าเธอคือแม่มดผู้ชั่วร้าย

ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกชื่นชมสายตาหวาดระแวงนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร!

“เชียนโหรว เราไปกันเถอะ”

ซูเหิงรู้ดีว่าตอนนี้เฉินฝานซิงยังเคืองพวกเขาไม่หาย ต่อให้อยู่ตรงนี้ต่อไปพวกเขาก็คงไม่ได้รับการให้อภัยจากเธอ ทั้งยังกลายเป็นความลำบากใจเพิ่มขึ้นไปอีก

เฉินเชียนโหรวกัดริมฝีปากไปมา พลางมองดูชุดที่เฉินฝานซิงใส่มาในวันนี้ สวย หรูหรา แต่กลับมองไม่ออกว่าเป็นเบรนด์อะไร ระหว่างที่ซูเหิงกำลังเลื่อนสายตาไปมองทางอื่น เธอก็ยกถ้วยชาบนโต๊ะของเฉินฝานซิงขึ้นมาอย่างมีแผนในใจ

แต่จู่ๆ มือข้างหนึ่งก็ได้เอื้อมมาคว้าถ้วยชานั้นไปจากมือ และดูเหมือนว่าข้อมือของเธอจะถูกเฉินฝานซิงคว้าเอาไว้ในขณะเดียวกัน

จู่ๆ ซูเหิงก็รู้สึกถึงความร้อนชื้นจากของเหลวที่ลวกลงบนขาของเขา เมื่อก้มลงไปมองกลับเห็นว่าสวี่ชิงจือเป็นคนถือแก้วที่ว่างเปล่าอยู่ในมือ เธอกัดริมฝีปากพลางมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ “อุ๊ย! ขอโทษจริงๆ นะ คือฉันไม่ได้ตั้งใจน่ะ”

“เธอ…”

ซูเหิงขมวดคิ้วสงสัย ท่าทีเช่นนั้นของสวี่ชิงจือ ดูเอาก็รู้ว่าตั้งใจ

สีหน้าของสวี่ชิงจือแปลเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที พร้อมทั้งเปลี่ยนไปยืนอีกด้านหนึ่ง “ทำไม นายไม่เชื่อเหรอ” สวี่ชิงจือหันไปยิ้มเยาะกับเฉินฝานซิง “พิลึกดีแฮะ ฉันว่าฉันก็แสดงได้พอๆ กับเฉินเชียนโหรวแล้วนะ ทำไมผลลัพธ์ถึงต่างกันราวฟ้ากับเหวล่ะ”

เฉินฝานซิงยกยิ้มเย็นไม่พูดจา เพียงแค่เพิ่มแรงบีบไปยังข้อมือของเฉินเชียนโหรวมากขึ้น

เฉินเชียนโหรวหน้าซีดเผือด รู้สึกเพียงว่าข้อมือของเธอกำลังจะถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือของเฉินฝานซิง

“เจ็บนะ…” ยิ่งเธอขยับมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งขยับเฉินฝานซิงก็ยิ่งบีบมันแน่นขึ้น สุดท้ายเธอก็ทนไม่ไหวจนต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

ซูเหิงที่หันมามองตามเสียง เมื่อเห็นภาพนั้น หัวคิ้วของเขาก็ตีขมวดขึ้นทันที “ฝานซิง เธอทำอะไรน่ะ!”

สายตาของเฉินฝานซิงเต็มไปด้วยแววถากถาง ในที่สุดเธอก็ถอนสายตากลับมา พร้อมทั้งเทน้ำชาจากถ้วยหนึ่งไปอีกถ้วยหนึ่ง

“ไม่รู้ว่าจู่ๆ เธอจะยื่นมือมาเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่ หิวน้ำก็บอกสิ ในร้านอาหารนี่คงไม่ถึงกับปล่อยให้เธออดน้ำหรอกนะ”

เขาหันไปมองเฉินเชียนโหรวด้วยสายตาเคร่งขรึม

หัวใจของเฉินเชียนโหรวกระตุกวูบ “ฉัน…ฉันหิวน้ำ ฉัน…”

“บอกตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง” พูดจบเฉินเชียนโหรวก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วยืดตัวขึ้น พร้อมกับจ้องเธอด้วยสายตาที่คมดุจใบมีด

“ฝานซิง!” ซูเหิงร้องเรียกชื่อเธอ

เขาเคยเห็นเธอสาดน้ำใส่เชียนโหรวมาแล้วสองครั้ง ครั้งนี้เธอคิดจะทำแบบนั้นอีกเหรอ

“ฉันเลี้ยงน้ำชาเธอละกัน”

เฉินฝานซิงไม่สนซูเหิงแม้แต่น้อย เธอยกแขนที่ถือแก้วชาขึ้นส่งไปจ่อที่ปากของเฉินเชียนโหรว…

ตอนที่ 158 ฉันเลี้ยงน้ำชา (2)

น้ำชาร้อนจัด แต่เฉินฝานซิงกลับบีบคางของเฉินเชียนโหรว และจับมันกรอกลงไปในปากของเฉินเชียนโหรวอย่างไม่ลังเล

“อื้อ…

ริมฝีปากบอบบางโดนลวกด้วยชาร้อนๆ จนแสบ ถึงแม้เชียนโหรวจะปฏิเสธอย่างไร แต่ปากที่ถูกอ้าออกมานั้นก็ทำให้ชาร้อนไหลเข้าไปในปากอยู่ดี

หลังจากที่ลิ้นถูกลวกจนปวดแสบปวดร้อนก็ชาจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรอีกเลย

ชาหนึ่งแก้วถูกเทจนไม่เหลือสักหยด

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก

กว่าที่ซูเหิงจะได้สติกลับมาก็เป็นตอนที่เฉินฝานซิงวางแก้วลงบนโต๊ะไปเรียบร้อยแล้ว

แม้มันจะดูเป็นการกระทำที่ดูหยาบช้า แต่เจ้าตัวกลับคิดไปว่าการกระทำนั้นช่างน่ายกย่อง พวกเธอยืนพิงหน้าต่างและได้มองภาพตรงหน้า ราวกับว่ามันเป็นแค่การป้อนน้ำให้กับเพื่อนที่สนิทกันมากก็เท่านั้นเอง

จากนั้นเธอก็หันหน้ามาพร้อมรอยยิ้มราบเรียบ “จะดื่มอีกไหม”

เธอยกกาน้ำชาขึ้น วางลงบนขอบโต๊ะ “น้ำชายังมีอีกเยอะเลย ถ้ายังไม่พออีกเดี๋ยวฉันเรียกพนักงานให้มาเติมให้”

ริมฝีปากและรอบปากของเฉินเชียนโหรวถูกชาลวกจนแดงก่ำ น่าเวทนาจนทนดูไม่ได้ เธอเอามือปิดปากแน่น ดวงตาคู่งามจ้องเขม็งไปที่เฉินฝานซิงอย่างแค้นเคืองจนแทบอยากจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ

เฉินฝานซิง กล้าดีอย่างไรถึงได้ทำแบบนี้กับเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เธอแคร์สายตาของเฉินเชียนโหรวอยู่แล้ว เฉินฝานซิงมองน้องสาวที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก่อนจะเอียงคอถามออกไปว่า “ว่าไง ยังอยากจะดื่มอีกไหม”

ซูเหิงรีบคว้าเฉินเชียนโหรวไว้ในอ้อมกอด เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยในตอนนี้มองมายังเธอด้วยสายตาเยือกเย็น

“ฝานซิง มันจะมากไปแล้วนะ!”

เธอหัวเราะเยาะในลำคอ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างไม่ยี่หระ เธอเปลี่ยนแก้วน้ำสะอาดใบใหม่มารินน้ำชาแล้วยกขึ้นจิบ มองดูทิวทัศน์สวยงามนอกหน้าต่างโดยไม่สนใจไยดีพวกเขาแม้แต่น้อย

“เชียนโหรว ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาลนะ เด็กดี…ไม่เป็นไรแล้วนะ”

น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นต่างกันกับสายตาที่ส่งมาให้เฉินฝานซิงไปเมื่อครู่ลิบลับ

เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญเบาๆ ของเฉินเชียนโหรววนเวียนอยู่ในหูของซูเหิง ยิ่งสร้างความรู้สึกปวดใจขึ้นเป็นเท่าทวี

แต่ก็น่าเสียดายที่ในตอนนี้เฉินเชียนโหรวเปิดเผยตัวตนไม่ได้ นับประสาอะไรที่จะพุ่งเข้าไปฉีกหน้าเฉินฝานซิงต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้

ดูเหมือนว่าตอนนี้เฉินฝานซิงจะไม่แยแสต่อสิ่งใด แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่เลย…

ภายในรถ เสียงกระซิกของเฉินเชียนโหรวก็ยิ่งดังขึ้น

“พี่เหิง มันเจ็บจังเลย…ทำไม…ทำไมคะ ทำไมพี่ถึงเปลี่ยนได้ขนาดนี้ เมื่อก่อนพี่เขาไม่ได้เป็นแบบนี้เลย…”

ซูเหิงเม้มปากแน่นไม่เอ่ยอะไร

เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเฉินฝานซิงเปลี่ยนไปจริงๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น มากไปกว่านั้นเธอมักจะเฉยเมยไม่สนอะไรมาตลอด ถึงแม้บางครั้งเธอจะรังแกเฉินเชียนโหรว แต่ก็รู้วิธีที่จะปกปิดไม่ให้ใครได้ล่วงรู้ แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเธอทำแบบนั้นโดยไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป

“ไว้ฉันจะหาโอกาสไปคุยให้ ฉันจะไม่ยอมให้ฝานซิงมารังแกเธออีกแน่!”

งานที่ทำทำเอาหัวหมุนมาตลอดทั้งบ่าย ในที่สุดก็ใกล้จะเสร็จ เฉินฝานซิงลองคำนวณเวลาคร่าวๆ เอาไว้ เดาว่าหลังจากที่เธอเลิกงานกลับบ้าน กินข้าวเย็น อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ป๋อจิ่งชวนก็น่าจะลงจากเครื่องแล้ว แค่นึกถึงเขาที่ต้องไปอยู่ที่ออสเตรเลียหนึ่งอาทิตย์แล้ว เธอก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ให้ได้อย่างนี้ซี่ เพิ่งจะคบกันได้แค่วันแรก เขาก็ต้องห่างไปไกลแล้ว

หลังจากที่เธอกลับมาเก็บกวาดข้าวของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอก็ลองโทรไปหาป๋อจิ่งชวน แต่ก็ดูเหมือนว่าเขายังปิดเครื่องอยู่

เธอซุกตัวลงบนโซฟาแล้วเปิดทีวี เลื่อนไปดูรายการบันเทิง

บริษัทพีอาร์ของเฉินฝานซิงเองก็มีดาราอยู่ไม่น้อย ตอนนี้จือชิ่นเองก็กำลังจะหาพรีเซนเตอร์ ถึงแม้ว่าจะเลือกฉู่อี้ไปแล้ว แต่ทางฉู่อี้เองก็ยังไม่ได้ตอบรับพวกเธอ ถึงอย่างไรก็คงต้องมีแผนสำรองไว้ให้เยอะๆ

เธอกําลังตามหาดาราที่โด่งดังที่สุดในตอนนี้ แต่สุดท้ายนอกจากจะยังหาดาราที่เป็นกระแสมากที่สุดยังไม่ได้แล้ว ยังจะต้องมาเห็นใบหน้าที่ชวนให้ปวดขมับของเฉินเชียนโหรวอีก…

แว่วๆ มาว่าเมื่อเร็วๆ นี้ได้รับโปรเจคหนังใหญ่ฟอร์มยักษ์…

ไม่นานมานี้ได้เซ็นสัญญากับสกุลซู…

ล่าสุดเธอได้รับงานเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์เครื่องประดับแบรนด์หนึ่งที่อยู่ในการควบคุมของสกุลป๋อ…

ดูเหมือนช่วงนี้เฉินเชียนโหรวกำลังไปได้สวยเลยนี่!

ขณะที่คิ้วคู่นั้นเพิ่งขมวดเข้าชนกัน อยู่ๆ โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะชาก็ดังขึ้น

เธอรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อเห็นชื่อของเจ้าของสายที่โทรเข้ามา ดวงตาของเธอจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

Status: Ongoing

หลังจากแม่ของเธอจากไป เฉินฝานซิง ก็ถูกพ่อและย่าแท้ๆ ของตัวเองขับไสไล่ส่งไปตายเอาดาบหน้าในประเทศต่างแดนอันแสนทุรกันดาร ทว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงเคี้ยวง่ายอย่างที่คิด ด้วยสมองและสองมือ ในที่สุดเฉินฝานซิงก็หนีกลับมาจากนรกขุมนั้นได้

เธอตัดสินใจแยกตัวออกมาจากครอบครัวสารพัดพิษและใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง คอยทุ่มเทพัฒนาบริษัทของคู่หมั้นที่เกือบจะต้องปิดตัวลงและบริษัทเล็กๆ ที่แม่ของเธอทิ้งไว้ กระนั้นความสัมพันธ์รักแปดปีกลับได้มาแค่ความเชื่อใจที่แสนเปราะบาง เพราะคู่หมั้นกลับไปหลงเชื่อคำโกหกของน้องสาวต่างแม่ที่ชอบตีสองหน้าของเธอเสียได้

ในขณะที่แผลใจจากคนรักเก่ายังไม่ทันหายดี ศรัทธาที่มีในชีวิตคู่ก็เริ่มถดถอย เธอเลือกหันหลังให้กับความรักโดยการขดตัวเป็นตัวเม่นและใช้หนามแหลมๆ นั้นปฏิเสธทุกคนที่เข้าหา ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง ป๋อจิ่งชวน ผู้ชายจอมเผด็จการคนนั้นก็ก้าวเข้ามาพร้อมหยิบยื่นความรักครั้งใหม่ให้กับเธอโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ปฏิเสธมันเลยสักนิด!

“การตัดสินใจจีบคุณคือเรื่องของผม สุดท้ายแล้วคุณจะปฏิเสธหรือไม่นั่นก็เรื่องของคุณ แต่ผมจะปฏิเสธคำปฏิเสธของคุณ!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท