ตอนที่ 219 จีเฟิ่งเหมียน
“แต่ว่า หลังจากที่ข่าวฉู่อี้รับงานพรีเซ็นเตอร์ออกมา ก็กลบข่าวก่อนหน้านี้ไปเลยนะคะ”
หยางลี่เวยตัดพ้อด้วยความไม่พอใจ เธออยากจะให้เฉินฝานซิงจมกองน้ำลายของคนพวกนั้นตายๆ ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เจียงหรงหรงชำเลืองตามองเธออย่างไร้อารมณ์ “ข่าวเกี่ยวกับเรื่องครั้งนี้ของเธอยังคงอยู่ คอมเมนท์โจมตีก็แรงใช่เล่น ดีไม่ดีอาจจะแรงกว่าครั้งที่แล้วด้วยซ้ำ ตอนนี้ก็กำลังค่อยๆ ขุ่นคาวขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนคงไม่มีใครช่วยเธอกลบข่าวได้อีกแล้ว”
เฉินเชียนโหรวที่ได้ยินดังนั้น หลังจากที่ถมึงทึงมาทั้งคืน ในที่สุดก็สดใสขึ้นมาได้บ้าง
ดูเหมือนว่า ผู้ชายลึกลับคนนั้นจะทิ้งเฉินฝานซิงไปแล้วจริงๆ!
แต่ว่า…
เฉินเชียนโหรวครุ่นคิดพลางเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน
“แต่ว่าคุณย่าคะ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ ทำท่าวางอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนั้น น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตใช่ไหมคะ”
ถ้ารู้ว่าเขาเป็นใครแล้วหาทางเข้าใกล้เขาได้ล่ะก็…
หยางลี่เวยเบ้ปาก คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงครบรอบแล้วก็ทำให้เธอโกรธจนท้องไส้ปั่นป่วน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
“คนใหญ่คนโตที่ไหนจะป่าเถื่อนเหมือนพวกเขาล่ะ แถมออกไปแล้วยังไม่ทิ้งร่องรอยเบาะแสอะไรไว้เลย ทำเป็นทำตัวลึกลับ ถ้าไม่ใช่พวกที่ตีเนียนปะปนเข้ามา ก็คงจะเป็นพวกที่ชอบทำอะไรเกินตัวจนตัวเองเดือดร้อน หรือไม่ก็คงจะเป็นพวกดีแต่ปาก แต่เอาเข้าจริงก็ทำอะไรไม่ได้”
เจียงหรงหรงคิ้วขมวดท่าทางใช้ความคิด คืนวันนั้นไม่ได้เห็นหน้าท่าตาของผู้ชายคนนั้นเลย แต่คิดๆ ดูแล้ว พฤติกรรมของที่พวกเขาทำวันนั้นก็จริงอย่างที่หยางลี่เวยว่าไม่มีผิด
แต่ถ้าเป็นคนมีอำนาจมีความสามารถจริงๆ หากให้คนไปสืบค้นข้อมูลของเฉินฝานซิงก็คงจะรู้เรื่องราวที่ผ่านมาของเธอพวกไปแล้ว แต่นี่เพิ่งจะมารู้หลังจากที่เป็นกระแสดังในอินเตอร์เน็ต
เห็นที คนคนนี้ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้แน่จริงเท่าไหร่
ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่ของหยางลี่เวยฟังดูมีเหตุผลมากขึ้นไปอีก จนเธอพยักหน้าคล้อยตามโดยไม่รู้ตัว
ส่วนเฉินเชียนโหรวก็ยิ่งรู้สึกสบายใจขึ้นไปกว่าเดิม
เธอหยิบแก้วนมที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาดื่ม ทันใดนั้นเองก็รู้สึกปวดแสบที่บริเวณปาก
ตอนนั้นสีหน้าของเธอเหยเกเพราะความเจ็บปวดในทันที
เพล้ง แก้วที่ถืออยู่ในมือร่วงลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
ทุกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะต่างก็หันไปมองยังเฉินเชียนโหรวเป็นตาเดียวกัน
“เชียนโหรว ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
มือทั้งคู่ของเฉินเชียนโหรวจับขอบโต๊ะไว้แน่นเพื่อรอให้ความเจ็บปวดในปากค่อยๆ ทุเลาลงไปอย่างเงียบๆ จึงไม่ได้ตอบรับความห่วงใยของหยางลี่เวยกลับไปในตอนนั้นทันที
หยางลี่เวยที่ไม่ได้รับการตอบรับของเฉินเชียนโหรว ด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจ เธอจึงตะโกนออกมาด้วยอารมณ์โมโห
“วันนี้ใครเป็นคนเตรียมนม”
ขณะนั้นเอง สาวใช้อายุราวๆ สี่สิบกว่าหนึ่งคนก็วิ่งอกมาด้วยความรีบร้อน เมื่อเห็นที่พื้นกระจัดกระจายไปด้วยเศษแก้วและนม เธอก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
“คุณผู้หญิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ”
หยางลี่เวยไม่พูดไม่จา รีบลุกขึ้นมาแล้วเดินไปยังสาวใช้คนนั้นพลันฟาดฝ่ามือลงไปบนหน้าเธออย่างแรงหนึ่งที
“แกคิดจะทำอะไร แกจะฆ่าเชียนโหรวให้ตายหรือยังไง”
สาวใช้ที่เพิ่งโดนตบหน้ากุมแก้มตัวเองเอาไว้พลางเงยหน้าขึ้นมาจ้องหยางลี่เวยเขม็ง น้ำเสียงดุดันแสดงถึงความไม่ยอมโอนอ่อนให้ ทั้งยังแฝงด้วยความเย็นชาและแข็งกร้าว
“คุณผู้หญิง คุณอย่ามาใส่ร้ายป้ายสีกันสิคะ นมนี้ก็เป็นนมที่จัดส่งมาโดยเฉพาะเหมือนที่ผ่านมา ดิฉันแค่รับผิดชอบอุ่นให้ร้อน ทำแบบนี้เหมือนกันทุกเช้า ดิฉันทำงานอยู่บ้านสกุลเฉินมายี่สิบกว่าปี ไม่ได้มีความแค้นหรือบาดหมางอะไรกับพวกคุณ ทำไมดิฉันจะต้องไปทำร้ายพวกคุณด้วย”
ในเมื่ออยู่มาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงคนใช้ แต่เธอก็มีศักดิ์ศรี
“ไม่ได้มีความแค้นบาดหมางกับพวกฉันงั้นเหรอ อย่าคิดนะ ว่าฉันจะไม่รู้ว่าคุณผู้หญิงสกุลเฉินที่แกยอมรับแต่ไหนแต่ไรมาก็มีแค่จีเฟิ่งเหมียนคนนั้น…”
“เงียบปาก!”
หยางลี่เวยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเอ่ยชื่อผู้หญิงที่ทำให้ตัวเองตกเป็นมือที่สามคนั้น เธออดที่จะกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้นไม่ได้
ทว่าเพิ่งจะพูดชื่อนี้ออกไปก็กลับถูกเจียงหรงหรงตวาดใส่ทันที
ตอนที่ 220 ไม่งั้นทำไม
เธอตกใจจนรีบหดคอกลับทันที ในตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่า ผู้หญิงคนนั้น จนถึงตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับสัญญาณฉุกเฉินของที่นี่เสมอมา
ปึ้ง เสียงดังสนั่นลอยมาจากด้านหลัง
หยางลี่เวยหันลับไปก็เห็นเจียงหรงหรงกระแทกแก้วนมลงบนโต๊ะอย่างรุนแรงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นมนี่ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาอย่างนั้นเหรอ เธอเลิกทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้กลายเป็นเรื่องใหญ่สักที”
“แม่คะ ปัญหามันอยู่ที่ตัวหนูเองค่ะ หนูลืมไปว่าในปากมีแผล เจ้ามาขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณเดือดร้อน”
เฉินเชียนโหรวรีบลุกขึ้นดึงหยางลี่เวยให้นั่งลงด้านข้างของตัวเอง “รีบๆ กินข้าวกันเถอะค่ะ”
ละครคั่นเวลาฉากสั้นๆ ก็จบลงเพียงเท่านี้ สุดท้ายแล้วเฉินเชียนโหรวก็คงยังไม่ได้กินข้าวเช้า
เพราะว่าติดต่อซูเหิงไม่ได้เลย เฉินเชียนโหรวเองก็ไม่มีความรู้สึกอยากอาหาร เพียงแค่เอ่ยทักทายกับทุกคนไม่กี่คำแล้วก็กลับขึ้นชั้นบนไป
–
รุ่งเช้า เมื่อป๋อจิ่งชวนมาถึง เฉินฝานซิงก็เตรียมอาหารเช้าไว้เรียบร้อยและมายืนรอเขาอยู่หน้าประตูตั้งแต่เช้าแล้ว
ป๋อจิ่งชวนรับประทานอาหารเช้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ระหว่างนั้นคิ้วของเขากระตุกเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่ได้
หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็ลงไปด้านล่างพร้อมกัน
“ทำไมถึงคุณถึงขับรถเองตลอด ผู้ช่วยอวี๋ลาออกแล้วเหรอ”
“ผมชอบ”
“เอ๊ะ?” เฉินฝานซิงตามจังหวะความคิดของป๋อจิ่งชวนไม่ทัน
“ผมชอบที่จะขับรถไปส่งคุณทำงานด้วยตัวเอง ไม่ต้องการคนอื่น”
เฉินฝานซิงเม้นริมฝีปากเบาๆ ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วที่เธอรู้สึกว่าตัวเองอีคิวต่ำขนาดนี้
ที่ตกอยู่ในเงื้อมือของป๋อจิ่งชวนได้เร็วขนาดนี้ ก็สมควรโดนแล้ว
รถแล่นออกไปจากตี้หัวฮวาถิง
เฉินฝานซิงนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่เบาะข้างคนขับ ป๋อจิ่งชวนเหลือบหางตามามองปราดหนึ่ง จึงพบว่าเธอกำลังดูรูปที่โพสต์ลงในโมเมนต์วีแชทเมื่อคืน
ภาพที่หญิงสาวสองคนกำลังนั่งกอดคอกันอย่างสนิทสนมภาพนั้น
“คุณกับเธอเป็นเพื่อนสนิทกับเหรอ” ป๋อจิ่งชวนถามด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม น้ำเสียงไม่อาจสดใสไปมากกว่านี้ได้แล้ว
เฉินฝานซิงหันหน้ามามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็แอบเก็บโทรศัพท์ไปอย่างเงียบๆ
“ใช่แล้ว พวกเรารู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียน ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ เธอเป็นคนเดียวที่ไม่ทิ้งฉันไปไหน จะพูดว่าเธอเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของฉันก็ไม่เกินไปเลยสักนิด”
ป๋อจิ่งชวนเงียบกริบไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน
ผ่านไปพักใหญ่ๆ ในที่สุดเขาก็พูดออกมานิ่งๆ
“คืนนี้สองทุ่ม ผมจองโต๊ะที่คลับปี้หวงไว้แล้ว”
เฉินฝานซิงชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเข้าใจความหมายที่ป๋อจิ่งชวนต้องการจะสื่อได้ในทันที
“…ได้”
ป๋อจิ่งชวนยิ้มมุมปาก ภายในดวงตาดำสนิทท่วมท้นไปด้วยประกายแห่งความลึกลับ
คนที่สำคัญที่สุดในชีวิต…
“อ้อ ใช่แล้ว วันนี้ฉันไม่ไปจือชิ่น คุณพาฉันไปซิงเฉินกั๋วจี้ที” เฉินฝานซิงเอ่ยปากขึ้นมากะทันหัน หลังจากที่มองเห็นสี่แยกไฟแดงที่อยู่ด้านหน้า
ซิงเฉินกั๋วจี้?
เขาก็พอจะรู้อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เธอเคยบอกแล้วว่าเป็นบริษัทพีอาร์ที่แม่ของเธอทิ้งไว้ให้
“ทำไมจู่ๆ ถึงจะไปที่นั่น”
“เอ่อ ช่วงนี้ที่นั่นมีเรื่องยุ่งๆ บริษัทเพิ่งมีแขกสำคัญมา ต้องไปปรนนิบัติเขาให้ดีๆ หน่อย”
“ปรนนิบัติ?”
ผู้หญิงของเขาต้องไปปรนนิบัติคนอื่นอย่างนั้นเหรอ?
เฉินฝานซิงถอนหายใจ “ก็ใช่น่ะสิ ใครใช้ให้พวกเราต้องการตัวเขาล่ะ”
“คุณต้องการอะไรบอกผมได้นี่ สิ่งที่คุณต้องการ ผมให้คุณได้ทุกอย่าง”
เฉินฝานซิงอมยิ้ม “ไม่ต้องแล้ว ฉันจัดการเองได้ อย่าให้ฉันพึ่งพาคุณมากนักเลย ไม่งั้น…”
จู่ๆ เฉินฝานซิงก็หยุดพูดไป สีหน้าแข็งทื่อด้วยความเกร็ง
เผลอปากมากพูดเพลินไปหน่อย…
ป๋อจิ่งชวนเองก็ค่อยๆ หรี่ตาลง ดวงตาแหลมคมคู่นั้นเดิมทีก็ไหลเวียนไปด้วยความฉลาดลึกล้ำที่ยากจะคาดเดาอยู่ตลอดเวลา เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคำพูดของเธอมีบางอย่างผิดปกติไป
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินฝานซิงยังพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำโดยไม่ติดขัดเลย
“ไม่งั้นทำไม”