ตอนที่ 255 เรามาเปลี่ยนกติกากันสักหน่อย
แต่เมื่อหญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆ กันนั้นเห็นเฉินเชียนโหรวและหลินเฟยเฟยตกอยู่ในสภาพที่ถูกรังแก เธอก็รีบพุ่งเข้ามาช่วยทั้งคู่ตามสัญชาตญาณ แต่เฉินฝานซิงก็ยกเท้าขึ้นเตะลงไปบนเอวของหญิงสาวคนนั้นอย่างหนักแน่นและแม่นยำ จนเธอเซไปเล็กน้อยและส่งเสียงร้องออกมาเสียงแหลม ก่อนจะเซล้มลงไปกับพื้น
มองเผินๆ นี่อาจดูเป็นการกระทำที่ไม่มีอะไร เพียงแต่แขนข้างเดียวของอีกคนหนึ่งกลับเพิ่มแรงจับเพื่อกำราบอีกสองคน
ถึงกระนั้นท่าทีที่ดูสง่าและไร้ที่ตินั้นกลับทำเอาผู้คนตรงนั้นแตกตื่นได้ไม่น้อย
ทว่าไม่นาน ผู้คนต่างก็เข้าใจได้
สังคมสมัยนี้ จะมีเด็กสาวที่ไปเรียนศิลปะป้องกันตัวเพราะอยากปกป้องตัวเองได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เพียงแต่ป๋อจิ่งชวนกลับจ้องเฉินฝานซิง เขาหรี่ตาลงมองเธออย่างยากเกินคาดเดา
“ปล่อยฉัน! เฉินฝานซิง นังบ้านี่…อ๊า!”
หลินเฟยเฟยเคยเสียหน้าขนาดนี้เสียที่ไหน เธอจึงโต้ตอบกลับมาอย่างอับอายและโมโห คำก่นด่าถูกพ่นออกมาจากปากนั้นอย่างไม่ขาดสาย เฉินฝานซิงก็ยิ่งบิดแขนเธอด้วยแรงที่เพิ่มมาขึ้น
สวี่ชิงจือเองก็วิ่งออกมาช่วยเธอในตอนนี้ เธอจับหญิงสาวอีกคนที่เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างมุ่งร้ายเอาไว้เต็มแรง
เฉินเชียนโหรวโกรธจนหน้าซีด เนื้อตัวสั่นเทิ้มจนห้ามไม่อยู่
นี่เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะรับได้!
จู่ๆ เธอก็ถูกเฉินฝานซิงรังแกจนอับอายขายหน้าประชาชีจนตกอยู่ในสภาพแบบนี้!
นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะถูกคนเลว…
“พูด!” เธอสั่งเสียงเข้ม!
“ไปให้พ้น! นังชั่ว! นังชั่ว! ฉันจะฉีกแก! อ๊าย!”
“อ๊า!”
ทุกครั้งที่หลินเฟยเฟยพ่นคำด่าออกมาหนึ่งคำแรงบิดแขนของเฉินฝานซิงที่ถูกส่งมาก็ยิ่งเพิ่มแรงขึ้นเท่านั้น แต่เธอเองก็ไม่ได้ปล่อยเฉินเชียนโหรวที่อยู่อีกด้านหนึ่งไป ในเมื่อหลินเฟยเฟยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง งั้นเธอก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
แม้ว่าเฉินเชียนโหรวจะไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา แต่ก็กระอักกระอ่วนไม่แพ้หลินเฟยเฟย!
ทั้งคู่เจ็บปวดจนต้องนิ่วหน้าเข้าหากัน สีหน้าซีดเผือด เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ความเจ็บปวดนั้นทำเอาริมฝีปากของเธอสั่นไม่หยุด
“จะพูดไม่พูด!”
เฉินเชียนโหรวข่มตาแน่น ต่อหน้าผู้คนมากมาย ยิ่งเธอเป็นบุคคลสาธารณะอยู่แล้วด้วย ตอบโต้อะไรไม่ได้อยู่แล้ว
ทว่าในใจของเธอแทบจับเฉินฝานซิงมาแล่เนื้อได้อยู่แล้ว แต่เธอก็โมโหไม่ได้!
สีหน้าดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยิ่งพูดท่าทีบอบบางเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้ดูน่าสงสาร
“พี่คะ ฉันขอละ อย่าเป็นแบบนี้เลย เราเป็นพี่น้องกัน เรื่องแค่นี้จะยอมให้กันไม่ได้เลยเหรอ”
เฉินฝานซิงรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของบรรดาจีนมุงที่เริ่มเปลี่ยนไป
จนกระทั่งมีใครบางคนออกปากแทนเฉินเชียนโหรว
“พอแล้วเถอะ เป็นพี่น้องกันต้องทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ!”
“ทะเลาะกันหนักขนาดนี้แล้วยังจะไม่ลดราวาศอก สุดท้ายแล้วจะไม่ทำเอาครอบครัวต้องขายหน้าเอาเหรอ”
“ที่ใครเขาว่าพี่สาวมักจะรังแกน้องสาว เพิ่งจะได้เห็นก็วันนี้แหละ!”
เฉินฝานซิงหัวเราะหยันออกมา “เฉินเชียนโหรว ละครเรื่องต่อไปของเธอก็รับเล่นเรื่องแม่ดอกบัวขาวเป็นไง จะได้สมบทบาท อย่ามาหงายการ์ดครอบครัวกับฉันที่นี่! ในเมื่อเธอกล้าเล่น งั้นก็อย่ามาทำเป็นแพ้ไม่เป็น! จ้องจะให้ฉันพูดเก้าคำนั้นออกมาให้ได้ท่าเดียว ไหนจะเอาชื่อเสียงที่ดีของเธอมาเป็นเดิมพัน ฉันจะถามเธอเป็นครั้งสุดท้าย! พูด หรือไม่พูด!”
“พี่คะเราคุยกันดีๆ บ้างได้ไหม…”
เฉินฝานซิงพยักหน้า “ดีละ ฉันเข้าใจแล้ว…”
เฉินเชียนโหรวนิ่งไปก่อน เธอไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะพูดง่ายขนาดนี้
“งั้น…”
“ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมพูดง่ายๆ สินะ ฉันก็ไม่มีปัญญาจะบังคับให้เธอพูดประโยคนั้นหรอก ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันก็จะขอเปลี่ยนกติกาสักหน่อย…”
ตอนที่ 256 ฉันไม่ถือนะที่จะเล่นเป็นเพื่อนเธอต่อ
จากนั้นเธอจึงเดินมาหยุดลงตรงหน้าของน้องสาวแล้วกระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เสียงใสค่อยๆ เอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “ถ้างั้นก็เอาเป็นคุกเข่าคำนับฉันสักสามครั้งเป็นไง”
สีหน้าของเฉินเชียนโหรวดูแปรเปลี่ยนไปทันตา
เธอเงยหน้าขึ้นมา ในที่สุดความบอบบางน่ารังแกนั้นก็ค่อยๆ แตกร้าว
จนท้ายที่สุดเธอก็ได้ส่งสายตาอาฆาตไปยังพี่สาวต่อหน้าผู้คนมากมาย
รอยยิ้มของเฉินฝานซิงกว้างขึ้น เธอโน้มตัวลงเข้าใกล้เฉินเชียนโหรวทีละน้อย
ใบหน้าเยือกเย็นจนน่าใจหายนั้นขยายใหญ่ขึ้นต่อหน้าเธอ
“ดีมาก แบบนั้นแหละ ฉันรู้ได้ทันทีเลยว่าการกระชากหนังหน้าของคนหน้าซื่อใจคดอย่างเธอ ดูจะเป็นงานอดิเรกที่ไม่เลวเลย ฉันไม่ถือนะที่จะเล่นเป็นเพื่อนเธอต่อ!”
ความเคียดแค้นชิงชังในจิตใจของเฉินเชียนโหรวทวีความรุนแรงขึ้น
เธอมองใบหน้าได้รูปนั้นของเฉินฝานซิง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไร้ที่ติ ทุกๆ สายตา ทุกๆ การแสดงออกเล็กน้อย ทุกๆ ลมหายใจ ทุกๆ อย่างที่เป็นเธอล้วนแต่สื่อให้เห็นถึงความสูงค่าอยู่ในนั้น
เธออิจฉาพี่สาว อิจฉาทุกอย่างที่เป็นเธอ อิจฉาจนแทบบ้า
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่มีวันได้ทุกอย่างของพี่สาวมา ต่อให้เคยรับบทบาทมามากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่เคยเรียนแบบเฉินฝานซิงได้เลย
เมื่อเห็นท่าทีของเฉินเชียนโหรว เฉินฝานซิงก็เผยยิ้มขึ้นจางๆ แล้วปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ ก่อนเปลี่ยนเป็นบีบไหล่เธอเอาไว้แทน
เฉินเชียนโหรวพยายามสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของเธอ แต่ก็ไม่นึกเลยว่าเฉินฝานซิงจะแรงเยอะจนเธอขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย
รู้สึกได้แค่เพียงว่าเจ้าของใบหน้านั้นแทบจะฝังลงบนไหล่เธอ ราวกับมันเสียดแทงลงไปในกระดูก เจ็บปวดจนแทบไร้เรี่ยวแรง
แต่เมื่อกลับมามองที่เฉินฝานซิง เธอยังคงกรีดยิ้มอย่างสบายใจ ราวกับว่าคนที่กำลังจะบีบกระดูกหัวไหล่ของอีกคนให้แหลกคามือไม่ใช่เธออย่างนั้น
“คุกเข่าไหม หื๊ม?” เฉินฝานซิงเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ทั้งๆ ที่ใบหน้าของเธอจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม ทว่ายามที่เธอโมโหยิ่งทำให้ดูหน้าหวาดกลัว
เธอมองนัยน์ตาคู่นั้นที่ยังคงจงมองเธอ เพียงแต่ว่าในตอนนี้ความสับสนได้ผุดขึ้นบนนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังคู่นั้น
“ดูเหมือนฉันคงต้องช่วยพวกเธออีกแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินฝานซิงเลือนหายไปในพริบตา ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความเยือกเย็น
ในใจของเธอเต้นระส่ำ
“ไม่…อย่านะ…”
ดูเหมือนเฉินเชียนโหรวจะเดาการกระทำของอีกฝ่ายออก เธอจึงเริ่มดิ้นรนขึ้นมา
เฉินฝานซิงกลับออกแรงกดลงบนไหล่ของเธออีกครั้ง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นแล้วใช้มืออีกข้างกดศีรษะเธอลงไปอย่างจัง…
ปึกกก ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเฉินเชียนโหรวไม่ทันจะได้พยายามขัดขืนด้วยซ้ำจู่ๆ เธอก็ถูกเฉินเชียนโหรวกดลงกับพื้นไปเรียบร้อยแล้ว
หน้าฝากปะทะเข้ากับพื้นอย่างจัง ราวกับเฉินเชียนโหรวจะได้ยินเสียงดัง ฟี้ ออกจากสมอง เธอรู้สึกมึนหัวและตาลาย
เสียงฮือฮาดังขึ้นมาจากรอบด้าน ราวกับพวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าจู่ๆ เฉินฝานซิงจะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้
จากนั้น ดูเหมือนว่าเฉินฝานซิงจะไม่ยอมหยุดลงง่ายๆ เสียงหน้าผากกระทบกับพื้นเสียงดัง ปักๆ ดังติดต่อกันสองครั้ง เธอถึงได้ยอมปล่อยเฉินเชียนโหรวให้เป็นอิสระ ก่อนจะสลัดเธอไปอีกทาง
เฉินเชียนโหรวถูกกระแทกจนมึนไปหมด แต่ความรู้สึกนึกคิดของเธอยังคงชัดเจน
เธอโกรธเกรี้ยวจนนิ้วทั้งสิบจิกลงบนพื้น เล็บที่ถูกดูแลมาเป็นอย่างดีถูกเบียดจนหักเลือดไหลซิบ
ทว่าแม้แต่ความกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาเธอก็ยังไม่มี เธอเป็นคนของประชาชน ภาพลักษณ์ของเธอก็ยังอยู่ที่นั่น หลายเรื่องที่เกิดขึ้นมาในไม่กี่วันมานี้ทำให้เธอจะทำอะไรผลีผลามจนได้เหามาใส่หัวอีกไม่ได้
แต่จู่ๆ เธอดันมาถูกทำให้อับอายขายขี้หน้าอย่างถึงที่สุด เธอจะเงยหน้าขึ้นสู้หน้ากับผู้คนอีกมากมายได้อย่างไร
ถ้าเป็นไปได้ เธอยอมให้เฉินฝานซิงจับศีรษะเธอกระแทกกับพื้นจนหมดสติไปเลยดีกว่าจะได้ไม่ต้องมาตกอยู่ในความรู้สึกอัปยศเช่นนี้
หากเธอหมดสติไป เฉินฝานซิงเองที่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีอยู่แล้ว เธอคงหนีไม่พ้นคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชน และหนีไม่พ้นกฎหมาย
หากเธอหมดสติ…
เฉินเชียนโหรวมีแววตาเย็นลง เธอยกมือขึ้นประคองศีรษะแล้วซวนเซไปมาสองครั้ง…
แต่ในนาทีที่เธอกำลังจะ ‘เป็นลม ’ล้มลงไป เฉินฝานซิงก็แสยะยิ้มขึ้นพร้อมกับเอ่ยว่า
“อย่าคิดจะเป็นลมไปตอนนี้เด็ดขาด แรงฉันไม่พอจะกระแทกจนสมองเธอกระทบกระเทือน! ไม่ต้องห่วงนะ ฉันออมแรงให้!”