ตอนที่ 231 ไม่มีแรงต้านทานต่อคุณ
เธอรีบเปิดอ่านโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย วีดีโอโหลดยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏภาพขึ้นมา เนื้อหายังไม่ทันเริ่ม เธอก็ลุกขึ้นเดินไปรินน้ำมาหนึ่งแก้ว
คืนนี้ดื่มเหล้าเข้าไปเยอะเกินไป
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ป๋อจิ่งชวนเอาเหล้ารสชาติดีขนาดนั้นมาล่ะ
อีกทั้ง ระหว่างทางเธอก็รู้สึกได้เลยว่าฤทธิ์ของเหล้าตัวนี้แรงไม่น้อยเลย
ระหว่างที่เธอดื่มน้ำพลางเดินกลับมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เสียงร้องครวญครางเบาๆ ของผู้หญิงก็ดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง
สวี่ชิงจือขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เนื่องจากมุมที่ยืนอยู่ทำให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ย้อนแสง เธอจึงโน้มตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้
จากนั้น เมื่อสายตาไปหยุดอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ น้ำที่เพิ่งเข้าปากเมื่อกี้ก็ต้องพ่นออกมาเพียงชั่ววินาที
พรวด…
น้ำทั้งคำสาดกระจายเต็มหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ทัศนในการมองเห็นพร่าเลือนไปชั่วขณะ
คอมพิวเตอร์น้อยของเธอ
ด้านในนี้มีเอกสารสำคัญของเธออยู่เยอะแยะมากมายเลยนะ
เธอยื่นมือออกไปดึงกระดาษทิชชู่ออกมาก่อนจะออกแรงเช็ดไปที่มุมปาก
ปึ้ง เสียงแก้ววางกระทบโต๊ะดังลั่น
ไฟโกรธกำลังแผดเผาอยู่ในใจ
ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความบางอย่างให้ไปเฉินฝานซิง
[ป๋อจิ่งชวนเขาเป็นพวกวิปริตเหรอ!!!]
หลังจากส่งข้อความเสร็จเธอก็โยนโทรศัพท์ไว้ด้านข้าง
เฉินฝานซิงที่กำลังอยู่ในลิฟท์ของตี้หัวฮวาถิงเหลือบมองโทรศัพท์ปราดหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
เครื่องหมายตกใจสามตัวอย่างนั้นเหรอ?
เรื่องอะไรกันที่ทำให้ชิงจือโกรธขนาดนี้ได้
เธอหันไปมองป๋อจิ่งชวนที่ยืนอยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยถาม “คุณทำอะไรชิงจืองั้นเหรอ ทำไมกลับบ้านไปแล้วยังโกรธขนาดนี้อยู่อีก”
ป๋อจิ่งชวนชำเลืองมองโทรศัพท์ของเฉินฝานซิงวูบหนึ่ง แล้วค่อยๆ ยิ้มมุมปากออกมา “คุณถามเธอได้นะว่ารู้สึกยังไง”
“…”
รู้สึก?
เฉินฝานซิงได้ยินคำที่คุ้นเคยคำนี้ คนฉลาดอย่างเธอแทบจะเข้าใจเรื่องราวภายในทันที
“คุณคงไม่…”
“อะไรเหรอ”
ป๋อจิ่งชวนท่าทางไม่ทุกข์ร้อนจนทำให้เฉินฝานซิงเริ่มลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
หรือเธอจะเข้าใจผิดไปเอง
เธอหันกลับไปเผชิญหน้ากับข้อความของสวี่ชิงจืออีกครั้ง ก่อนจะหยุดคิดอยู่ครึ่งหนึ่งแล้วตอบกลับไปหนึ่งประโยค
[ไม่น่าใช่หรอกน่า]
สวี่ชิงจือ [ลาก่อน]
เฉินฝานซิงหันไปมองป๋อจิ่งชวนอีกครั้งด้วยความสงสัย สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เขา…คงไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกมั้ง…
ไม่นานนัก ประตูลิฟท์ก็เปิดออก ป๋อจิ่งชวนไปส่งเฉินฝานซิงถึงหน้าประตู แต่กลับไม่มีท่าทีที่จะเข้าไป
เฉินฝานซิงรู้สึกผิดความคาดหมาย จึงเอ่ยถามออกมาหนึ่งประโยค “คุณไม่เข้าไปนั่งก่อนเหรอ”
ป๋อจิ่งชวนคว้ามือเธอมาจับไว้ พร้อมส่งเสียงพูดเบาๆ
“ถึงแม้ว่าผมจะอยากเข้าไปใจจะขาด แต่ก็เข้าไปไมได้ วันนี้ดื่มมาเยอะ อย่าให้ผมเข้าใกล้คุณได้ง่ายๆ แรงต้านทานที่ผมมีต่อคุณดูเหมือนจะไม่สูงมากนัก”
เฉินฝานซิงใบหน้าแดงระเรื่อ
“งั้นคุณกลับคนเดียวได้ใช่ไหม”
“อื้ม คุณเข้าไปเถอะ”
“ถ้างั้นคุณกลับไปอาบน้ำแล้วรีบพักผ่อนนะ”
“ได้”
หลังจากเข้าห้องปิดประตูไป เฉินฝานซิงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งราวกับยกเขาออกจากอก
คำพูดพวกนั้นของสวี่ชิงจือในค่ำคืนนี้ จนถึงตอนนี้เธอยังคงลืมไม่ลง
เพราะสิ่งเหล่านี้ สำหรับเธอแล้ว ถือเป็นสิ่งที่มีค่าเหลือเกิน…
เมื่อดูจดหมายเชิญออนไลน์จากมหาวิทยาลัย T ที่ส่งมาให้เมื่อหลายวันก่อนในโทรศัพท์ สีหน้าของเฉินฝานซิงก็ดูตึงเครียดไปอย่างเห็นได้ชัด…
อันที่จริงแล้ว ขอแค่เป็นนักเรียนจากสถาบัน T ขอแค่ต้องการจะเข้าร่วม มหาวิทยาลัยก็ไม่มีทางปฏิเสธ
อีกทั้ง มีเพียงแค่คนที่เรียนจบไปแล้วมีหน้าที่การงานที่ดีในสังคมเท่านั้นถึงจะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากโรงเรียน
การส่งจดหมายเชิญมาให้ ถือเป็นการแสดงถึงความขอร้องด้วยความจริงใจ หวังว่าจะไปเข้าร่วมช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้กับมหาวิทยาลัยให้โดดเด่นเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นได้
เพียงแต่ นักเรียนที่ถูกมหาวิทยาลัยไล่ออกกลางคันคนหนึ่งอย่างเธอ ก็ได้รับจดหมายเชิญกับเขาด้วยอย่างนั้นเหรอ
เธออดสงสัยไม่ได้ว่าจดหมายเชิญฉบับนี้ จะเป็นหลุมกับดักที่ใครบางคนขุดให้เธอตกลงไป…
จากนั้น เธอครุ่นคิดไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น โยนโทรศัพท์ไปไว้ด้านข้างแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป…
ตอนที่ 232 อืม เป็นแบบสุ่มน่ะ
ที่โรงพยาบาล
เฉินเชียนโหรวกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เธอรอให้น้ำแข็งในปากละลายแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เรื่องที่ให้เธอไปจัดการเรียบร้อยหรือยัง”
ผู้จัดการส่วนตัวที่นั่งอยู่ข้างๆ พยักหน้าพลางพูดเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วง แค่เพิ่มบัตรเชิญขึ้นมาใบเดียวเท่านั้น ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย”
เฉินเชียนโหรวยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดและแววตาโหดเหี้ยม
“ถึงเวลานั้น ฉันจะต้องให้เธอแบกรับความอัปยศอดสูนี้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลย”
ขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
เฉินเชียนโหรวรีบเก็บซ่อนความร้ายกาจที่แสดงบนสีหน้าเมื่อครู่นี้ก่อนหน้านี้ เธอที่ดูเป็นดาวส่องแสงเจิดจรัสมาตลอด เวลานี้เพราะไม่ได้แต่งหน้าจึงทำให้ใบหน้าของเธอซีดขาวย่างเห็นได้ชัด
ประตูถูกเปิดออก เป็นหลินเฟยเฟยที่พาเพื่อนๆ อีกหลายคนมาเยี่ยม
เมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวและดูอิดโรยของเฉินเชียนโหรว เธอก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ
“ทั้งหมดเป็นเพราะเฉินฝานซิงเลย ที่ทำให้เชียนโหรวตกอยู่ในสภาพแบบนี้!” หลินเฟยเฟยกัดฟันพูด
“ทำไมนางถึงได้ร้ายขนาดนี้นะ รังแกเชียนโหรวยังไม่พอ แถมยังกล้ามาอาละวาดในงานเลี้ยงครบรอบของสกุลเฉินอีก”
“ตัวเองมั่วกับผู้ชายไปทั่วขนาดนั้น ยังจะตามจับซูเหิงไม่ปล่อย น่ารังเกียจจริงๆ…”
ได้ยินพวกเธอพากันวิจารณ์เฉินฝานซิง ทำให้เฉินเชียนโหรวรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย
“เอาเถอะ พวกเธออย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย…”
หลินเฟยเฟยได้ยินเฉินเชียนโหรวพูดดังนั้นก็รีบตอบกลับมาเสียงแข็ง “เชียนโหรว บอกกี่ครั้งแล้ว ใจดีเกินไปมีแต่จะเดือดร้อนตัวเอง ทำไมเธอชอบเป็นแบบนี้ทุกครั้งเลย เอาแต่ปกป้องยัยนั่นโดยไม่มีเหตุผลตลอด”
เฉินเชียนโหรวส่ายหน้า “ฉันก็แค่ไม่อยากจะพูดถึงเธอชั่วคราวเท่านั้น นานๆ ทีทุกคนจะได้มารวมตัวกัน จะพูดเรื่องดีๆ หน่อยไม่ได้เหรอ”
หลินเฟยเฟยนิ่งไป ก่อนจะตบมือขึ้นมากะทันหันพร้อมกับแสงที่เปล่งประกายในดวงตาคู่นั้น “ก็จริง ใช่แล้ว วันศุกร์หน้างานฉลองของสถาบัน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนในห้องต่างก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาตามๆ กัน
“สถาบัน T ของพวกเราเป็นมหาวิทยาลัยดังที่มีชื่อเสียง หลายปีมานี้สร้างบุคลกรมากความสามารถไปไม่น้อย คนสำคัญในวงการธุรกิจ การเมือง วงการบันเทิง ส่วนใหญ่ก็มาจากสถาบัน T ของพวกเราทั้งนั้น”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ในวงการบันเทิง เฉินเชียนโหรวของพวกเราเป็นถึงดาราหญิงที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในตอนนี้เชียวนะ”
“ใช่แล้ว เท่าที่ฉันรู้ เจ้าพ่อจอเงินอย่างฉู่อี้ก็เคยเป็นนักเรียนของสถาบัน T ด้วยใช่ไหม เหมือนจะไปต่างประเทศกลางคัน ช่วงนี้เขาก็กลับเข้าประเทศมาแล้วนี่ เขาจะไปร่วมงานด้วยหรือเปล่านะ…”
เวลานี้ หลินเฟยเฟยกลับพูดขึ้นมาด้วยท่าทางโอ้อวด “เจ้าพ่อจอเงินฉู่น่ะเหรอ เชียนโหรวก็รู้จักนี่ คราวก่อนตอนไปต่างประเทศ พวกเขาสองคนยังพูดคุยกันอยู่เลย”
“หือ จริงเหรอ งั้นเชียนโหรว เธอพูดกับเจ้าพ่อจอเงินฉู่หน่อยสิว่าให้เขาไปงานฉลองของโรงเรียนน่ะ…”
“จะไปยากอะไร ในเมื่อเชียนโหรวกับฉู่อี้เป็นเพื่อนกัน ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” หลินเฟยเฟยพูดต่อ
เฉินเชียนโหรวมีอาการหน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา แต่ทั้งห้องต่างก็คาดหวังกับเธอขนาดนี้ เธอจึงทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ “ฉันจะลองหาโอกาสพูดกับเขาดูนะ…”
–
เช้าวันรุ่งขึ้น เวลาเจ็ดโมงครึ่ง
ที่อพาร์ตเมนต์ของฉู่อี้
ผู้ช่วยที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เย่หมิงมารายงานตัวที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้ว
เวลานี้ คนสองคนกำลังนั่งอยู่ข้างกันบนโซฟา สายตาทั้งสองคู่จดจ้องไปยังนาฬิกาปลุกที่วางอยู่บนโต๊ะ มองดูเวลาค่อยๆ เดินไปถึงเวลาแปดโมง ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“น้องเย่ เธอกล้าไปปลุกฉู่อี้ไหม”
เย่หมิงรีบส่ายหน้า ก่อนจะตอบโดยไม่ต้องคิด
“ไม่ค่ะ ฉันไม่กล้า”
เธอเองก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับตัวยงของฉู่อี้เหมือนกัน ตอนแรกเธอตั้งตารอวันที่จะได้ใกล้ชิดกับไอดอลที่ชื่นชอบอย่างวันนี้มาก แต่กลับลืมไปว่ามียังมีอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ
อารมณ์รุนแรงหลังตื่นนอนของฉู่อี้ไงล่ะ
นั่นเป็นความลับที่ใครๆ ต่างก็รู้ดี
อยากรู้ว่าอารมณ์ของเขาตอนเพิ่งตื่นนอนรุนแรงแค่ไหนน่ะเหรอ
รายละเอียดโปรดพิจารณาจากความเป็นที่นิยมของเขาว่ามากแค่ไหน
เสี่ยวเจ้ามองดูนาฬิกาปลุกบนโต๊ะ เหลืออีกหนึ่งนาทีก็จะแปดโมง
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งฟอด ก่อนจะหันไปมองเย่หมิงด้วยสีหน้าจริงจังแล้วพูดขึ้น “เอาละ ฉันรู้แล้ว ฉันจะไปปลุกเอง”
ระหว่างพูดเขาก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปทางห้องนอนของฉู่อี้
ทว่า เดินไปได้ครึ่งทางเขาก็หยุดฝีเท้าไว้เสียก่อนแล้วหันมายิ้มให้เย่หมิง ก่อนจะพูดขึ้น
“น้องเย่ เธอช่วยเติมน้ำในแจกกันดอกท้อที่วางอยู่ในห้องรับแขกให้หน่อยจะได้ไหม พี่ซิงบอกให้ฉันดูแลมันให้ดี”
ขอแค่ไม่ใช่การปลุกฉู่อี้ให้ตื่น ให้เธอทำอะไรเธอก็ยอมทั้งนั้น
นับประสาอะไรกับเรื่องง่ายๆ แค่นี้
“ได้เลย ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
กระนั้น เสี่ยวเจ้ามองดูนาฬิกาปลุกบนโต๊ะที่เพิ่งเดินผ่านเวลาแปดโมงไป ส่วนเย่หมิงก็หยิบแก้วน้ำวิ่งไปยังห้องรับแขก ก่อนจะเทน้ำลงไปในแจกันตามอำเภอใจ
เสี่ยวเจ้าเดินไปหน้าประตูเงียบๆ พลางใช้มืออุดหูและย่อตัวลง
ห้าวินาทีหลังจากนั้น
‘อาอีโยโอ๊ะโอ อาอีโยโอ๊ะโอ อาอีโยโอ๊ะโอ…ไปเลย…วะฮู้ว ฟีลนี้แหละ ซาบซ่าสุดๆ…ซ่า ซ่า ซ่า ซ่า…ท้องฟ้าสว่างขนาดนั้น แผ่นดินกว้างใหญ่ขนาดนั้น ความรู้สึกฮึกเหิมขนาดนั้น…’
เย่หมิงตะลึงงันอยู่กับที่ นิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นใบหน้าสวยงามที่เปื้อนรอยยิ้มค่อยๆ ซีดขาว
ได้ยินเสียงดั่งสนั่นขนาดนี้ เธอเองยังรู้สึกว่าแก้วหูของเธอกำลังสั่นสะเทือนย่างรุรนแรง
“แม่เจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผู้ช่วยเจ้า…”
เธอสอดสายตามองไปรอบห้องด้วยความตกใจ ปรากฏว่า มุมกำแพงตรงข้างประตู้ก็ได้พบกับเขาที่กำลังยืนกุมหัวอยู่
เย่หมิง “…”
เสี่ยวเจ้าเงยหน้าไปมองเธอก่อนจะยิ้มแหยๆ
และขณะนั้นเอง ประตูห้องนอนห้องหนึ่งก็ถูกใครบางคนเปิดออกอย่างแรง ใบหน้าหล่อเหลาของฉู่อี้มืดครึ้ม ในสายตาเย่หมิง รู้สึกเพียงว่ารอบตัวเขารายล้อมไปด้วยหมอกดำอันหนาวเหน็บหนาทึบที่พร้อมจะเขมือบพวกเขาเข้าไปได้ทุกเมื่อ
ทั้งคู่มองดูฉู่อี้ด้วยความตกใจกลัว ทั้งสามคนอยู่ในภวังค์ความนิ่งไปชั่วขณะ
‘อาอีโยโอ๊ะโอ อาอีโยโอ๊ะโอ อาอีโยโอ๊ะโอ…ไปเลย…วะฮู้ว ฟีลนี้แหละ ซาบซ่าสุดๆ…ซ่า ซ่า ซ่า ซ่า…’
บรรยากาศที่แปลกประหลาดนี้ ไหนเลยจะมีดนตรีประกอบที่แสนจะมีเอกลักษณ์อีก สถาการณ์ตอนนี้มันช่าง…
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของฉู่อี้เริ่มกระตุก
แม่จ๋า…
ช่วยด้วย!
เย่หมิงอยากจะร้องไห้ออกมาเต็มที
ทว่าเวลานี้ ประตูห้องกลับถูกใครบางคนเปิดออก
เมื่อเฉินฝานซิงเปิดประตูเข้ามา คลื่นเสียงอานุภาพรุนแรงก็พุ่งเข้าใส่เธอทันที
เสี่ยวเจ้าที่เห็นเธอปรากฏตัวขึ้น กลับรู้สึกได้ถึงแสงสว่างสีทองเปล่งประกายออกมาจากตัวเฉินฝานซิงทันที
เฉินฝานซิงกลัวว่าเสียงจะดังรบกวนคนอื่นในตึกจึงรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเจ้าเร่เข้ามาหาเฉินฝานซิงด้วยสีหน้าที่อยากจะร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา “พี่ซิง วันนี้ไม่ใช่เสียงเตือนภัยแล้ว”
เฉินฝานซิงพยักหน้า “อืม เป็นแบบสุ่มน่ะ”