เบียทริซใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวในการไปถึงกิลด์ของพ่อแม่ของเธอ ทวินไฮดรา พวกเขาตั้งชื่อตามสัตว์ประหลาดที่ทําลายประเทศจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พวกเขาคิดว่ามันจะเป็นชื่อที่ดีเพราะมันเป็นตัวแทนของพวกเขา พวกเขาเป็นคู่กัน และถ้าหนึ่งในนั้นล้มลง อีกคนก็จะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่
กิลด์ของพวกเขามีขนาดใหญ่ แต่สิ่งนี้ทําให้ดูว่างเปล่ายิ่งขึ้น ตอนแรกพวกเขาคิดว่าการเลือกสถานที่ใกล้กับสถาบันไท่โจว พวกเขาจะสามารถหานักสํารวจที่มีอนาคตได้จากที่นี่
แต่ความจริงคือ ผู้สําเร็จการศึกษาจากสถาบันส่วนใหญ่มักจะไปเข้าร่วมกับกิลด์ที่ได้รับความนิยมกันหมด
และสมาชิกในกิลด์ของเขาก็ออกไปด้วยเช่นกัน พ่อแม่ของเบียทริชไม่สามารถรั้งพวกเขาไว้ได้ เพราะต้องการรักษาความต้องการของสมาชิก และเนื่องจากตอนนี้พวกเขาไม่มีการเข้าไปในประตูมิติที่ดีเลย เพราะพวกเขาประจําอยู่ในเมืองใกล้กับสถาบันการศึกษาและมีทหารยามจํานวนมาก เมื่อไหร่ที่ประตูมิติโผล่ออกมา มันก็จะถูกผู้ถือระบบระดับสูงจัดการในทันที
อีกทั้งพวกเขายังไม่มีแหล่งหาคริสตัล ทําให้พวกเขาต้องดิ้นรนหาเงินมาจ่ายค่าบ้านกิลด์ม นานกว่า 2 ปีแล้ว และตอนนี้กิลด์มีเพียงแค่พ่อแม่ของเธอเท่านั้น
ความจริงอีกประการหนึ่งก็คือเบียทริซโกหกฮาร์วีย์และแวนส์ เธอไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อช่วยพ่อแม่ของเธอ เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อกิลด์หรือมาเยี่ยมพวกเขาด้วยซ้ํา เพราะพ่อแม่ของเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก ทั้งหมดที่เธอทําคือเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปทันที
เธอถอนหายใจ และเหลือบมองกิลด์ของพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย และเดินต่อไป หลังจากเดินต่อไป 30 นาที เบียทริซก็มาถึงที่โล่งขนาดใหญ่ในเมือง ซึ่งมีผู้คนมากมายรวมตัวกัน
ทิวทัศน์อันเงียบสงบก่อนหน้านี้หายไป มันถูกแทนที่ด้วยเสียงเชียร์และเสียงคํารามของคนเกือบร้อยคน เสียงของพวกเขาทับซ้อนกัน
เบียทริซจําได้ว่าครั้งแรกที่เธอมาที่แห่งนี้ มันเสียงดังมาก
“เราต้องการอีกคน! เราต้องการผู้ถือระบบประเภทระบบเพิ่มประสิทธิภาพที่มีค่าความทนทานสูง!”
“หาปาร์ตี้!”
“ประตูระดับ F เพิ่งปรากฏ มันอยู่ห่างจากเมืองไป 2 กิโลเมตร!”
ที่นี่คือสถานที่ที่ผู้ถือระบบมาจัดปาร์ตี้เพื่อสํารวจประตูมิติ พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไม่ได้เข้าเรียนในสถาบัน และผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกิลด์บางแห่ง พูดสั้นๆก็คือพวกเขาคือนักสํารวจอิสระ
หากถามว่าการชุมนุมในสถานที่นี้ผิดกฎหมายหรือไม่? มันไม่ผิด เนื่องจากมีประตูมิติ ปรากฏขึ้นมากมายในทุกวัน และกิลด์ทางการไม่สามารถจัดการมันได้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น กิลด์ชั้นนําส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจที่จะจัดการกับประตูมิติที่โผล่ออกมาแบบสุ่ม เพราะฉะนั้นสามารถกล่าวได้เลยว่าในโลกนี้จําเป็นต้องมีนักสํารวจอิสระเพื่อจัดการกับประตูมิติพวกนั้นเลยด้วยซ้ํา
แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เป็นกิลด์อย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับกิลด์ระดับล่างเป็นธรรมดา และกิลด์ทางการก็มักจะบังคับให้เขาเลิกสํารวจประตูมิติซะ แต่เป้าหมายหลักของนักสํารวจก็คือช่วยชีวิตและป้องกันไม่ให้เกิดประตูมิติขึ้นอีก ดังนั้นจึงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าจําเป็นต้องมีพวกเขาอยู่ดี
และเบียทริช…เบียทริชมาที่นี่สองสามวันแล้ว เธอคิดว่าเธออยู่ในอันดับที่ 2 และเธอคิดว่าเธอต้องแซงแวนส์ให้ได้เพื่อที่เธอจะได้อยู่บนจุดสูงสุด
แต่ตั้งแต่พวกเขากลับมาจากบ้านของวิคตอเรีย ไม่..ตั้งแต่ที่เบียทริซเห็นฮาร์วีย์ขวางการโจมตีของเอ็ดเวิร์ด เธอรู้…เธอรู้ว่าฮาร์วีย์ซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขามาตลอด หรือบางทีเขาอาจจะแค่ไม่มีโอกาสเพื่อแสดงมันเท่านั้น
มันสมเหตุสมผลแล้ว ฮาร์วีย์อาจหลงกลหรือทําตัวโง่เกือบตลอดเวลา แต่เขาก็ยังเป็นลอเดอร์ เขายังคงเป็นลูกชายของครอบครัวที่ร่ํารวยที่สุดคนหนึ่งในประเทศ เขาสามารถเข้าถึงทรัพยากรและคริสตัลได้แทบไม่จํากัด
เบียทริชจะไม่แปลกใจถ้าเขาเป็นนักเรียนใหม่ที่อยู่ระดับสูงสุดในสถาบันการศึกษา
คนแรกคือแวนส์ และจากนั้นคือฮาร์วีย์…และวิคตอเรียเองก็อาจจะซ่อนทักษะของเธอไว้ด้วยเช่นกัน เธอเป็นหลานสาวของผู้เสริมประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้
เบียทริชถูกรายล้อมไปด้วยคนที่แข็งแกร่งผิดปกติ ถ้าพวกเขาไม่อยู่ที่นี่…เธอคงจะอยู่บนจุดสูงสุด
”…” เบียทริชส่ายหัวอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้ เธอจําเป็นต้องทําในสิ่งที่เธอทําให้ดีที่สุดเสมอ ทํางานหนักและฝึกฝนจนกว่าเธอจะเอาชนะพวกเขาทั้งหมดได้
อันดับ 1 ต้องเป็นของเธอ ดังนั้นเธอจะต้องแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ถ้าเธอจบการศึกษาโดยเป็นนักเรียนหมายเลข 1 ในกลุ่มของเธอ และเข้าร่วมกิลด์ของพ่อแม่ของเธอหลังจากนั้น กิลด์ของพวกเขาก็จะมีระดับสูงขึ้นอย่างแน่นอน
นั่น…นั่นคือเป้าหมายเดียวของเธอ
ดังนั้นเบียทริชจึงก้าวเข้าสู่โลกของนักสํารวจอีกครั้งด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆยาวๆ
***
ขณะที่เบียทริซเสียงชีวิตในประตูมิติ แวนส์กําลังนอนอยู่บนเตียง เขากําลังดูหน้าต่างระบบของเขา หรือถ้าจะให้พูดเจาะจงมากกว่านี้…เขากําลังดูสิ่งนี้อยู่…
[รวบรวมวิญญาณ: 2]
มีเปลวไฟสีส้มสองอันที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ หนึ่งในนั้นคือชายผมแดงที่มี 4 แขนน่าขยะแขยง “ลูคัส” และอีกคนคือชายคนแรกที่เขาฆ่า เดมอนด์
เขาฆ่าคนสองคนในวันเดียว
แวนส์หลับตาในขณะที่เขาถอนหายใจ มันไม่ใช่ความตั้งใจของเขาที่จะฆ่าพวกเขาสองคน จริงๆมันแค่เกิดขึ้นไปเอง
“ก็…” แวนส์กระซิบเสียงแผ่ว
“ฉันว่านั่นแหละคือชีวิต” จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปทางวิญญาณดวงแรก
โปรดเลือกตําแหน่งที่จะส่งวิญญาณที่เป็นกลางไป: ลานแห่งการลงโทษ l ทุ่งดอกไม้แห่งความตาย l สวรรค์]
วิญญาณที่เป็นกลาง? แวนส์อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง พ่อของเขาเป็นวิญญาณแห่งความมืด…แต่เมื่อคิดว่าทั้งสองคนนี้เป็นวิญญาณที่เป็นกลาง นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นคนดีงั้นหรอ?
แวนส์ส่ายหัว มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเขาคิด พวกเขายังคงทําร้ายแอนเดรีย และด้วยเหตุนี้ พวกเขาสมควรที่จะถูกลงโทษ
[ส่งวิญญาณที่เป็นกลางไปยังลานแห่งการลงโทษ? ใช่ l ไม่ ]
และโดยไม่แม้แต่จะลังเล แวนส์ก็เลือก “ใช่” แต่แล้วดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อหน้าต่างบานอื่นโผล่ออกมา
[ คุณแน่ใจไหม? ใช่ ไม่ ]
…
ตัวเลือกนี้เคยมีมาก่อนหรือเปล่านะ? แวนส์วางมือที่คางขณะที่ถอนหายใจยาว เขาทรุดตัวลง หลังจากที่เขาส่งวิญญาณของพ่อเขาไปยังชีวิตหลังความตาย มันก็ผ่านมานานมากแล้ว เขาจําไม่ค่ อยได้ แต่เขาก็มั่นใจว่านี้เป็นหน้าต่างตัวเลือกใหม่
อย่างไรก็ตาม หลังจากไตร่ตรองไปไม่กี่วินาที เขาก็ยังกด “ใช่”
[ส่งวิญญาณที่เป็นกลางสู่ลานแห่งการลงโทษสําเร็จ]
“ดี…”
[ได้รับค่าประสบการณ์: 9157 หน่วย]
[ร่างกายเลเวลเพิ่มขึ้น 3 เลเวล!]
[ระบบเลเวลเพิ่มขึ้น 2 เลเวล!]
“อืม…”
แวนส์พยักหน้าเมื่อเห็นหน้าต่างหลายบานที่โผล่ออกมาตรงหน้าเขา เขากําลังจะชี้ไปที่วิญญาณของลูคัส แต่ก่อนที่เขาจะทําได้วิสัยทัศน์ของเขาเริ่มสั่นคลอนอย่างควบคุมไม่ได้ และในไม่ช้าสิ่งที่เขาเห็นคือความมืด
และหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีคลื่นแห่งความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาในหัวของเขาทันที
“อึก!” แวนส์รีบกลิ้งตัวลงบนเตียงขณะที่เขาจับหัวของเขา เขากัดฟันไม่ให้ส่งเสียงใดๆออกมา อย่างไรก็ตามความเจ็บปวดนั้นมากเกินไปสําหรับเขาที่จะทนได้ ในขณะที่เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อ้ากกกกก!”