ตอนที่ 105 พบกันบนถนน!
สามวันต่อมา
รถม้าธรรมดาคันหนึ่งเคลื่อนไปบนทางถนนอย่างเชื่องช้า รถม้าไม่ได้สะดุดตานัก ที่โดดเด่นชัดเจนคือสาวน้อยชุดดำงดงามเย็นชาที่ควบรถม้าอยู่
ใบหน้าละเอียดอ่อนงามเพริศพริ้ง เรือนร่างที่ห่อหุ้มด้วยชุดสีดำช่างร้อนแรงน่าดึงดูดอย่างยิ่ง หากบนหน้านั้นแต่งเติมรอยยิ้มเสียหน่อย ต้องเป็นที่ตกตะลึงให้ชายหนุ่มเคลิบเคลิ้มหลงใหล แต่กลายเป็นว่า ทั่วร่างสาวน้อยชุดดำกลับมีกลิ่นอายเยือกเย็นกระจายออกมา และกลิ่นอายเย็นเยียบก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้เช่นนั้น
ด้านในรถม้า กวนสีหลิ่นมองเสี่ยวจิ่วที่กำลังเอนพิงตัวอ่านหนังสือ เอ่ยถามอย่างฉงนสงสัย “เสี่ยวจิ่ว ฝีมือรักษาเจ้าดีเด่นเพียงนั้น ไยจึงไม่กำจัดรอยแผลเป็นบนใบหน้าไปเสียก่อนเล่า?”
ผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว แผลเป็นทั้งหลายบนใบหน้านางก็ไม่เห็นจางไป ทุกครั้งยามเมื่อมองเห็นแผลเป็นเหล่านั้นบนใบหน้า เขาแสนร้อนใจแทน แต่กลับกลายเป็นตัวนางเองเหมือนเห็นเสียจนชินตา จึงไม่สนใจเลยสักนิด
ไหนว่าพวกผู้หญิงล้วนไม่ยอมให้ใบหน้าตัวเองเสียโฉมไม่ใช่หรือ? ทำไมเขาเห็นนางไม่ร้อนใจและไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยเล่า?
“ข้าไม่รีบ ยาทาแผลเป็นที่ข้าปรุงยังขาดยาอีกตัวหนึ่ง” เธอกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก พลางพลิกผ่านอ่านหน้าต่อไป
นี่คือตำราฝีเท้าทะยานเมฆ หาเจอจากของที่ท่านอาจารย์เก็บไว้ในห้วงมิติ อ่านไปสักพัก ท่าฝีเท้าด้านในยอดเยี่ยมกว่าฝีเท้าต้นฉบับของเธอยิ่งนัก จึงอ่านตั้งแต่ออกจากเวิ้งสวนท้อมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังตัดใจวางได้ไม่ลงเลย
จนกระทั่ง เมื่อได้กลิ่นหอมหวน ถึงจะเงยหน้าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ท่านพี่ ท่านได้กลิ่นอะไรหรือไม่?” เธอมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายน้อยๆ ได้กลิ่นหอมหวน จึงกลืนน้ำลายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เห็นท่าทางเช่นแมวตะกละของนาง กวนสีหลิ่นก็หัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะยื่นมือไปเขกลงเบาๆ บนหัวนาง “จมูกเจ้านี่ดีแต่เรื่องกินจริงๆ ถึงมีผ้าม่านกั้นไว้ เจ้าก็ยังได้กลิ่นหอมของชงโหยวปิ่งอีกรึ?”
“ใช่ๆ เป็นชงโหยวปิ่ง” เธอกอดแขนเขาเขย่าทั้งใบหน้าอมยิ้ม “ท่านพี่ ท่านช่วยไปซื้อให้ข้าทีสิ ข้าเอาสองชิ้นนะ” แล้วยกมือชูสองนิ้วส่ายไปมา
“ได้ๆ ข้าจะไปซื้อให้” เขาส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างช่วยไม่ได้
และตอนนี้ เหลิ่งซวงที่ควบรถม้าได้ยินบทสนทนาด้านใน จึงชะลอความเร็วรถลง
กวนสีหลิ่นแหวกผ้าม่านออกลงจากรถม้า เอ่ยกับเหลิ่งซวงว่า “เจ้าเอารถม้าไปจอดไว้นะ ข้าไปซื้อขนม จะรีบกลับมา” ระหว่างที่พูด คนก็เดินไปยังแผงขายของที่อยู่ไม่ไกล
เหลิ่งซวงนำรถม้าไปจอดรอไว้อีกด้านหนึ่ง ก่อนจะเดินไปดูแผงขายของข้างๆ กัน
“ท่านอา เอาชงโหยวปิ่งมาสี่ชิ้นนะ” กวนสีหลิ่นล้วงเงินออกมาพลางตะโกนบอก
“คุณชาย เอาซุปถั่วเขียวอีกสองชามไหม? กินชงโหยวปิ่งคู่กับซุปถั่วเขียว รสชาติจะดีที่สุดเลยขอรับ” ชายชราห่อขนมที่ร้อนกรุ่น พลางเอ่ยถาม
“ก็ดี งั้นเอามาสองชาม ไม่สิ สามชามนะ ท่านช่วยห่อให้ข้าอย่างดีนะ จะได้ถือไปสะดวกๆ”
“ได้ๆๆ” ชายชราหยีตายิ้ม แล้วเร่งรีบห่อซุปถั่วเขียวอีกสามชามให้เขา
บริเวณไม่ไกล มู่หรงอี้เซวียนที่ออกมาจากศาลาซุ้มหยกพร้อมกับเฟิ่งชิงเกอเหลือบมองไปโดยไม่ตั้งใจ ขณะที่เห็นชายหนุ่มกำลังซื้อของอยู่หน้าแผง ก็ตกใจอย่างอดไม่ได้ ในดวงตาฉายแววระรื่น
เป็นเขา? พี่ชายของสาวน้อยชุดแดงผู้นั้น?
เขาอยู่ที่นี่ งั้นสาวน้อยชุดแดงก็อยู่ที่นี่ด้วยสินะ? นึกถึงตรงนี้ ใจเขาเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกที่ทั้งกังวลและเฝ้ารอแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจ
“ท่านพี่มู่หรง? เป็นอะไรรึเจ้าคะ?”
เฟิ่งชิงเกอที่เกาะเขาอยู่ เอ่ยถามอย่างแคลงใจ เห็นเขายืนนิ่งไม่ไหวติง จึงหันมองตามสายตาไป เห็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาและกำลังซื้อชงโหยวปิ่งอยู่
“ท่านพี่มู่หรงรู้จักเขารึเจ้าคะ?”
…………………………………………………….
ตอนที่ 106 นางอยู่ตรงนั้น?
“อืม เป็นเพื่อนคนหนึ่ง ข้าจะเข้าไปทักทายเสียหน่อย เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้สักครู่นะ” เขากำชับบอกอย่างลนลาน เห็นคนผู้นั้นจะจากไป จึงรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา
เมื่อเฟิ่งชิงเกอเห็น ก็แปลกใจเล็กน้อย สายตาจับจ้องพินิจมองบนร่างชายหนุ่มผู้นั้น ดูไม่ออกเลยว่ามีตรงไหนที่โดดเด่น
ขณะที่กวนสีหลิ่นซื้อของเรียบร้อยและกำลังจะเตรียมตัวกลับ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังลอยมาข้างหู
“คุณชายท่านนี้”
มู่หรงอี้เซวียนเรียกไว้ มาถึงเบื้องหน้าเขา ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามผุดรอยยิ้มอ่อนโยน “วันนั้นจากกันที่หมู่บ้านป่าหิน นึกไม่ถึงว่าจะพบคุณชายอีกครั้งที่เมืองอวิ๋นเยวี่ยแห่งนี้”
กวนสีหลิ่นมองเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจนิดหน่อย “ท่านคือ?” จำคนคนนี้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง
เห็นเขานึกไม่ออก มู่หรงอี้เซวียนยิ้มเจื่อนน้อยๆ แต่ยังกลับมาเป็นปกติได้ในทันที กล่าวว่า “ข้าแซ่มู่หรง ชื่ออี้เซวียน”
“มู่หรงอี้เซวียน?”
กวนสีหลิ่นตะลึงเล็กน้อย จากนั้นค่อยมองเขาอย่างประหลาดและตื่นเต้นใจ แม้แต่น้ำเสียงก็ยังยกสูงขึ้นน้อยๆ บางส่วน
“ท่านคือมู่หรงอี้เซวียน? ท่านอ๋องสามแห่งแคว้นแสงสุริยัน? อัจฉริยะในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ผู้นั้นรึ?”
มู่หรงอี้เซวียน ชื่อนี้ในฐานะคนของตระกูลกวนแห่งเมืองอวิ๋นเยวี่ยเช่นเขาย่อมเคยได้ยินมาเป็นธรรมดา แต่กลับไม่เคยพบเจอกันมาก่อน รู้เพียงว่า คนผู้นี้ไม่เพียงเล่าลือว่าเก่งกาจยิ่งนัก หนำซ้ำยังเป็นอัจฉริยะในการฝึกฝนวิชาในหมู่คนรุ่นหลัง ผู้มีพรสวรรค์ดั่งฟ้าประทาน นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบเจอ
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็ตื่นเต้นอยู่ในใจ “ท่านอ๋องสาม ข้าอยากพบท่านมานานแล้ว นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะเจอท่านบนถนนอย่างไม่คาดคิด ช่างมีวาสนาจริงๆ!”
ไม่รอให้เขาปริปาก ก็เอ่ยอีกว่า “ท่านรู้หรือไม่? ท่านเป็นเป้าหมายของข้ามาโดยตลอด เมื่อก่อนข้าคิดหมั่นเพียรฝึกฝนวิชา เพื่อโค่นล้มท่านในภายหลัง”
ตอนที่ฟังประโยคก่อนหน้านี้ รอยยิ้มมู่หรงอี้เซวียนก็ยิ่งลึกขึ้น กำลังจะเอ่ยปากถามว่าน้องสาวท่านมาด้วยหรือไม่? แต่หลังจากได้ยินประโยคที่ตามท้ายมา รอยยิ้มบนใบหน้ากลับแข็งทื่อน้อยๆ แอบคิดว่า ‘คนผู้นี้พูดจาไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ’
แต่ว่า เขากลับไม่ถือสาหาความอะไร กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ายังไม่ถามชื่อเสียงเรียงนามคุณชายเลย?”
“ข้าชื่อกวนสีหลิ่น” เขารายงานชื่อตัวเองอย่างสุขใจนัก
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายกวน ไม่ทราบว่าน้องสาวท่านมาด้วยกันกับคุณชายหรือไม่?” ตอนที่เดินเข้ามา ก็สังเกตเห็นว่าขนมที่เขาถือไว้ในมือมีหลายชุด หรือว่าจะซื้อให้น้องสาวคนนั้น? นางชอบกินของพวกนี้รึ?
“หืม?”
ได้ยินเขาเอ่ยถึงน้องสาวสุดที่รัก กวนสีหลิ่นจึงเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าลง ถลึงมองเขาด้วยความระแวดระวัง “ท่านถามถึงน้องสาวข้าทำไมรึ? ท่านกับนางหาได้รู้จักกันไม่”
“เป็นเช่นนี้ ครั้งก่อนที่หมู่บ้านป่าหิน ข้าล่วงเกินน้องสาวท่านโดยไม่ตั้งใจ อยากหาโอกาสขอโทษนางมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยได้เจอกันเลย” เจอกันแล้ว ครั้งนั้นในเวิ้งสวนท้อเห็นนางรางๆ ราวภูตพรายดอกไม้ หลังจากเขากลับมา ก็จิตใจเหม่อลอยตลอด หัวใจยิ่งดำดิ่งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ถึงขั้นว่า เวลาช่วงนี้ ก็เอาแต่นึกถึงความรู้สึกระหว่างเขากับชิงเกอ และคิดจะหาโอกาสเหมาะสมเพื่อบอกกล่าวคำพูดนี้กับนาง ทว่าก็หาโอกาสดีๆ ไม่ได้มาโดยตลอด
มือที่ถือชงโหยวปิ่งส่ายไปมา “ไม่ต้องหรอก น้องหญิงข้าใจกว้างมาก นางคงไม่ใส่ใจที่ท่านล่วงเกินอะไรไป” ไม่สนใจ นั่นเพราะท่านยังไม่ทันยุให้โกรธ หากทำให้โกรธแล้ว นางถึงจะไม่สนใจเรื่องใจกว้างใจแคบอะไรอีก
“อ๊ะ! นางยังรอชงโหยวปิ่งของข้าอยู่! อยู่คุยไม่ได้แล้ว ข้าไปก่อนนะ”
พอนึกถึงเรื่องของน้องสาวเขา เรื่องนอกเหนือจากนั้นถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ตอนนี้จะทักทายเขาก็ไม่มีอารมณ์แล้ว ก่อนจะเร่งรีบวิ่งไปที่รถม้า ด้วยกลัวว่านางจะรอนาน
“คุณชายกวน…”
สายตามู่หรงอี้เซวียนมองตามทิศทางที่เขาวิ่งไป จับจ้องไปบนรถม้าที่จอดพักอยู่อีกด้าน หัวใจก็สั่นไหว
นางอยู่ด้านในรึ?