ตอนที่ 153 เฟิ่งจิ่วกลับบ้าน!
ชายหนุ่มชุดฟ้าเห็นนางมองพวกเขาอยู่นอกศาลา ก็ไม่พูดอะไร เลิกคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ ถามว่า “คุณหนูใหญ่มีธุระรึขอรับ?”
ซูรั่วอวิ๋นดึงสติกลับมา สายตามองผ่านใบหน้าทั้งแปดคนไป เอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกท่านชื่ออะไรกันบ้างล่ะ?”
“ชื่อรึ?”
เขาเดินยิ้มเข้ามา พิงเสาศาลาพลางพูดว่า “เหล่าผู้เฒ่าที่คอยสั่งการพวกเรากำชับไว้ ชื่อแซ่จะบอกให้นายท่านฟังได้เท่านั้น ดังนั้น ขณะที่คุณหนูใหญ่ยังไม่ได้เป็นนายหญิง พวกเราก็ไม่ถือสาที่คุณหนูจะใช้ตัวเลขเรียกพวกเรา โดยจัดตัวเลขให้แทนชื่อขอรับ”
ชายหนุ่มนายหนึ่งที่เดินมาจากด้านหลังสองแขนกอดอกชำเลืองมองคนข้างกายแวบหนึ่ง ก่อนจะมองไปยังคนด้านนอกศาลา ท่าทางบนใบหน้ามีความเอ้อระเหยอยู่บางส่วน กล่าวว่า “นางยังไม่ใช่นายหญิงพวกเรานะ! ซ้ำยังออกคำสั่งกับพวกเราไม่ได้ ต่อให้จัดตัวเลขแทนชื่อก็ไม่มีทางบังคับบัญชาเราได้อยู่ดี”
“คุณหนูใหญ่ แม้เป็นองครักษ์ตระกูลเฟิ่ง แต่พวกเรายังไม่ยอมรับท่าน จะทำให้ยอมรับได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ความสามารถท่านแล้ว” อีกคนหนึ่งเดินเข้ามา น้ำเสียงไม่เกรงใจอย่างมาก
อันที่จริง แม้เป็นองครักษ์ตระกูลเฟิ่ง กับคนที่ไม่ใช่นายพวกเขา ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้ากันมากนัก
ได้ยินเช่นนี้ ซูรั่วอวิ๋นกลับไม่โกรธ เผยรอยยิ้มมองพวกเขาแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยคำพูดมีความมั่นใจ “พวกเจ้าจะมาสวามิภักดิ์กับข้าแน่” สิ้นสุดน้ำเสียง ก็หมุนตัวเดินไปยังเรือนหน้า
ในความคิดนาง เมื่อเฟิ่งชิงเกอตายไปแล้วจริงๆ ไม่ช้าก็เร็วกององครักษ์นี้ต้องมาอยู่ในมือ ไม่เชื่อหรอก ว่าด้วยความสามารถนางจะไม่มีทางทำให้พวกเขายอมจำนนได้!
รอนางเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มชุดดำก็เดินเข้ามา กวาดมองสองคนข้างๆ เอ่ยว่า “พวกเจ้าอย่าได้ทำเกินไปนัก สุดท้ายนางก็เป็นลูกสาวท่านผู้นำตระกูล เป็นนายหญิงที่เราต้องจงรักภักดี”
“แน่ล่ะ! เพราะเจ้ารู้ว่านางมีความสามารถที่ทำให้พวกเรายินยอมพร้อมใจเรียกนางว่านายหญิงรึ?” ชายหนุ่มท่าทางลอยชายพูดอย่างไม่เห็นด้วยนัก ชัดเจนว่าไม่เห็นนางอยู่ในสายตา
“งั้นก็อย่าลืมที่พวกตาเฒ่ากำชับเราไว้เสมอล่ะ”
ฟังคำพูดนี้ พวกเขาต่างเงียบเชียบ ไม่มีใครปริปากพูดอะไรให้มากความอีก
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มชุดดำจึงเอ่ยว่า “จวนจะได้เวลาแล้ว พวกเราลองไปดูด้านหน้ากันเถอะ!”
“ก็ดี” พวกเขาขานรับ แล้วไปยังเรือนหน้าพร้อมๆ กัน
และในเวลานี้ ทิศทางที่ไปยังจวนตระกูลเฟิ่ง เพราะฮ่องเต้เสด็จประพาส ทำให้ชาวบ้านบนถนนใหญ่พากันติดสอยห้อยตามพลางเฝ้าชม ต่างมองกองทัพท่าทางองอาจมุ่งไปยังจวนตระกูลเฟิ่ง และท่านเจ้าแคว้นสวมเสื้อคลุมมังกรเหลืองอร่ามนั่งตัวตั้งตรงอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนราชรถมังกร หันมองไปด้านข้าง มู่หรงอี้เซวียนที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงทั่วร่างมีกลิ่นอายสูงศักดิ์กระจายอยู่กำลังขี่ม้าตามไป
เหล่าผู้นำตระกูลในจวนได้ยินว่าแม้แต่เจ้าแคว้นยังมาด้วย ก็แปลกใจอยู่บ้าง เรื่องที่จวนตระกูลเฟิ่งจะประกาศให้เฟิ่งชิงเกอเป็นผู้นำ ปกติไม่ต้องให้ท่านเจ้าแคว้นมาด้วยตัวเอง ทว่าตอนนี้กลับมาเยือน ความหมายที่แฝงอยู่นี้ ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
แม้เป็นเช่นนี้ ทุกคนยังมารับเสด็จนอกจวน สุดท้าย อีกฝ่ายก็เป็นเจ้าแคว้นแสงสุริยัน ซ้ำยังเป็นผู้แกร่งกล้าที่มีพละกำลังมหาศาล พวกเขาจึงไม่กล้าดูหมิ่นเป็นธรรมดา
ในฐานะที่ตอนนี้เป็นผู้ดูแลจวนตระกูลเฟิ่ง ซูรั่วอวิ๋นเดินออกมาจากฝูงชน ทำความเคารพแก่ราชรถมังกร “หม่อมฉันเฟิ่งชิงเกอ คารวะท่านเจ้าแคว้น”
“คารวะท่านเจ้าแคว้น” เหล่าผู้นำตระกูลเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียง และทำความเคารพเล็กน้อย
“อืม” น้ำเสียงทุ้มต่ำลอยมาจากบนราชรถมังกร เจ้าแคว้นสวมเสื้อคลุมมังกรเหลืองอร่ามเดินลงมา หลังจากใช้สายตาเฉียบแหลมที่เคลือบแฝงด้วยท่าทางสง่างามกวาดมองผู้คน ถึงจะก้าวย่างเดินไปด้านใน
หลังจากเขาเข้าไป ทุกคนล้วนถอนหายใจเบาๆ พร้อมกันโดยไม่นัดหมาย มองหน้ากันแวบหนึ่ง เมื่อกำลังจะเดินตามเข้าไปด้านใน กลับเห็นรถม้าคันหนึ่งค่อยๆ หยุดลงตรงหน้าประตูจวน…
……………………………
ตอนที่ 154 ท่านผู้เฒ่ากลับมาแล้ว!
ล้วนมากันหมดแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมยังมีคนมาอีก?
ทุกคนต่างสงสัยอยู่ในใจ ฝีเท้าที่เดินไปด้านในชะงักลงน้อยๆ พินิจมองรถม้าธรรมดาๆ คันนั้นที่จอดอยู่หน้าประตู
หลังจากมู่หรงอี้เซวียนที่เดิมทีเตรียมจะเดินเข้าไปเห็นรถม้าคันนั้นก็หยุดฝีเท้าลง ไม่เพียงคุ้นตานิดหน่อยกับรถม้า ยังรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้างกับสาวน้อยชุดดำที่ควบม้ามา คล้ายว่าเป็นคนข้างกายแม่นางท่านนั้นเมื่อครั้งก่อน…
“เสี่ยวจิ่ว ข้าประคองเจ้าเอง” กวนสีหลิ่นในชุดสีดำโดดลงมาจากบนรถม้า ก่อนจะยื่นมือไปประคองคนที่ออกมาด้านหลังไว้อีกรอบ
เสียงเรียกเสี่ยวจิ่วนั้น ทำให้มู่หรงอี้เซวียนใจเต้นขึ้นมา ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ ขยับฝีเท้าไม่ได้ จึงมองตรงไปยังคนที่เดินออกมาจากรถม้าอยู่เช่นนั้น
ซูรั่วอวิ๋นเวลานี้ไม่ทันมองคนที่เดินลงมาจากรถม้า เพราะท่านเจ้าแคว้นเข้าจวน จึงคอยรับรองอยู่ด้านหน้า ด้วยเหตุนี้ นางไม่เพียงไม่เห็นว่ากวนสีหลิ่นกับเฟิ่งจิ่วมา แม้แต่คนสุดท้ายที่เดินลงมาจากรถม้า ก็ไม่ได้เหลียวมอง มิเช่นนั้น ต้องตกใจเสียจนสีหน้าซีดเผือดเป็นแน่
“ซี๊ด! นั่น นั่นท่านผู้เฒ่าเฟิ่งไม่ใช่หรือ?”
เมื่อเหล่าท่านผู้นำตระกูลเห็นชายชราที่สองชายหญิงประคองลงมาจากรถม้า ถึงจะเห็นชัดเจน ว่าชายชราผู้นั้นคือท่านผู้เฒ่าแห่งจวนตระกูลเฟิ่งที่หายตัวไป!
หนำซ้ำ เห็นท่าทางนั้นเหมือนคนวิกลจริตตรงไหนกัน? ตอนนี้ ทุกคนจึงล้วนมองล้อมมาทางเขา
“ท่านผู้เฒ่าเฟิ่ง ท่านกลับมาแล้ว!”
“ท่านผู้เฒ่าเฟิ่ง ช่วงนี้ท่านไม่อยู่ในจวน ท่านแม่ทัพเฟิ่งกังวลใจเสียจนล้มป่วย”
“ท่านผู้เฒ่าเฟิ่ง ช่วงนี้ท่านไปไหนมารึ?”
ผู้คนต่างแย่งกันถามไถ่ น้ำเสียงมีความเป็นห่วง เพราะที่มาวันนี้ล้วนเป็นเพียงวงศ์ตระกูลใหญ่ชั้นสูงในเมืองอวิ๋นเยวี่ย คนของตระกูลระดับกลางกลับไม่เหลียวมองแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ สำหรับพวกเขา กวนสีหลิ่นกับเฟิ่งจิ่วจึงเป็นแค่คนแปลกหน้า ไม่มีใครรู้จัก
“เหอะๆ ทำให้ทุกท่านกังวลเสียแล้ว ข้าไม่เป็นอะไรหรอก” ท่านผู้เฒ่าพูดอย่างหัวเราะเหอะๆ พลางส่งสัญญาณพยักหน้าให้กับทุกคน
“ท่านปู่เฟิ่ง” มู่หรงอี้เซวียนเดินเข้ามา เห็นอาการเขาฟื้นตัวได้ไม่เลว ใจก็อดสงสัยไม่ได้ เขามาด้วยกันกับสองพี่น้องกวนสีหลิ่นได้อย่างไร?
สายตาหันมองจับจ้องสำรวจบนร่างเฟิ่งจิ่ว
ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งเห็นเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “ที่แท้เป็นอี้เซวียนนี่เอง! วันนี้เจ้าก็มารึ? ข้าได้ยินว่าท่านเจ้าแคว้นก็มาด้วย?” เห็นเขากำลังมองแม่หนูเฟิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งลึกขึ้นบางส่วน
สองคนนี้ มองเช่นไรก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก น่าเสียดาย ที่ใบหน้าแม่หนูเฟิ่ง…
เมื่อองครักษ์จวนตระกูลเฟิ่งเห็นว่าคนที่ลงมาจากรถม้าคือท่านผู้เฒ่า ก็วิ่งปรี่เข้าไปด้านใน พลางตะโกนลั่นว่า “เป็นท่านผู้เฒ่า! ท่านผู้เฒ่ากลับมาแล้ว! ท่านผู้เฒ่ากลับมาแล้ว…”
“ท่านปู่ พวกเราเข้าไปกันเถอะ!”
เฟิ่งจิ่วไม่มองมู่หรงอี้เซวียน แต่ประคองท่านผู้เฒ่าเดินไปด้านใน กวนสีหลิ่นตามอยู่ข้างขวาท่านผู้เฒ่า ส่วนเหลิ่งซวงก็ตามอยู่ด้านหลังเธอ
“อะ อะไร? เจ้าว่าอะไรนะ?”
หลังจากซูรั่วอวิ๋นที่กำลังรับรองท่านเจ้าแคว้นไปนั่งยังตำแหน่งที่อาวุโสในเรือนได้ยินคำพูดองครักษ์ผู้นั้น ก็ใบหน้าขาวซีดด้วยความตกใจ ร่างกายสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว “เจ้าบอกว่าใครกลับมา? ใคร?”
“เป็นท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่ากลับมาแล้วขอรับ!” องครักษ์บอกอย่างประหลาดใจ
ส่วนท่านเจ้าแคว้นที่นั่งดื่มชาอยู่ก็สังเกตเห็นท่าทางนางผิดปกติ จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แปลกใจนิดหน่อยกับปฏิกิริยานางเวลานี้ที่ตื่นตกใจและมีความตื่นตระหนก
ปู่ตัวเองกลับมา นางควรดีใจไม่ใช่หรือ? ไยจึงโต้ตอบเช่นนี้เล่า?
………………………………