ตอนที่ 207 แอบหนีไปแล้ว!
“ความวาบหวามล้นปรี่?”
เมื่อน้ำเสียงทุ้มต่ำที่มีแรงดึงดูดลอยเข้าหูมาจากด้านหลัง ร่างกายอิ่งอีแข็งทื่อ เห็นฮุยหลางก้มหน้าลง ยืนด้วยความเคารพ แอบด่าทออย่างอดไม่ได้ว่า ‘เจ้ามันไม่ใช่พี่น้องข้าจริงๆ นายท่านมาก็ไม่เตือนกันบ้าง!’
จากนั้นค่อยหันกายไป ครั้นเห็นหน้าบานแฉ่งของนายท่าน เขายกริมฝีปากที่แข็งทื่อขึ้นเรียก “นาย นายท่าน”
“ช่วงนี้บนใบหน้าข้ามีความวาบหวามล้นปรี่?” เจ้าตำหนักยมราชชำเลืองมองเขา แววตาที่ทรงอำนาจและเย็นเยียบจับจ้องบนร่างอิ่งอี ทำให้หวั่นใจอย่างอธิบายไม่ได้
“ไม่ ไม่ใช่นะขอรับ” เขาก้มหน้าลง ท่าทางเงอะงะ
“ข้าเหมือนได้ยินว่าเจ้าอยากรู้อยากเห็นเรื่องผู้ชายนัก? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฮุยหลาง พาอิ่งอีไปทิ้งไว้หอสายลมหนนาว ให้คอยสังเกตการณ์อยู่สักสามวัน” พูดจบก็หันตัวเดินกลับไป
“นายท่าน…”
อิ่งอีตะโกนตามหลังเจ้าตำหนักทั้งน้ำตานองหน้า “ข้าน้อยไม่สนใจผู้ชาย และไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรด้วย หอสายลมหนาว ข้าน้อยไม่อยากไปนะขอรับ…”
“ฮี่ๆๆ เจ้าไม่ต้องร้องแล้ว คำที่นายท่านพูดชั่วนาตาปีไม่เคยคืนคำ เดินตรงไปเลย สหายอย่างข้าจะไปส่งเจ้าด้วยตัวเอง ฮ่าๆๆ!” ฮุยหลางหัวเราะอย่างย่ามใจ แล้วตบๆ ไหล่พลางลากเขาออกไป
อิ่งอีถลึงมองอีกฝ่าย ตะคอกว่า “ฮุยหลาง! เจ้าจงใจใช่หรือไม่?”
“ข้าขยิบตาให้เจ้าตลอด เจ้าไม่ตอบรับเองยังจะโทษใครอีก! เอาล่ะๆ นายท่านปฏิบัติต่อเจ้าดีมากนัก ครั้งก่อนข้าถูกทิ้งไว้หอสายลมหนาวยังไม่ได้สังเกตการณ์ ครั้งนี้เจ้าไม่เหมือนกัน ตั้งใจสังเกตการณ์ดีๆ ล่ะ ทีหลังจะได้ไม่ถามคำถามเช่นนั้นออกมาอีก”
เช่นนี้เอง ฮุยหลางเพิ่งกลับมาไม่ถึงสองวัน อิ่งอีก็ถูกส่งไปหอสายลมหนาวเสียแล้ว…
แต่ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเฟิ่งจิ่วในเรือนเลย เพราะตอนนี้เธอ…กำลังเตรียมจะหนีไปด้านบน
วันต่อมาตอนเที่ยงวัน ฮุยหลางมายังเรือนเฟิ่งจิ่ว ก้าวไปเคาะประตู “ภูตหมอ”
เฟิ่งจิ่วในห้องเปิดประตูเดินออกมา เห็นเป็นฮุยหลางจึงแปลกใจเล็กน้อย ถามว่า “มีธุระอะไร?” ฮุยหลางคนนี้นึกไม่ถึงว่าจะยังกล้ามาหา? ไม่กลัวเธอฝังเข็มเขาอีกรึ?
“นายท่านให้เจ้าเข้าไปกินข้าวด้วยกัน” เขามองใบหน้าตรงหน้าที่ออกสีเขียวอมดำ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมนายท่านถึงอยากเรียกคนผู้นี้เข้าไปกินข้าวเป็นเพื่อนด้วย?
ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วก็ยิ้มกระอักกระอ่วน “ไม่ต้องๆ เจ้าบอกเขาไปว่าข้ากินแล้ว” เอ่ยจบก็ถอยกลับไปทันที ก่อนจะปิดประตูห้องลง
เห็นเช่นนี้ฮุยหลางขมวดคิ้ว กลับไม่กล้าบังคับพาคนไป ด้วยเหตุนี้จึงกลับไปรายงานกับนายท่าน
ทว่าในเรือนหลัก หลังจากฟังฮุยหลางรายงานจบ สีหน้าเจ้าตำหนักยมราชก็ขรึมลงน้อยๆ ผู้หญิงคนนี้กำลังหลบหน้าเขา!
เห็นนายท่านสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ฮุยหลางไม่กล้าปริปาก ยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ อย่างคร่ำเคร่ง
และเวลานี้เอง ผู้ฝึกตนชุดดำนายหนึ่งเดินจ้ำอ้าวเข้ามาจากด้านนอก คุกเข่าข้างหนึ่งลงคำนับ “ข้าน้อยคารวะนายท่าน!”
เจ้าตำหนักยมราชมองเขาแวบหนึ่ง ถามว่า “เจ้ากลับมาทำไม?”
“นายท่าน ข้าน้อยจับคนมาแล้ว กำลังรอนายท่านไปสอบสวนขอรับ”
ได้ยินคำพูดนี้ แววตาลึกล้ำของเจ้าตำหนักยมราชก็หรี่ลง ลุกยืนขึ้นมาทันใด “นำทางไป!”
เมื่อได้ยินว่าเจ้าตำหนักยมราชออกไปข้างนอกในตอนเย็น หลินเหล่าตรวจสอบสมุนไพรเรียบร้อย เฟิ่งจิ่วก็นำโสมพันปีติดไปด้วย เก็บเข้าห้วงมิติไปทันใด จากนั้นเดินวางมาดเต๊ะท่าไปด้านนอก ก้าวเข้าสู่ค่ายกล และออกจากตำหนักยมราชไปอย่างเงียบเชียบ…
ตอนค่ำเจ้าตำหนักยมราชกลับมา หลินเหล่ารีบร้อนมารายงานด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปยกใหญ่ “นายท่าน แย่แล้วขอรับ! ภูตน้อยขโมยโสมพันปีหนีไป!”
………………………………………………….
ตอนที่ 208 หนีออกมาแล้ว!
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าเจ้าตำหนักยมราชพลันมืดดำ กลิ่นอายอันตรายที่เย็นเยียบทั่วร่างแผ่กระจาย ดวงตาลึกล้ำหรี่ลง ถลึงมองหลินเหล่า “หนีไปแล้ว?”
พอรู้สึกถึงกลิ่นอายเย็นเยือกในอากาศ หลินเหล่ากับฮุยหลางที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าตำหนักก็เกร็งตัวขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
“ขอรับ ใช่ขอรับ ตอนที่ข้าน้อยเพิ่งไปหอโอสถ เห็นว่าโสมพันปีหายไป จึงไปหาภูตน้อยดู กลับพบว่าเขาก็หายไปด้วย พอถามจากทหารอารักขา บอกว่าเมื่อตอนเย็นเห็นเขาเดินไปเดินมา ไม่มีใครสังเกต ก็ ก็เลย…”
เจ้าตำหนักยมราชหรี่ตาลง มองท้องฟ้ามืดสนิท สายตาเคร่งขรึม เม้มริมฝีปากแน่นก่อนกล่าวเสียงเข้ม “ฮุยหลาง! รีบพาคนออกไปตามหาเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!” ฮุยหลางรับคำสั่ง ขณะกำลังจะก้าวออกไปก็ได้ยินเสียงเจ้านายดังมา
“หากหาตัวพบ อย่าใช้กำลังจับ ไม่ให้เขาบาดเจ็บ”
ได้ยินเช่นนี้ ฮุยหลางกระตุกมุมปาก เร่งรีบก้มหน้าลงตอบรับว่า “ขอรับ!” จากนั้นเร่งฝีเท้าจากไป
เจ้าตำหนักยมราชสาวเท้าเดิน ไม่ได้กลับเรือนหลัก กลับไปยังเรือนที่พำนักของเฟิ่งจิ่ว หลินเหล่าที่ตามอยู่ด้านหลังเห็นแล้วอ้าปากค้าง จำใจถอยไปเงียบๆ
ครั้นผลักประตูออก เห็นห้องที่ว่างเปล่า แววตาเจ้าตำหนักยมราชหนักอึ้งเล็กน้อย ในอากาศคล้ายยังมีกลิ่นหอมของยากระจายอยู่ไม่จางหาย เขาสาวก้าวเดินไปรอบๆ ห้อง มาถึงมุมห้องด้านใน และสะดุดเข้ากับกระดาษที่ถูกทับไว้ใต้หมอนเผยให้เห็นเพียงมุมแผ่น จึงก้าวเข้าไปดึงออกมา
เมื่อสายตาตกบนกระดาษ มุมปากยกขึ้นอย่างอดไม่ได้ ใบหน้างดงามองอาจมีความอ่อนโยนที่เห็นได้ยากปรากฏ
“ช่างเป็นสตรีที่กล้าคิดลามกแต่ไม่กล้าทำ”
บนกระดาษวาดรูปสองคนไว้แจ่มชัด นางที่แต่งกายเยี่ยงบุรุษ นิ้วชี้เชยคางเขาที่เปลือยกายขึ้น อีกมือหนึ่งแตะบนกล้ามหน้าท้องเขา สายตากลับมองมายังนอกกระดาษ แฝงนัยยั่วยุอย่างเหลือล้น
สายตาจับจ้องอักษรที่มีลูกศรชี้อยู่เหนือศีรษะสองคนตัวเล็กในรูป อดไม่ได้พึมพำเบาๆ “เจ้าตำหนักยมราชฝ่ายรับ? ภูตหมอฝ่ายรุก?
ผู้หญิงคนนี้กวนประสาทเสียจริง”
เขาตำหนิยิ้มๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำฮึกเหิม ในใจกลับหวังว่าจะพบนางได้ในเร็ววัน ความรู้สึกที่เรียกว่าคิดถึงผุดขึ้นในใจอย่างไม่อาจหักห้าม จิตใจว้าวุ่นอย่างไม่อาจถอนตัว…
ทว่าในใจกลับมีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นมา เขาคิดว่านางหนีไปรอบนี้ เดาว่าคนที่ตนส่งไปก็คงไล่ตามไม่ทัน ถึงอย่างไรสาวน้อยผู้นั้นก็เจ้าเล่ห์ราวจิ้งจอก เล่ห์เหลี่ยมพิลึกพิลั่น หากปล่อยนางหนีไป เกรงว่าจะตามกลับมาอีกก็ยากแล้ว
ถึงเวลานี้เขาเพิ่งนึกออก นอกจากรู้ว่านางเป็นภูตหมอ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่ชื่อแซ่ว่าอะไรก็ยังไม่รู้ หากพวกฮุยหลางตามตัวกลับมาไม่ได้ วันหลังอยากจะตามหาอีกก็เกรงว่าจะยิ่งยากขึ้น…
ไม่เป็นไปตามที่เจ้าตำหนักยมราชคาดหวังไว้ เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง ฮุยหลางพาคนกลับมา ฝืนใจรายงานว่า “นายท่าน ข้าน้อยตามหาตลอดทั้งคืน ยังไม่พบเบาะแสภูตหมอเลย เกรงว่า…จะหนีไปแล้วขอรับ”
แววตาเจ้าตำหนักยมราชขรึมลงเล็กน้อย คำตอบนี้อยู่ในการคาดเดา
“ให้คนของตำหนักยมราชคอยสังเกตการณ์ข่าวคราวด้านนอกเสียหน่อย หากได้ยินเรื่องเกี่ยวกับภูตหมอให้รีบกลับมารายงาน”
“ขอรับ!” ฮุยหลางขานรับด้วยความเคารพ ก่อนจะลงไปสั่งการ
เจ้าตำหนักยมราชยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในสวน มองไปบนท้องฟ้า มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย พึมพำว่า “พวกเราต้องได้พบกันอีกแน่นอน”
และตอนนี้เอง เฟิ่งจิ่วที่ให้คนของตำหนักยมราชตามหาทั้งคืนแต่ไร้ผลกำลังเดินขึ้นเนินเขาทั้งใบหน้ามอมแมมคลุกฝุ่น เดินไปพลางมองป่าไม้ด้านหน้า หัวเราะร่าด้วยความตื่นเต้น “ฮ่าๆๆ! ในที่สุดเราก็ปีนออกมาได้!”
“อ๊ะ!”
เพิ่งสิ้นเสียงหัวเราะก็ก้าวเท้าเสียหลัก ตัวกลิ้งลงไปทันที
………………………………………………….