ตอนที่ 249 ประชันกันด้วยคมมีด!
เห็นฝ่ามือผู้นำตระกูลหลิ่วกำหมัดโจมตีมาพร้อมกับกลิ่นอายอันดุดัน แววตาเฟิ่งจิ่วหรี่ลง กลิ่นอายพลังวิญญาณบนร่างเคลื่อนย้ายไปถึงกลางฝ่ามือขวางการโจมตีไว้ สองหมัดปะทะกัน เสียงชกกระทับกันดังผัวะๆ ตามด้วยเสียงกระแสลมบ้าคลั่งส่งเสียงหวือหวาออกมา
กลิ่นอายบริเวณรอบๆ ยิ่งหดหู่เพราะพลังวิญญาณในร่างทั้งสองที่พรั่งพรู เมื่อเห็นหนุ่มน้อยชุดแดงสามารถรับมือกับท่านผู้นำตระกูลหลิ่วโดยไม่ล้มไปตามลม ผู้คนที่มุงดูกันก็แอบตกใจตาค้าง
ผู้นำตระกูลหลิ่วเป็นผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานช่วงที่หก และไม่ต้องพูดถึงว่าหากระดับการฝึกวิชาเซียนต่างกันหนึ่งขั้นก็บดขยี้คนตายได้ ยิ่งไปกว่านั้น หนุ่มน้อยชุดแดงนั้นเป็นแค่ระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณเท่านั้น ถึงแม้ด้วยอายุเท่านี้จะมีวรยุทธ์เช่นนี้ก็เห็นได้ยากยิ่งแล้ว
แต่ ใช้ความอ่อนด้อยสู้ความแข็งแกร่งโดยไม่แพ้พ่าย เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้มาแต่ไหนแต่ไร ทว่าตอนกลับกลายเป็นว่า…
“ผัวะ!”
หมัดทั้งสองโจมตีเข้าหากัน สองกระแสลมระเบิดตรงออกมาจากหมัดพวกเขา ก่อตัวกลายเป็นกระแสพลังวิญญาณที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าขึ้นตรงหน้ากำปั้น และเพราะสองกระแสลมมาชนกัน ร่างทั้งสองจึงพลันถูกโจมตีถอยออกไปหลายก้าว
ผู้นำตระกูลหลิ่วถอยไปสองสามก้าวถึงจะประคองฝีเท้าไว้มั่น แอบตื่นตระหนกในใจ หนุ่มน้อยผู้นี้ขวางการโจมตีไว้ได้ด้วยรึ? ก็ใช่ หากไม่มีฝีมือเก่งกาจจริง จะสามารถสังหารผู้อาวุโสสามตระกูลหลิ่วเขาได้อย่างไรเล่า?
เฟิ่งจิ่วที่ถอยหลังไปสองสามก้าวคลายหมัดออกหมุนสะบัดมือที่ถูกชนเสียจนเจ็บแปลบ ดวงตาสดใสหรี่ลงครึ่งหนึ่ง ประจันกันเช่นนี้มาได้ ก็จะเข้าใจคร่าวๆ ถึงพละกำลังของผู้นำตระกูลหลิ่ว
แม้วรยุทธ์พลังวิญญาณเธอจะเทียบกับอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ชนะที่ท่ากายและกระบวนท่าแปลกพิลึกพิลั่น อีกฝ่ายอยากจะฆ่าเธอก็ไม่ง่ายดายเพียงนั้น แต่หากอยากจะสังหารอีกฝ่าย กลับไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ผู้อาวุโสระดับสร้างรากฐานคนก่อนหน้า ก็ตายในเงื้อมมือเธอไม่ใช่หรือ?
ที่ต้องพิจารณาตอนนี้ก็คือ หลังจากสังหารผู้นำตระกูลหลิ่ว เธอจะถอนตัวออกไปเช่นไร สุดท้ายแล้ว กำลังของคนคนหนึ่งยอมมีขีดจำกัด ด้วยพละกำลังตอนนี้จะต่อกรกับคนทั้งตระกูลตัวคนเดียวคงรับมือไม่ไหวแน่
“ดูท่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำไป!”
ผู้นำตระกูลหลิ่วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เดิมทียังไม่เผยอาวุธ ก็หยิบมันออกมาในเวลานี้เสียแล้ว
เพียงเห็นแขนเขายื่นไปด้านหน้า ขณะที่ลำแสงหนึ่งฉายออกมา กระบี่ยาวทรงโค้งดั่งต้นหลิวที่ประกายแสงเยือกเย็นโผล่มาในมือ แทบทันทีที่กระบี่ยาวปรากฏขึ้น รอบข้างก็มีเสียงอุทานพร้อมทั้งสูดหายใจลอยมา
“ซี๊ด! นั่นมัน กระบี่ใบหลิว มรดกสืบทอดของตระกูลหลิ่วนี่!”
“นี่เป็นอาวุธวิญญาณชั้นสูง เอามันมาใช้ต่อสู้ พละกำลังเพิ่มขึ้นไม่ใช่เพียงเล็กน้อยเลยนะ!”
“ผู้นำตระกูลหลิ่วผู้นี้ทำเกินไปแล้วกระมัง! สุดท้ายอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่เพียงอายุมากกว่า วรยุทธ์ก็แกร่งกว่าเด็กหนุ่ม ตอนนี้ยังหยิบกระบี่ใบหลิวออกมา นี่มันรังแกกันชัดๆ!”
“พวกเจ้าจะเข้าใจอะไร เด็กหนุ่มนั่นสังหารผู้อาวุโสสามตระกูลหลิ่ว เท่ากับตบหน้าตระกูล หากผู้นำตระกูลคนเดียวยังแพ้พ่ายในเงื้อมมือเด็กหนุ่ม จากนี้ไปตระกูลหลิ่วจะยืนอยู่ในเมืองลิ่วเต้านี้ได้อย่างไรเล่า?”
เสียงพูดคุยรอบๆ ดังอยู่ไม่ขาดสาย ความเห็นแตกต่าง ล้วนกำลังมุงดูกันคึกครื้น คนไม่น้อยหลังจากเห็นภาพนี้ ก็แอบๆ ส่ายหัว ‘หนุ่มน้อยนี่ เกรงว่าวันนี้จะต้องตายอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ’
แววตาเฟิ่งจิ่วเวลานี้จับจ้องบนกระบี่ใบหลิว กลิ่นอายพลังวิญญาณที่ฉายวับอยู่บนตัวกระบี่พิสูจน์ได้ถึงความไม่ธรรมดา แต่ก็รู้ดี ว่าหากเทียบกระบี่เล่มนี้กับกระบี่คมพยับ ก็ยังห่างไกลกันนัก
แต่กระบี่คมพยับไม่เหมาะจะหยิบออกมาใช้ในสถานการณ์เช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงดึงมีดสั้นออกมา
“ฮ่าๆๆๆ! เจ้าเด็กไม่รู้ความ จะใช้มีดสั้นนั่นต่อกรกับข้ารึ?”
มุมปากเฟิ่งจิ่วยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มชั่วร้าย “รับมือท่าน แค่มีดสั้นก็พอแล้ว!”
………………………………………………….
ตอนที่ 250 ดอกไม้สีเลือดเบ่งบาน!
พอคำพูดนี้เอ่ยออกไป ผู้คนรอบๆ ก็สูดหายใจ แอบคิดว่า ‘หนุ่มน้อยนี่ ช่างอวดดีนัก!’
ผู้นำตระกูลหลิ่วได้ยินคำพูดนี้ก็สีหน้าหมองลง คล้ายจะถูกป่วนประสาท กลิ่นอายเยือกเย็นทั่วร่างปะทุออกมา มือที่ถือกระบี่ใบหลิวไว้มีกลิ่นอายพลังวิญญาณพรั่งพรู บนคมกระบี่มีกระแสลมส่งเสียงคำราม พลังกระบี่อันรุนแรงเป็นเช่นใบมีดน้ำแข็งเล็กๆ ทำให้พวกคนที่อยู่ใกล้กับเขาต่างอดไม่ได้ที่จะถอยห่างไปสองสามก้าว
“ข้าจะลองดู ว่าเด็กน้อยอย่างเจ้าจะบ้าบิ่นสักเพียงใดกัน…”
เขายังไม่ทันพูดจบ ก็ชะงักลงเสียดื้อๆ ราวกับถูกคนบีบคอไว้ คำด้านหลังไม่อาจเปล่งออกมาได้อีก เห็นเพียงสีหน้ามืดมนดุร้ายเสียจนทำให้คนหวาดผวา ดวงตาที่แฝงด้วยไฟโทสะถลึงมองนิ่งที่เด็กหนุ่มผู้สมควรตายที่ลงมืออย่างกะทันหัน!
เพราะการลงมือทันทีทันใด และความเร็วที่ไวเสียจนเขาคาดไม่ถึง เมื่อรอเขาตอบโต้กลับมา เห็นเพียงมีดสั้นที่ประกายเย็นเยียบจี้อยู่ใกล้ๆ ลำคอ ในช่วงเวลานั้น ไม่นึกเลยว่าหัวใจเขาจะเต้นแรง พลันมีความหวาดกลัวและตกตะลึงที่ไม่พึงมีขึ้นมา
มือที่ถือกระบี่ไว้ในเวลานี้ยกขึ้นขวางตามสัญชาตญาณ แต่ทำได้เพียงค่อยๆ สกัดกั้นมีดสั้นที่ฟันมาตรงลำคอ กลับไม่ทันได้ยั้งมีดสั้นคมกริบที่หมุนตวัดมาตรงแขน
“ฟิ้ว!”
หนึ่งการโจมตีที่รุนแรงทั้งว่องไวและโหดร้าย หนึ่งมีดลงไปลึกเสียจนเห็นกระดูก เลือดสดกระเซ็นออกมาในชั่วขณะหนึ่ง สิ่งที่เปล่งออกตามมาคือเสียงสูดลมหายใจอย่างตื่นตระหนกรวมถึงเสียงอุทานของคนตระกูลหลิ่วรอบๆ!
“เฮือก!”
“ผู้นำตระกูล!”
เห็นแขนผู้นำตระกูลพวกเขามีเลือดไหลออกมา ทั้งแขนเสื้อเปื้อนสีแดงอย่างรวดเร็วนัก แขนข้างนั้นลู่ลงเพราะได้รับบาดเจ็บ สั่นเทาอยู่เล็กน้อย เลือดแต่ละหยดตกลงพื้นไปตามแขนที่ห้อยลง กลายเป็นเหมยแดงงดงามเบ่งบานอยู่บนพื้นทีละดอกๆ…
“ข้าบอกแล้วไง รับมือท่าน แค่มีดสั้นเล่มเดียวก็พอ!”
เฟิ่งจิ่วที่ถอยออกหรี่ดวงตาลงครึ่งหนึ่ง มุมปากยกโค้งขึ้นเบาๆ มองผู้นำตระกูลหลิ่วที่แขนลู่ลงเลือดไหลอย่างคล้ายจะอารมณ์ดี
ในขณะที่ผู้คนต่างเสียขวัญเพราะท่าทางและความป่าเถื่อนที่แสดงออกมาอย่างไม่สมเหตุสมผล กลับได้ยินเขาใช้น้ำเสียงไม่แยแสที่มีทำนองระรื่นใจเอ่ยคำพูดที่ทำให้คนกระตุกมุมปากแต่กลับทำให้คนตระกูลหลิ่วโกรธเสียจนกัดฟันกรอดออกมา
“ดอกไม้สีเลือดที่บานอยู่บนพื้นช่างงามตาจริงๆ! ทั้งน่าหลงใหลและกระหายเลือด ผู้นำตระกูลหลิ่ว ท่านเห็นเช่นนั้นหรือไม่เล่า?”
เธอหรี่ตาลงยิ้มมองผู้นำตระกูลหลิ่วที่สีหน้าบึ้งบูดเสียจนน้ำจะไหลนองออกมาได้ เห็นสองดวงตาถลึงมองมานิ่งๆ เหมือนเธอทำเรื่องอะไรที่ไม่น่าให้อภัย ยกมุมปากขึ้นยิ้มชอบใจน้อยๆ อย่างอดไม่ได้
“ฆ่าเขาซะ!”
ผู้นำตระกูลหลิ่วกัดฟัน สั่งการอย่างเคร่งขรึม
ผู้อาวุโสสามคนข้างๆ ขานรับ ขณะกำลังจะลงมือ ก็ได้ยินเสียงที่ทุ้มต่ำและทรงอำนาจลอยมา
“เดี๋ยวก่อน!”
จู่ๆ มีคนส่งเสียงห้ามปราม ผู้คนโดยรอบล้วนตื่นตกใจ มองไปตามที่มาของเสียงด้วยความแปลกใจ พอมองแล้ว ทุกคนต่างพากันเรียกด้วยความเคารพ
“ท่านเจ้าเมือง”
คนรอบๆ ล้วนเปิดทางให้ ต่างประหลาดใจที่ท่านเจ้าเมืองก็อยู่ที่นี่ด้วย ซ้ำยังมีอีกหลายสายตาที่จับจ้องบนร่างบุรุษชุดแดงข้างกายท่านเจ้าเมือง
คนไม่น้อยในสนามล้วนเป็นลูกหลานวงศ์ตระกูลในเมืองกับพวกผู้ฝึกตนที่รอบรู้ข่าวสาร ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าภูตหมอมาเยือนเมืองลิ่วเต้าและท่านเจ้าเมืองก็กำลังรับรองแขกด้วยตัวเอง ตอนนี้เห็นบุรุษชุดแดงสวมหน้ากากผู้นี้ จึงพากันคาดเดา ว่าคนผู้นี้อาจจะเป็นภูตหมอ?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้น แต่ละสายตาจึงจับจ้องบนร่างบุรุษชุดแดงอย่างมีการหยั่งเชิงและพินิจพิเคราะห์
………………………………………………….