หลังจากนั่งเครื่องบินนานกว่า 18 ชั่วโมงเทียนหลางกับหลินจินทงและพ่อบ้านเหลาก็มาถึงโมร็อกโก หลินจินทงพาเทียนหลางไปเช็คอินที่โรมแรมอินไซต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงแรมที่สำนักจิตมังกรเป็นเจ้าของ
‘ดูเหมือนสำนักพวกนี้จะมีธุระกิจมากมาย มิน่าหล่ะพวกเขาถึงมีเงินเลี้ยงลูกศิษย์ของสำนัก’
หลินจินทงบอกว่าคนอื่น ๆ จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ดังนั้นให้เทียนหลางไปพักผ่อนให้เต็มที่เพราะหลังจากการประชุมกันในวันพรุ่งนี้ จะเริ่มออกเดินทางเลยทันทีเทียนหลางกลับไปบ่มเพาะที่ห้องอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับคิดถึงเรื่องการประชุมพรุ่งนี้
จากที่หลินจินทงบอกว่าเทียนหลางจะต้องเดินทางไปพร้อมกับคนจากสำนักจิตมังกร และสำนักจิตมังกรก็ได้ร่วมมือกับสำนักอื่น ๆ อีกสามสำนักนั่นก็คือสำนักอัคคี สำนักมรกต และสำนักวารีพิสุทธิ์
เทียนหลางไม่ค่อยสนใจสำนักพวกนี้มากนัก แต่ที่เขาสนใจก็คือหลินจินทงบอกว่าจะมีเซียนจากทั้งสามสำนักมาร่วมเดินทางไปด้วยเพราะพวกเขาคาดว่าการเดินทางครั้งนี้ต้องเจอการต่อสู้ที่อันตรายอย่างแน่นอน ทำให้พวกเขาส่งเซียนมาคุ้มกันคนของพวกเขา
……………………………………….
วันต่อมาเทียนหลางลงมาที่ห้องรับรองของโรงแรม เมื่อเข้ามาเทียนหลางก็พบคนมากมายพวกเขาใส่สวมชุดประจำสำนักของตนทำให้เทียนหลางแบ่งแยกพวกเขาได้อย่างรวดเร็วซึ่งสำนักอัคคีจะสวมชุดที่มีสีแดงอันร้อนแรงซึ่งก็เหมาะสมกับพวกเขาดี ส่วนสำนักมรกตสวมชุดคลุมสีเขียว และสำนักวารีพิสุทธิ์นั้นสวมชุดคลุมสีฟ้าหรือไม่ก็น้ำเงินซึ่งคาดว่าคงแบ่งชนชั้นกันตามสีของชุดคลุม แต่ที่เทียนหลางคาดไม่ถึงก็คือ
คนจากสำนักวารีพิสุทธิ์นั้นล้วนเป็นหญิงสาวทั้งหมด
แม้เทียนหลางจะไม่แปลกใจกับผู้บ่มเพาะหญิงก็ตามเพราะในโลกของเทียนหลางผู้บ่มเพาะหญิงที่แข็งแกร่งก็มีมากมาย แต่เขาไม่คิดว่าผู้หญิงในโลกนี้จะสนใจการบ่มเพาะด้วยเช่นกัน
เพราะในโลกนี้มันสงบสุขจนเรียกได้ว่าหากคุณอยู่เฉย ๆ ก็ไม่มีใครทำอะไรคุณได้ ซึ่งต่างจากโลกอีกใบที่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองจากทุกสิ่งรอบตัวดังนั้นเทียนหลางจึงคิดสงสัยเล็กน้อยว่าเหตุใดสาว ๆ พวกนี้ถึงได้เลือกเส้นทางแห่งการบ่มเพาะกัน
เทียนหลางเดินมานั่งด้านข้างหลินจินทงด้วยสายตาของคนทั้งห้องที่มองมายังเขา
ทำให้เทียนหลางรู้สึกสงสัยเล็กน้อยจนต้องหันไปถามกับหลินจินทง
”พวกเขามองผมทำไม ?”
หลินจินทงที่ได้ยินคำถามก็หันมาตอบโดยที่ไม่ได้ปิดบัง
”พวกเขามองว่านายนั้นเด็กเกินไปที่จะร่วมเดินทางไปครั้งนี้ และพวกเขาคิดว่าไม่อยากเสียเวลามาปกป้องนายอีกด้วย”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
”ปล่อยให้พวกเขาคิดไปเถอะครับ อันที่จริงผมแค่มากับคุณเท่านั้นและผมก็ไม่ต้องการให้พวกเขาคุ้มกันหรือมาปกป้องด้วย ผมหน่ะป้องกันตัวเองได้อยู่แล้ว ผมว่านะคุณควรจะให้พวกเขาห่วงตัวเองเสียดีกว่า”
ทันทีที่เทียนหลางพูดจบคนทั้งห้องก็ต่างมองเขามาด้วยสายตาเดียวกัน ทางด้านเทียนหลางก็ทำเพียงหยักไหล่และไม่สนใจเท่านั้นซึ่งทำให้พวกเขาไม่พอใจอย่างแรง
แต่ก็เก็บเงียบไว้เพราะเห็นแก่หน้าของหลินจินทงที่เป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักจิตมังกร
ที่เทียนหลางพูดไปแบบนั้นไม่ใช่เพราะเขามีเหตุผลอะไรพิเศษ แต่เพราะเขาสื่อแบบนั้นจริง ๆ ทันทีที่เทียนหลางเห็นพวกเขาทั้งหมดเทียนหลางก็ตัดสินทันทีว่าพวกนี้นั้นล้วนแต่ไร้ประโยชน์ แม้คนอื่นจะมองว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่ง แต่สำหรับเทียนหลางมองพวกเขาเป็นเพียงแค่พวกอ่อนแอเท่านั้น เพราะแม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องก็ระดับเพียงแค่ปฐพีขั้นกลางเท่านั้น
ดังนั้นเทียนหลางจึงคิดว่าการเดินทางในครั้งนี้คงหวังพึ่งพวกเขาได้เพียงแค่ไว้ใช้นำทางเท่านั้น
หลังจากที่ปล่อยให้พวกเขาคุยเรื่องแผนการกันได้ไม่นานประตูของห้องประชุมก็ถูกเปิดออกพร้อมกันกับที่มีชายชราสามคนเดินเข้ามา ทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามาเสียงพูดคุยก็ต่างหยุดลงและยืนขึ้นเพื่อทำความเคารพพวกเขาทันที
ส่วนเทียนหลางเพียงแค่ยืนขึ้นตามพวกเขาเท่านั้น
”ทำความเคารพท่านเซียน”
”ทำความเคารพท่านเซียน”
”ทำความเคารพท่านเซียน”
พวกเขาพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำให้เทียนหลางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากพร้อมกับจ้องมองเหล่าชายชราพวกนี้พร้อมกับคิดในใจ
‘อะไรหนะ ? พวกนี้หน่ะเหรอเซียน ? นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย !’
เทียนหลางกรีดร้องอยู่ภายในใจเพราะจากที่เขาดูแล้วชายชราพวกนี้อย่าว่าแต่เป็นเซียนเลย แม้เพียงเฉียดก็ยังไม่ใช่พวกเขามีระดับการบ่มเพาะอยู่แค่ระดับสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้นและการเชื่อมต่อดวงดาวก็ยังมีไม่ถึงสิบดวงด้วยซ้ำ
หากพวกเขาอยู่ในโลกฝั่งนู้นหล่ะก็พวกเขาไม่มีทางสู้ได้แม้แต่รุ่นเยาว์ของสำนักระดับกลางเลยด้วยซ้ำ เทียนหลางกุมขมับก่อนจะนั่งลงด้วยความเหนื่อยอ่อนทางจิตใจ
‘หากเจ้าโง่พวกนี้เป็นเซียน แล้วพวกข้าเป็นอะไรกัน ?’
เทียนหลางถอนหายใจ
‘เซียนของโลกนี้ช่างไร้น้ำยายิ่งนัก แต่ก็ดีแผนการเยี่ยมเยียนของข้าก็คงจะสำเร็จเร็วขึ้น’
และดูเหมือนคนพวกนี้จะไม่ได้เดินบนเส้นทางแห่งเต๋าสวรรค์ด้วยซ้ำ แต่กลับบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางของเต๋าพิภพที่พบเห็นกันได้แพร่หลายในโลกฝั่งนู้นและที่มันนิยมนั้นก็ไม่ใช่เหตุผลยิ่งใหญ่อะไรนัก เพียงแค่ระยะการบ่มเพาะในแต่ระดับนั้นสั้นเพียงเท่านั้นซึ่งมันสามารถทำให้คนคนหนึ่งแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วและยังสามารถดึงพลังของธรรมชาติมาใช้ได้อีกด้วย
แต่ถึงอย่างงั้นข้อเสียของมันก็มีเช่นกันแม้เต๋าพิภพจะดูพิเศษที่สามารถดึงพลังของธรรมชาติมาใช้ได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงการหยิบยืมมาเท่านั้นหาใช่สิ่งดั่งเดิมที่เคยมีต่างจากเต๋าสวรรค์ที่สามารถใช้พลังของธรรมชาติมาช่วยในการบ่มเพาะและสามารถชักนำมาเป็นของตัวเองได้โดยการสร้างแก่นธาติในตันเถียรของตนเพื่อบ่มเพาะพลังธรรมชาติแต่มันก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการบ่มเพาะของแต่ละคนด้วยเช่นกัน
เทียนหลางจ้องมองเซียน(เก๊)เหล่านี้พร้อมกับส่ายหน้าก่อนจะตัดสินใจไม่สนใจพวกนี้เพราะพวกนี้ก็เหมือนกับผู้บ่มเพาะที่เห็นได้ทั่วไปในโลกฝั่งนู้น ไม่ได้พิเศษอะไรเลยแม้แต่น้อย อย่างมากเทียนหลางก็คิดจะใช้พวกเขาเป็นโล่ป้องกันในการต่อสู้กับพวกที่คิดจะแย่งดาวหางไปจากเขาเท่านั้นนอกเหนือจากเรื่องนี้แล้วเทียนหลางก็คิดไม่ออกว่าจะใช้ประโยชน์จากพวกนี้ยังไง
เทียนหลางไม่ได้สนใจการประชุมพวกนี้มากนักจึงได้ขอตัวออกจากห้องประชุม
แต่ในขณะที่เขากำลังจะก้าวออกจากห้องก็ได้มีเสียงหนึ่งมาหยุดเขาไว้
”เจ้าจะออกไปไหน เจ้าหนู ?”
เทียนหลางหันไปก็พบว่าคนที่พูดนั้นคือหนึ่งในผู้อาวุโสชราของสำนักอัคคี เทียนหลางจ้องมองเขาสักพักก่อนจะพูดขึ้น
”เหตุใดข้าจะออกไปไม่ได้ ?”
”พวกเรากำลังประชุมกันเรื่องออกเดินทาง และในการเดินทางครั้งนี้ก็มีอันตรายอีกมากมายที่พวกเราไม่รู้ ดังนั้นพวกเราจึงต้องคุยกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปกันเสียก่อน”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ข้อสรุป ? ข้อสรุปใดกัน ? ในเมื่อพวกท่านก็รวมตัวกันจะเดินทางไปด้วยกันอยู่แล้วแค่การปกป้องกันและกันเท่านั้น เหตุใดจะต้องหาข้อสรุปให้มากความด้วย ? แต่หากพวกท่านจะหารือกันเรื่องผลประโยชน์แล้วหล่ะก็ จากที่ข้าดูเมื่อถึงตอนนั้นแล้วยังไงพวกท่านก็ต้องร่วมมือกันสู้กับกลุ่มอื่นอยู่ดี”
เทียนหลางเงียบไปสักพัก
”ข้าว่าเอาเวลาเจรจานี่ไปเดินทางเสียดีกว่า ยังไงเรื่องผลประโยชน์ก็ต้องมาหลังจากการต่อสู้อยู่แล้วพวกท่านจะประชุมให้มันยืดเยื้อทำไม”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็เดินออกจากห้องประชุมไปทิ้งไว้ให้เหล่าผู้คนจากสำนักต่าง ๆ มองกันด้วยความงุนงงความจริงแล้วที่เทียนหลางพูดมานั้นก็ไม่มีสิ่งใดผิดเพราะยังไงพวกเขาก็ต้องเดินทางไปด้วยกันจนถึงที่สุดอยู่แล้ว ส่วนเรื่องผลประโยชน์นั้นสามารถแบ่งปันกันทีหลังได้เพราะยังไงพวกเขาก็เป็นสำนักที่มีความสัมพันธ์อันดีมาตลอดหลายสิบปี เรื่องแบ่งผลประโยชน์กันนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่
หลังจากที่เทียนหลางออกไปภายในห้องประชุมก็พูดคุยกันเพียงสั้น ๆ เท่านั้นก่อนที่พวกเขาจะออกมาและเห็นว่าเทียนหลางกำลังนั่งจีบสาวที่เคาน์เตอร์บาร์อยู่ก็ได้แสดงความรู้สึกไม่พอใจ
แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะยังไงซะเทียนหลางก็เป็นเพียงคนนอกที่ติดสอยห้อยตามผู้อาวุโสคนหนึ่งมาเท่านั้นการที่เขาจะทำอะไรก็สิทธิของเขาพวกเขาไม่สามารถไปกล่าวว่าอะไรเทียนหลางได้
เมื่อเทียนหลางเห็นว่าพวกเขาออกมาจากห้องประชุมกันแล้วเขาก็เดินไปหาหลินจินทงทันที
”เป็นยังไงบ้างครับ ?”
”ก็เป็นอย่างที่เธอพูดนั่นแหละตามจริงทั้งสี่สำนักก็มีความสัมพันธ์อันดีมานานแล้วการประชุมจึงใช้เวลาไม่มาก แต่เพราะคำพูดของเธอจึงทำให้การประชุมได้ข้อสรุปเร็วกว่าที่คาดเอาไว้มาก”
”แล้วเราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่ครับ ?”
เทียนหลางเอ่ยถาม
”ก็หลังจากที่เตรียมกันเสร็จอะนะ สักสองชั่วโมงต่อจากนี้ พวกเรายังต้องเตรียมขนของอีกมากขึ้นรถไม่ว่าจะเป็นที่พัก อาหาร และน้ำ”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะเดินตามหลินจินทงไปที่ตลาดเพื่อเลือกซื้อของ คนอื่นนั้นเลือกที่จะซื้ออาหารแห้งซะส่วนใหญ่แต่เทียนหลางไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเพราะแหวนมังกรดำของเขามีอาคมมิติและเวลาสลักเอาไว้ทำให้ของที่อยู่ด้านในนั้นถูกหยุดเวลาเอาไว้ทำให้ไม่เน่าเสีย
เทียนหลางซื้อของต่าง ๆ พร้อมกับหอบเข้าห้องพักก่อนจะนำมันยัดลงใส่ไปในแหวน
……………………………………….
สองชั่วโมงต่อมาทุกคนมารวมตัวกันที่นอกเมือง เทียนหลางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นคาราวานรถจอดอยู่ด้านนอกเทียนหลางรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าเหตุใดถึงต้องนำรถไปด้วยทั้งที่พวกเขาวิ่งไปยังเร็วกว่าแท้ ๆ
เทียนหลางไม่รู้จะพูดยังไงกับพวกเขาเพราะเขาเป็นเพียงแค่ผู้ที่ติดสอยห้อยตามมาเท่านั้นทำให้เขาได้แต่เงียบและขึ้นไปนั่งรถคนเดียวกับหลินจินทง
ไม่นานนักขบวนรถก็เริ่มออกเดินทางไปยังทะเลที่ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด
……………………………………….
ภายในมุมหนึ่งของเมือง
ประตูของห้องได้ถูกเปิดขึ้นและได้มีชายสวมชุดคลุมสีม่วงเดินเข้ามาพร้อมกับเอ่ยขึ้น
”ขบวนของพวกสำนักจิตมังกรพึ่งออกจากเมืองไปเมื่อครู่”
”ดีมาก”
”เราจะตามไปเลยรึเปล่า ?”
ชายคนนั้นถาม แต่ชายชรากลับส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้น
”เรายังไม่ตามเขาออกไปตอนนี้”
”เข้าใจแล้ว”
———————————————
– ช่วงนี้ผมไม่ค่อยสบายอาจจะออกช้าหน่อย