( เปลี่ยนจากโลกคุนหลุน เป็นโลกวรยุทธนะครับ คุนหลุนมันดูยังไงไม่รู้ )
เมื่อเทียนหลางได้ยินเกี่ยวกับโลกวรยุทธเขาก็ชะงักทันทีและหันมาถามกับซ่านฉิน
”เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ ?”
”คุณมาจากโลกวรยุทธใช่ไหม ?”
เทียนหลางจ้องมองซ่านฉินอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้มาและนั่งลงตรงหน้าของซ่านฉิน เมื่อซ่านฉินเห็นท่าทีของเทียนหลางเขาก็หวาดกลัวทันที จากที่เขารู้นั้นว่าพวกที่อยู่ในโลกวรยุทธมักตัดขาดจากโลกภายนอก และไม่ชอบให้คนภายนอกรู้เรื่องภายในของพวกเขา และพวกเขามักจะกำจัดผู้ที่รู้เรื่องของโลกวรยุทธเพื่อปกปิดความจริงไม่ให้รั่วไหลออกไป
ซ่านฉินคิดว่าเทียนหลางกำลังที่จะเค้นความจริงจากเขาว่าเขารู้อะไรบ้างและจากนั้นก็จะฆ่าเขาทิ้งทีหลัง
เทียนหลางนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะพูดขึ้น
”ไหนนายลองพูดถึงเรื่องของโลกวรยุทธที่นายรู้มาสิ”
ซ่านฉินพยักหน้าพร้อมอธิบาย
”ผมก็ไม่รู้อะไรมากนักเพราะผมเป็นเพียงคนนอก โลกวรยุทธนั้นเป็นศูนย์รวมของผู้บ่มเพาะที่เหมือนในละคร หรือนิยาย พวกเขาปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อหลายร้อยปีก่อนและแฝงตัวอยู่ร่วมกับคนธรรมดา แต่ส่วนใหญ่มักหลบซ่อนอยู่ภายในภูเขาเพื่อหลีกหนีปัญหาจากโลกภายนอก มีหลายคนเล่าว่าคนจากโลกวรยุทธนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สามารถต่อสู้กับแก๊งอันธพาลนับร้อยได้ด้วยตัวคนเดียว หรือแม้แต่ถล่มกองทัพทหารกลุ่มเล็ก ๆ ได้”
ซ่านฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
”แต่ด้วยที่จำนวนของพวกเขานั้นมีน้อยจึงทำให้พวกเขานั้นไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกมากนัก เพราะเกรงว่าคนธรรมดาจะเกรงกลัวพลังของพวกเขาและเริ่มรวมตัวกันกำจัดพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงก่อตั้งโลกวรยุทธขึ้นและคอยบงการโลกอยู่ด้านหลังฉากอย่างลับ ๆ มาตลอดหลายปี”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าช้า ๆ เขาไม่คิดว่าในโลกนี้จะมีผู้บ่มเพาะด้วย แต่จากที่คาดการณ์คนเหล่านั้นคงไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก เพราะทรัพยากรที่มีนั้นจำกัดจนเรียกว่าน้อยเลยก็ได้
เมื่อสรุปได้แบบนั้นเทียนหลางก็เลิกสนใจเรื่องโลกวรยุทธทันทีเพราะตัวเขากับคนพวกนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน การจะมาเจอกันมันเป็นไปได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางมันขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น
แต่ถ้าหากเจอเทียนหลางคาดว่าเขาคงจะต้องขอปล้นพวกนั้นสักหน่อยเพราะทรัพยากรที่เก็บสะสมมานับร้อยปีคงจะมีไม่น้อย อีกทั้งมันคงจะมีประโยชน์มากกว่าหากมันตกมาอยู่กับเขา
เทียนหลางมองซ่านฉินสักพักก่อนจะพูดขึ้น
”แล้วนายรู้อะไรอีกเกี่ยวกับโลกวรยุทธ ?”
”ผมรู้ไม่มาก รู้แค่ว่าพวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นมากในหลายสิบปีที่ผ่านมา และบางคนก็เริ่มปรากฏตัวในโลกภายนอกแล้ว ทั้งตระกูลใหญ่ และตระกูลเก่าแก่มากมายในเมืองหลวงต่างก็มีคนจากโลกวรยุทธคอยหนุนหลัง ตระกูลเล็ก ๆ บางตระกูลก็ได้รับการดูแลจากคนของโลกวรยุทธจนทำให้พวกเขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นตระกูลชั้นนำในเมืองใหญ่ ๆ ได้เหมือนกัน”
”แม้ผู้คนในโลกวรยุทธจะมีมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้สามัคคีกันดังนั้นจึงมีการต่อสู้ระหว่างพวกเขาอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นระหว่างคนของสำนัก หรือลัทธิ”
เทียนหลางพยักหน้าพร้อมก่อนจะเดินออกจากคลับทุยห่ายไป ซ่านฉินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะไม่คิดว่าจู่ ๆ เทียนหลางจะจากไปเฉย ๆ แบบนี้เขาคาดไม่ถึงว่าคนจากโลกวรยุทธจะปล่อยให้คนที่รู้ความลับของพวกเขารอดไปแบบนี้
แต่เมื่อมองดูดี ๆ แล้วซ่านฉินพบว่าไม่มีลูกน้องคนไหนของเขาตายเลยแม้แต่คนเดียว อย่างมากก็แค่แขนขาหักเท่านั้น เรียกได้ว่าเทียนหลางนั้นมีเมตตาอย่างมากเลยทีเดียว เพราะจากที่ซ่านฉินที่รู้มาคนจากโลกวรยุทธนั้นมักเป็นพวกโหดร้าย ป่าเถื่อน และฆ่าคนอื่นอย่างเลือดเย็น
ซ่านฉินถอนหายใจพร้อมกับบ่นออกมา
”แต่ก็คือว่าเป็นความโชคดีของฉันหล่ะนะ ที่ไม่ได้เจอกับคนพวกนั้น”
ซ่านฉินถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับมองไปยังประตูคลับที่ปิดสนิท
………………………………………
ระหว่างทางกลับเทียนหลางขบคิดถึงเรื่องของโลกวรยุทธ
”อืม… สำนักที่อยู่รอดมาได้นับร้อยปีในโลกที่สภาพเช่นนี้ พวกนั้นต้องมีสวนสมุนไพรแน่ ๆ ในอนาคตข้าคงต้องไปเยี่ยมพวกเขาเสียหน่อย”
เทียนหลางเลิกสนใจเรื่องของโลกวรยุทธอย่างรวดเร็วเพราะยังไงเทียนหลางก็คงไม่เจอพวกเขาในเร็ววันนี้แน่นอน เขาขับรถกลับบ้านก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เรื่องหลินเสวี่ยที่โทรมาขอความช่วยเหลือก่อนหน้านี้
”ฮัลโหล ?”
เสียงของหลินเสวี่ยดังออกมาจากปลายสาย เทียนหลางจึงเอ่ยถามออกไป
”เมื่อกี้นี้เธอโทรมาของความช่วยจากผมมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ ?”
หลินเสวี่ยได้ยินก็พูดออกมา
”เอ่อ… ฉันรู้ว่านี่อาจจะเป็นคำขอที่มากเกินไปสำหรับนาย แต่ว่าฉันอยากจะให้นายช่วยพ่อของฉันหน่อย ฉันยินดีที่จ่ายค่าเสียเวลาให้กับนาย”
เทียนหลางได้ยินก็รู้สึกสับสน เพราะเขาเป็นเพียงลูกชายเจ้าของร้านอาหารธรรมดา ๆ แม้จะมีเงินเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ไม่น่าจะมีความสามารถจะไปช่วยอะไรใครได้ อีกอย่างไม่มีใครรู้ความสามารถที่แท้จริงของเขาสักคน
‘อืม… เรื่องนี้มันแปลกจริง ๆ’
เทียนหลางอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเขาจึงเอ่ยถามออกไป
”ผมขอถามอะไรหน่อยนะ เธอมั่นใจจริง ๆ เหรอว่าผมช่วยเธอได้ ? เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าผมนั้นเป็นลูกของเจ้าของร้านอาหารเท่านั้น ไม่น่าจะช่วยอะไรเธอได้เลยนะ”
หลินเสวี่ยที่ได้ยินคำกล่าวขอเทียนหลางก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
”พอดีฉันรู้มาว่านายมีความสามารถด้านการแพทย์ และก็ยังมียาวิเศษที่สามารถรักษาโลกต่าง ๆ ได้อีกด้วย”
เทียนหลางที่ได้ยินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
”เธอรู้มาจากไหน ?”
หลินเสวี่ยรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจที่แผ่ออกมาจากน้ำเสียงของเทียนหลางที่เปลี่ยนไป เธอจึงแก้ตัวทันที
”นายอย่าเข้าใจผิด พอดีคุณปู่ของฉันเป็นเพื่อนกับหลี่ไห่จิงที่นายเคยช่วยชีวิตเอาไว้ พอเขารู้ว่าคุณพ่อป่วยและโอกาสที่พ่อจะรักษาสำเร็จก็น้อยมากเรียกได้ว่าแทบจะเป็นศูนย์ และพอคุณปู่รู้เรื่องที่หลี่ไห่จิงหายขาดจากโรคหัวใจ เขาจึงเอาเรื่องของคุณพ่อไปปรึกษากับเขา เขาเลยแนะนำนายมาหน่ะ”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลินเสวี่ยเทียนหลางก็ถอนหายใจออกมา เพราะถ้าหากเรื่องที่เขาสามารถสร้างยาทิพย์ได้กระจายออกไปเป็นวงกว้างแล้วหล่ะก็ เรื่องวุ่นวายต้องยกขโยงมาหาเขาแน่ ๆ
ถ้าหากปู่ของหลินเสวี่ยเป็นเพื่อนกับหลี่ไห่จิงจริงก็คงไม่มีอะไรต้องน่ากังวล แต่ถึงอย่างงั้นจะให้เขาเที่ยวไปรักษาใครมั่ว ๆ ก็ไม่ได้อีกอย่างยาทิพย์ก็ใช่ว่าจะมีเหลือใช้ขนาดนั้น (ใช่เหรอ ?)
ดังนั้นการที่เทียนหลางจะรักษาอะไรใครก็ต้องคิดให้ดี ๆ เสียก่อน เทียนหลางถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น
”ผมจะไปตรวจดูให้ก็ได้แต่ไม่รับรองหรอกนะ”
”จริงเหรอ ? ขอบใจมากนะ นายมาหาฉันที่บ้านได้เลย”
”เข้าใจแล้ว”
เมื่อเขาตอบรับไปแล้วเขาจึงต้องเปลี่ยนแผนจากการกลับไปดูความก้าวหน้าของสวนหลังบ้านของเขา กลายเป็นไปดูสภาพร่างกายของพ่อหลินเสวี่ยแทน
…………………………………………
ไม่นานเทียนหลางก็ขับรถมาถึงวิลล่าของหลินเสวี่ย เมื่อเขาลงจากรถก็พบกับพ่อบ้านเหลากำลังยืนรอต้อนรับเขาอยู่
”สวัสดีครับพ่อบ้านเหลา”
”’สวัสดีครับคุณชายเทียน”
”ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณชายหรอกครับพ่อบ้านเหลา ผมเป็นแค่ลูกเจ้าของร้านอาหารเล็ก ๆ เท่านั้น”
”แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงต้องให้ความเคารพกับคุณอยู่ดีในฐานะที่คุณเป็นเพื่อนกับคุณหนู”
”เข้าใจแล้วครับ แล้วหลินเสวี่ยหล่ะครับ ?”
”กำลังดูอาการของคุณท่านอยู่ที่ชั้นบนครับ เดียวผมจะนำทางให้เอง”
”รบกวนด้วยครับ”
เทียนหลางเดินตามพ่อบ้านเหลาขึ้นไปยังชั้นสามของวิลล่า และตรงมายังห้อง ๆ หนึ่งเมื่อมาถึงหน้าห้องพ่อบ้านก็พูดขึ้น
”คุณหนูครับ คุณชายเทียนมาถึงแล้ว”
”ให้เขาเค้ามาได้เลยค่ะ”
พ่อบ้านเหลาพยักหน้าก่อนจะเปิดประตูให้กับเทียนหลาง เมื่อเทียนหลางมาในห้องก็พบว่าในห้องนั้นหรูหราเป็นอย่างมากทั้งเฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้ต่างก็ราคาแพงระยับ
เมื่อเดินเข้ามาอีกเล็กน้อยเทียนหลางก็พบกับชายวัยกลางคนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยสภาพอ่อนแอเป็นอย่างมาก ร่างกายของเขาผอมแห้งราวกับขาดสารอาหารมานานนับปีและตามร่างกายของเขานั้นมีจุดจ้ำเลือดสีดำเต็มไปหมด
เทียนหลางสัมผัสได้ถึงชีพจรของเขาแต่มันก็เลือนรางอย่างมากราวกับเปลวเทียนที่พร้อมจะดับลงได้ทุกเมื่อ ข้าง ๆ กันนั้นเทียนหลางพบกับหลินเสวี่ยกำลังคอยดูแลเขาอยู่อย่างใกล้ชิด
เมื่อหลินเสวี่ยเห็นเทียนหลางเธอก็หันมาเขาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
”ช่วยคุณพ่อของฉันด้วยนะเทียนหลาง”
เทียนหลางไม่ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
”เธอออกจากห้องไปก่อน ฉันจะขอตรวจพ่อของเธอหน่อย”
หลินเสวี่ยที่ได้ยินก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เทียนหลางกลับมามองชายวัยกลางคนที่ใกล้ตายตรงหน้าก่อนจะตรวจเช็คอาการต่าง ๆ อย่างละเอียด
จากที่ตรวจดูเขาก็พบว่านี่ไม่ใช่อาการเจ็บป่วยธรรมดาเพราะต่อให้คนที่เป็นโรคร้ายแรงแค่ไหนร่างกายไม่ก็ไม่ควรอ่อนแอเพียงนี้ จากที่เทียนหลางตรวจดูร่างกายของเขาถูกกัดกินจากบางอย่างที่ไม่ใช่โรคร้าย แต่มันเหมือนกับปรสิตหรือสัตว์กินเนื้อที่คอยกัดกินเขาเสียมากกว่า
เทียนหลางพบว่าเซลล์ในร่างกายของชายตรงหน้าค่อย ๆ สลายและแยกออกจากกันอย่างช้า ๆ จากที่ดูแล้วพ่อของหลินเสวี่ยน่าจะถูกวางยาพิษและพิษชนิดนี้ก็ไม่ใช่จะหามาได้ง่าย ๆ ในโลกใบนี้
ใช่เทียนหลางหมายถึงโลกใบนี้นั่นหมายความว่าเขารู้จักมัน พิษชนิดนี้ในโลกเทวะนั้นสามารถหาได้ไม่ยากนักแม้ส่วนผสมและกรรมวิธีการปรุงจะยุ่งยากอยู่บ้างแต่มันก็ใช่ว่าจะหามาไม่ได้เทียนหลางรู้สึกแปลกใจที่พบเจอพิษชนิดนี้ในโลกใบนี้
จากที่เทียนหลางตรวจดู ดูเหมือนว่าชายตรงหน้าของเขาจะมีโชคอยู่บ้างเพราะพิษชนิดนี้ส่วนผสมของมันไม่สมบูรณ์มันขาดส่วนผสมหลักไปหลายชนิดจึงทำให้ผลของมันน้อยลงไปหลายสิบเท่า แต่ถึงว่ามันจะขาดส่วนผสมสำคัญจึงทำให้มันเป็นยาพิษที่ไม่สมบูรณ์แต่ผลของมันก็ยังคงน่ากลัวเป็นอย่างมากสำหรับคนธรรมดา
เทียนหลางมองชายตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้น
”ใครกันนะที่ต่ำช้าถึงขั้นใช้ผงสลายใจกับคุณ”
———————————————-