สองวันหลังจากที่เทียนหลางไปลงทะเบียนสมัครเข้ามหาลัยจิงไห่ จดหมายตอบรับก็ถูกส่งกลับมาอย่างรวดเร็วว่าเขานั้นผ่านเกณฑ์เรียบร้อยแล้วและมหาลัยจะเปิดสัปดาห์หน้า ซึ่งเทียนหลางนั้นมีกำหนดที่จะต้องไปรักษาคุณหญิงของตระกูลตงเสวียในอีกห้าวันข้างหน้า ในขณะที่เทียนหลางกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่นั้นป้าอันฉีก็เดินเข้ามาพร้อมกับบอกว่า ซ่านฉินมาหาเขา
ไม่นานนักซ่านฉินก็มาที่ห้องหนังสือของเทียนหลางก่อนจะพูดขึ้น
”พี่ใหญ่ สิ่งที่คุณต้องการนั้นจัดการได้เกือบทั้งหมดแล้วขาดแต่…”
”แต่อะไร ?”
ซ่านฉินพูดด้วยน้ำเสียงอึกอักเล็กน้อย
”มีปัญหาเล็กกับอีกสองแก๊งใหญ่ครับ แม้พวกเขายืนยันว่าจะไม่สร้างปัญหาให้กับพวกเราก็ตามแต่ก็ยังมีคนของพวกนั้นเข้ามาป่วนกิจการของพวกอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แถมตอนนี้ยังมีแก๊งหน้าใหม่ผุดขึ้นมาอีกด้วย”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็ลูบคางของตัวเองเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น
”เรื่องแก๊งใหม่นั้นช่างมัน พยายามคุยอย่างสันติกับอีกสองแก๊งใหญ่ที่เหลือเพื่อควบพวกเขาให้ได้ แต่ถ้าหากไม่ว่าหมดหนทางแล้วจริงๆ ฉันจะเป็นจัดการเองแล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่ง”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีตราสัญลักษณ์ของดอกไม้ห้าแฉกอันงดงามออกมาให้กับซ่านฉิน ซ่านฉินมองมันก่อนจะถามขึ้น
”มันคืออะไรครับ ?”
”นี่คือสัญลักษณ์ของศาลาสวรรค์นายคงเข้าใจสิ่งที่ต้องทำแล้วสินะ”
”เข้าใจครับ”
”แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง”
เทียนหลางหยิบหนังสือออกมาสองเล่มและยื่นให้กับซ่านฉิน เขามองมันเล็กน้อยก่อนจะเปิดอ่านมันอย่างช้าๆ หลังจากที่ซ่านฉินได้อ่านมันเขาก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะหันมามองเทียนหลาง
”เล่มสีแดงนั้นเป็นของนาย ทำความเข้าใจและฝึกฝนมันซะ ส่วนเล่มสีฟ้านั้นมอบให้กับลูกน้องคนสนิทที่ไว้ใจได้และให้พวกเขาฝึกฝนมันซะ”
ซ่านฉินกล่าวขอบคุณเทียนหลางยกใหญ่ก่อนจะพูดถึงเรื่องที่เทียนหลางฝากให้เขาจัดการก่อนหน้านี้
”พี่ใหญ่ครับพื้นที่ที่พี่ใหญ่นั้นต้องการกว้านซื้อนั้นเราสามารถซื้อมาได้กว่า 80% แล้วครับ”
”แล้วที่เหลือหล่ะ ?”
”ยังติดปัญหาเรื่องการเจรจาอยู่ครับ อาจทำให้ล่าช้าเล็กน้อย”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะเอ่ยถาม
”แล้วธุรกิจหล่ะตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ?”
ซ่านฉินที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาก่อนจะตอบ
”ตอนนี้ธุรกิจของพวกเรานั้นมีเป็นจำนวนมากครับ ไม่ว่าจะผับ บาร์ โรงแรม และคาซิโน”
”คาซิโนงั้นเหรอ ? ไม่ใช่ว่าของพวกนั้นผิดกฏหมายงั้นเหรอ ?”
”ไม่หรอกครับหากได้รับอนุญาตจากทางการแล้ว ซึ่งนั่นก็แปลว่าเราอาจจะต้องมีการจ่ายส่วยนิดหน่อย”
”ไอนิดหน่อยนั่นคือเท่าไหร่ ?”
”ไม่มากครับพี่ใหญ่แค่ 3-5ล้านเหรียญเท่านั้น”
เทียนหลางพยักหน้า
”ก็ถือว่าไม่เยอะจนเกินไป อะไรที่สมควรจะจ่ายก็จ่ายไปอะไรที่ไม่ก็อย่าไปยอม ตอนนี้ฉันอยากให้นายขยายธุรกิจของเราให้มีจำนวนมากขึ้นและก็พยายามซื้อสมุนไพรหายากเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะในอนาคตมันอาจจะจำเป็นแต่ถ้าหากมันแพงมากเกินไปก็ช่างมันซะ”
”เข้าใจแล้วครับ”
”แล้วรายได้ของพวกศาลาสวรรค์ตอนนี้อยู่ที่เท่าไหร่ ?”
”10-20ล้านต่อวันครับส่วนใหญ่นั้นมาจากคาซิโนกับโรงแรมธุรกิจอื่นๆ นั้นมีรายได้ไม่มากนัก”
”ก็ยังคือว่าดีอยู่ ฉันจะให้เงินนายอีก 3พันล้านให้ไปจัดการที่ดินตรงนั้นให้เสร็จส่วนที่เหลือก็ไปปรับปรุงกิจการของพวกเราซะ”
เมื่อซ่านฉินได้ยินก็ถึงกับตกตะลึงเขาใช้เวลาหลายปีกว่าจะเก็บเงินได้สักร้อยล้านแต่พี่ใหญ่ของเขาไปเมืองหลวงเพียงไม่กี่วันกลับเอาเงินมาให้เขาตั้งสองพันล้าน การเป็นผู้ฝึกยุทธมันหาเงินง่ายได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ? เทียนหลางที่ได้เห็นท่าทีของซ่านฉินก็รู้ได้ว่าเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่เขาจึงพูดขึ้นทันที
”แน่นอนว่าการหาเงินนั้นมันง่ายหากนายแข็งแกร่งมากพอ ฉะนั้นเพียงแค่เงินไม่กี่พันล้านอย่าได้ตกตะลึงจนเกินไป”
”เข้าใจแล้วครับพี่ใหญ่”
หลังจากคุยกันอีกสักพักซ่านฉินก็ออกไป เทียนหลางที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่นั้นก็เห็นว่าเฟิงหยวนกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับถาดขนมในมือ เฟิงหยวนวางมันตรงหน้าของเขาก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัย
”เป็นยังไงบ้างหล่ะ ศาลาสวรรค์ของคุณหน่ะ”
เทียนหลางหยิบขนมเข้าปากก่อนจะพูดออกมาทั้งที่ยังเคี้ยวอยู่
”ก็ถือว่าเติบโตได้ดี แม้จะยังไม่ถึงขั้นที่สามารถครอบครองเมืองจิงไห่ได้ก็ตามแต่ก็น่าถือว่าน่าพอใจ”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็พยักหน้าก่อนจะพูดด้วยสีหน้าตำหนิ
”ทางที่ดีคุณควรจะออกหน้าบ้างได้แล้ว เรื่องของการเจรจากับสองแก๊งที่เหลือนั่นจะได้จบๆ ไปสักทีแล้วก็อีกอย่างอย่าพูดในเวลาที่เคี้ยวขนมไปด้วยสิ”