หลังจากที่เทียนหลางกำลังนึกถึงความทรงจำเก่าๆ อยู่นั้นเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากทางด้านนอกของห้องลับ เมื่อเขาส่งสัมผัสออกไปก็พบว่าเป็นลูกน้องของฮาคาดิที่กำลังเดินเข้ามาเทียนหลางจึงตัดสินใจออกไปจัดการให้เสร็จๆ ก่อนจะกลับมาจัดการของในห้องนี้ต่อ
ด้วยที่ลูกน้องของฮาคาดิเป็นเพียงแค่ทหารรับจ้างธรรมดาๆ จึงไม่มีปัญหาที่เทียนหลางจะจัดการพวกเขาลง หลังจากที่เทียนหลางจัดการทหารและของในห้องลับทั้งหมดแล้ว เขาจึงมุ่งหน้าไปยังห้องขังนักโทษที่อาคาดิได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้เพื่อไปดูสภาพของเหล่าหน่วย 7
เมื่อมาถึงเทียนหลางก็พบกับบรรยายกาศของห้องลับทั่วไปก็คือทางเดินมืดที่ทอดยาวไปจนสุดปลายทาง น่าแปลกที่ไม่มีผู้คุ้มกันเลยแม้แต่คนเดียวพวกเขาคงคิดว่าคงจะไม่มีใครลอบเข้ามาในนี้ได้การป้องกันจึงได้หละหลวม
เทียนหลางเดินไปตามทางเรื่อยๆ ก่อนจะพบว่าในแต่ละห้องมีนักโทษอยู่ เทียนหลางเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าพวกเขาทุกคนนั้นอยู่สภาพที่ไม่ค่อยดีนักตามร่างกายของพวกเขามีบาดแผลถูกซ้อมและถูกทรมานจำนวนไม่น้อยในตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในสภาพอิดโรยเป็นอย่างมากและน่าจะอยู่ไม่ไกลจากขอบเหวแห่งความตายอีกไม่กี่เซน เทียนหลางมองดูพวกเขาก่อนจะลูบคางตัวเองเบาๆ พร้อมกับเอ่ยถาม
”พวกคุณมากจากหน่วยลับที่ 7 ของจีนใช่ไหม ?”
เมื่อนักโทษได้ยินคำถามของเทียนหลางก็หันมามองหน้าเขาทันทีก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
”นายเป็นใคร ?”
เทียนหลางลูบคางเบาๆ ก่อนจะตอบคำถาม
”ผมมาจากหน่วยหมาป่า มาเพื่อช่วยเหลือพวกคุณ”
ทันทีที่นักโทษได้ยินคำตอบของเทียนหลางเขาก็ตาโตขึ้นมาทันทีก่อนจะพูดออกมาด้วยความดีใจ
”ในที่สุดพวกเขาก็ส่งคนมาช่วยพวกเราสักที”
พวกเขาหน่วย 7 ถูกจับมาที่นี้ร่วมนับเดือนแล้วพวกเขาถูกทรมานทุกวันเช้าเย็นจนสภาพใจจิตของพวกเขาเริ่มย่ำแย่ลงทุกวันโชคยังดีที่หัวหน้าของพวกเขาได้ส่งข้อมูลล่าสุดของพวกเขาให้กับศูนย์บัญชาการแล้วดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง แต่หลังจากที่ข้อมูลได้ถูกส่งออกไปก็ยังไม่มีหน่วยไหนถูกส่งมาช่วยพวกเขาเลยแม้แต่น้อยทำให้ความหวังของพวกเขาเริ่มค่อยๆ ลดน้อยลงจนแทบจะดับ
แต่แล้วในที่สุดเทียนหลางก็ปรากฏตัวขึ้นมาในช่วงสุดท้ายทำให้ความหวังของพวกเขากลับมาอีกครั้ง
ชายในห้องขังได้เอ่ยถามเทียนหลางขึ้นมาทันที
”แล้วคนอื่นๆ หล่ะ ?”
”พวกเขากำลังมาผมแอบเข้ามาได้ก่อนจึงมาสำรวจที่นี้และก็พบพวกคุณ”
เมื่อได้ยินคำตอบของเทียนหลางเขาก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า
”นายสามารถช่วยพวกเราออกไปได้ไหม ?”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะเอ่ยถาม
”พวกคุณยังเดินไหวอยู่หรือเปล่า ?”
”แน่นอน”
เมื่อได้ยินคำตอบเทียนหลางก็ใช้มีดสั้นในมือของเขาฟันไปที่แม่กุญของห้องขังเพื่อปลอยนักโทษหน่วย 7 ออกมาทีละคนก่อนจะพูดขึ้น
”ผมต้องไปจัดการธุระของผมก่อนพวกคุณสามารถติดต่อกับหน่วยของผมได้ด้วยหูฟังไร้สายอันนี้”
หลังจากพูดจบเทียนหลางก็ยื่นหูฟังไร้สายอีกอันให้กับหนึ่งคนในนั้นก่อนจะเดินจากไป แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินจากไปคนของหน่วย 7 ก็ได้ถามขึ้น
”นายจะไม่คุ้มกันพวกเราออกจากที่นี้งั้นเหรอ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็หันมาตอบกลับอย่างสบายๆ ว่า
”ไม่ต้องห่วงหรอกทหารในคฤหาสน์นี้ถูกผมฆ่าหมดแล้วจะเหลือก็เพียงพวกยามข้างนอกพวกคุณสามารถหนีออกไปได้ทางโรงจอดรถด้านหลัง และตรงไปยังสถานที่นัดพบของหน่วยผม ส่วนเรื่องพิกัดก็ถามเอาเองแล้วกันผมต้องไปเอาของสักหน่อย”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็เดินจากไปทันทีไม่รอให้คนของหน่วย 7 ได้พูดอะไรสักอย่าง เทียนหลางกลับมาที่ห้องทำงานของฮาคาดิก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อมันคือถุงดำขนาดใหญ่ที่หยาฟูฉินได้แจกให้สมาชิกแต่ละคนเอาไว้ก่อนหน้านี้เพื่อไว้สำหรับใส่ศพหรือส่วนอื่นๆ ของหน่วย 7 เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการตายของพวกเขา
แต่เทียนหลางจะนำมันมาใส่ร่างที่ถูกสะกัดจุดไว้ของฮาคาดิเพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้ายเพราะหากจะให้เขาจูงคนๆ หนึ่งไปมาละก็คงจะลำบากน่าดู เทียนหลางมาหยุดอยู่ตรงหน้าของฮาคาดิก่อนจะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”เอาละนะ ฉันคงจะต้องห่อหน้าใส่ถุงนี้ซะก่อนแล้วเดียวเจอกันบนเครื่อง”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็ห่อฮาคาดิใส่ถุงดำก่อนจะติดต่อหัวหน้าไป๋ตงหลินผ่านวิทยุสื่อสารของเขา
”หัวหน้าผมจับตัวฮาคาดิและได้รับพัสดุ จะให้ผมไปที่จุดนัดพบเลยไหมครับ”
หัวหน้าไป๋ตงหลินที่ได้ยินก็ตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปเพราะก่อนหน้านี้เขาได้รับการติดต่อจากหน่วย 7 เรียบร้อยแล้วเขาจึงตอบกลับเทียนหลางไปว่า
[ ไปรอที่จุดนัดพบได้เลยพวกเราจะไปคุ้มกันหน่วย 7 ให้ออกจากจุดอันตรายก่อน ]
”เข้าใจแล้วครับ”
จากนั้นเทียนหลางก็แบกฮาคาดิที่อยู่ในถุงดำขึ้นหลังเพราะแหวนมิติของเขานั้นไม่สามารถใส่สิ่งมีชีวิตได้ดังนั้นเขาจึงต้องแบกไป ซึ่งจุดนัดพบที่หัวหน้าไป๋ตงหลินพูดถึงนั้นก็คือสนามบินส่วนตัวที่อยู่ห่างไปจากที่คฤหาสน์ประมาณ 50 กิโลแต่ระยะทางก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้วดังนั้นเทียนหลางจึงมาถึงสนามบินได้ในเวลาไม่กี่นาทีต่อมา
เมื่อมาถึงเขาก็เห็นเครื่องบินที่มาส่งพวกเขาก่อนหน้านี้กับเจ้าหน้าที่สองสามคนกำลังคอยพวกเขาอยู่ แต่เมื่อพวกเขาเห็นเทียนหลางกลับมาคนเดียวก็มองเขาด้วยใบหน้าสงสัย เทียนหลางจึงบอกไปว่าอีกไม่นานก็คงกลับมาหากไม่มีปัญหาอะไรดังนั้นเทียนหลางจึงได้กลับมาพักผ่อนก่อนใครเพื่อน
ประมาณ 2 ชั่วโมงหลังจากเทียนหลางกลับมาขบวนรถ 3 คันก็ได้มาถึงสนามบินก่อนที่หัวหน้าไป๋ตงหลินและคนอื่นๆ จะลงมาจากรถพร้อมกับหน่วย 7 ที่สภาพสาหัสเมื่อเจ้าหน้าทั้งสองคนเห็นคนบาดเจ็บพวกเขาก็รีบวิ่งเข้าไปตรวจดูอาการทันทีเพราะหนึ่งในนั้นมีหน้ามีเป็นแพทย์ด้วยเช่นกัน
ไป๋ตงหลินที่เห็นเทียนหลางนอนเอนหลังอยู่ในเครื่องเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับเอ่ยชื่นชม
”สุดยอดไปเลยนะนายหน่ะ”
เทียนหลางลืมตาขึ้นก่อนจะเอ่ยขอบคุณ ไป๋ตงหลินจึงถามอีกว่า
”แล้วตราหยกกับฮาคาดิหล่ะ ?”
เมื่อเทียนหลางได้ยินคำถามก็ลุกขึ้นก่อนจะหยิบตราหยกออกมาจากกระเป๋าหลังและยื่นมันให้กับไป๋ตงหลิน จากนั้นก็ชี้ไปที่ถุงดำที่อยู่ไม่ไกลจากเขานัก
”ฮาคาดิอยู่ในนั้น”
ไป๋ตงหลินที่เห็นก็ตกใจเล็กน้อย
”เขาตายแล้วงั้นเหรอ ?”
”เปล่าครับ เขายังมีชีวิตอยู่ผมแค่ทำให้เขาขยับไม่ได้เท่านั้น”
เมื่อได้ยินแบบนั้นไป๋ตงหลินก็เดินไปเปิดถุงดำก่อนจะเห็นใบหน้าของฮาคาดิ หลังจากตรวจเช็คทุกอย่างแล้วไป๋ตงหลินก็ไปช่วยปฐมพยาบาลหน่วย 7 คนอื่นๆ ก่อนที่จะพาทุกคนขึ้นเครื่องและบินกลับไปจีน
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเทียนหลางก็มาถึงสนามบินของกองทัพที่เมืองจิงไห่ เมื่อมาถึงเทียนหลางก็พบกับเลขาไป๋กำลังรอพวกเขาอยู่เทียนหลางไม่ได้พูดอะไรมากขอตัวกลับบ้านอย่างรวดเร็วเพราะเขานั้นอยากจะนอนเต็มทีอยู่แล้วซึ่งเลขาไป๋ก็ไม่ได้ห้ามอะไรก่อนจากไปเทียนหลางก็พูดกับเลขาไป๋ว่า
”ส่วนเรื่องค่าจ้างผมจะมารับทีหลังนะครับ”
เลขาไป๋ได้ยินก็ยิ้มออกมาก่อนจะพยักหน้าและกลับไปดูแลหน่วยหมาป่าและหน่วย 7 ต่อ
———————————————————————————————————
เมื่อเทียนหลางกลับมาที่บ้านก็ถูกแม่ของเขาถามทันที
”ลูกหายไปไหนมา ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
”พอดีไปกินเลี้ยงกับเพื่อนเก่านะครับแล้วก็เลยนอนที่บ้านเพื่อนเมื่อคืน”
แม่ของเขาได้ยินก็พยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะเธอรู้ว่าเทียนหลางนั้นโตแล้วคงจะจัดการตัวเองได้จึงไม่ได้ห้ามอะไรมากนัก หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อยเทียนหลางก็เดินมาที่บ้านของเขาและเห็นว่าเฟิงหยวนกำลังอ่านหนังสืออะไรบางอย่างอยู่
”อ่านอะไรงั้นเหรอ ?”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็ตอบกลับอย่างใจเย็น
”กำลังอ่านนิยายอยู่หน่ะ”
เทียนหลางได้ยินก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปดูก็พบว่าเป็นนิยายของโลกใบนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังขายดีอยู่ในช่วงนี้ เขาคาดว่าเฟิงหยวนคงไปเห็นเข้าระหว่างเดินซื้อของอยู่ในห้างจึงได้ซื้อมาลองอ่านดูและคงเกิดชอบขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเฟิงหยวนกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสืออยู่เขาจึงไม่ได้รบกวนเธอแต่อย่างใดเขาจึงทำเพียงนั่งกินผลไม้อยู่ข้างๆ
ไม่นานนักเฟิงหยวนก็ปิดหนังสือลงพร้อมกับหันมาถามเขาที่กำลังเคี้ยวองุ่นอยู่
”ภาระกิจเป็นยังไงบ้าง ?”
”อืม… ราบรื่นดีนะเหมือนอย่างที่เธอบอกเจ้านั่นรวยใช้ได้เลยหล่ะ แถมยังได้วัตถุโบราณมาอีกเยอะแยะเลยคงต้องให้ซ่านฉินเอาไปขายที่ตลาดมืดสักหน่อยเพื่อหาเงินทุนของศาลาสวรรค์คงน่าจะได้สักห้าถึงหกร้อยล้านหล่ะมั้ง”
”ก็ยังถือว่าได้กำไรอยู่ ไหนเอามาให้ฉันดูหน่อยซิ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเทียนหลางก็ส่งแหวนมิติให้กับเฟิงหยวนเพื่อให้เธอตรวจดูวัตถุโบราณด้านใน ในขณะที่เฟิงหยวนกำลังตรวจสอบอยู่นั้นเธอก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างก่อนจะนำมันออกมาจากแหวนซึ่งนั่นก็คือ ปิ่นหยกขาวนั่นเองเธอจ้องมองมันอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยถาม
”ทำไมสิ่งประดิษฐ์ของคุณถึงมาอยู่ในโลกนี้ได้ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็เกาแก้มเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
”ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ดูเหมือนพลังของสิ่งประดิษฐ์จะหมดไปแล้วบางทีมันอาจจะหล่นหายก็ได้นะ”
”หล่นหาย ? จากใครกันหล่ะ ?”
เฟิงหยวนเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม เทียนหลางจึงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับ
”ของลูกสาวผมเองหน่ะ”
เมื่อเฟิงหยวนได้ยินคำตอบของเทียนหลางก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเก็บปิ่นหยกขาวกลับไปในแหวน และจับมือของเทียนหลางเอาไว้เบาๆ การกระทำของเฟิงหยวนสร้างความงุนงงให้กับเทียนหลางไม่น้อยแต่ก่อนที่จะได้เอ่ยถามอะไรออกไปร่างกายของทั้งคู่ก็หายไปจากห้องนั่งเล่น
———————————————————————————————————
ทั้งคู่มาปรากฏตัวอยู่ยังสถานที่หนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นเกาะที่ไหนสักแห่งกลางทะเล เทียนหลางมองไปรอบๆ ตัวก่อนจะเห็นว่ามีเก้าอี้ชายหาดพร้อมกับร่มสนามขนาดใหญ่และโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่เขาหันไปถามเฟิงหยวนด้วยสีหน้างุนงง
”ที่นี้ที่ไหนงั้นเหรอที่รัก ?”
เฟิงหยวนไม่ตอบกลับเธอเพียงพึมพำอะไรอยู่เบาๆ ทำให้เทียนหลางรู้สึกไม่สบายใจเขาจึงเดินเข้าไปหาเฟิงหยวนพร้อมกับเอ่ยถามเธอ
”นี่คุณเป็นอะไรรึเปล่า ?”
เมื่อเข้ามาใกล้ๆ เทียนหลางก็ได้ยินสิ่งที่เฟิงหยวนกำลังพูดอยู่
”ทำไม ?”
”ทำไม ?”
เทียนหลางงุนงงกับคำพูดของเธอแต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไปแรงกดดันมหาศาลก็ถูกปล่อยออกมาจากร่างกายของเฟิงหยวนจนทำให้พื้นดินของเกาะนั้นถึงกับสั่นสะเทือน เทียนหลางตกใจเป็นอย่างมากถึงกับกระโดดขึ้นไปอยู่บนฟ้าเขารู้ได้ทันทีเลยว่าในตอนนี้เฟิงหยวนกำลังโกรธสุดๆ
ตัวเขาไม่ชอบช่วงเวลานี้เป็นอย่างมากโดยปกติแล้วเฟิงหยวนจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกนี้ออกมาสักเท่าไหร่ แต่หากเธอได้แสดงมันออกมาอย่างโจ่งแจ้งแล้วละก็หายนะแน่ๆ
เพราะครั้งล่าสุดที่เฟิงหยวนโกรธนั้นคือตอนที่เขาแอบออกไปเที่ยวหอนางโลมกับเจ้าชายองค์หนึ่งแทนที่จะอยู่ช่วยเธอเฝ้าสมุนไพรวิเศษ เช้าวันต่อมาเมื่อเฟิงหยวนรู้เรื่องเข้าเธอถึงกับไล่ทุบตีเทียนหลางไปทั่วทวีป
และในตอนนี้ดูเหมือนเฟิงหยวนจะแสดงด้านนั้นออกมาอีกครั้งและเขาคาดว่าครั้งนี้คงจะเลวร้ายกว่ามาก เพราะตลอดเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันเขาไม่เคยบอกเรื่องของลูกสาวของเขาเลยแม้แต่น้อยแถมยังปกปิดไว้อย่างมิดชิดอีกด้วย นี้เทียบเท่ากับว่าตัวเขาโกหกเธอมันหนักหนาเสียยิ่งกว่าแอบไปมีผู้หญิงคนอื่นเสียอีก
เขาจะต้องรีบแก้สถานะการณ์นี้โดยเร็วก่อนที่เขาจะถูกส่งไปกองอยู่ใต้ทะเล เขาจึงรีบพุ่งเข้าไปหาเฟิงหยวนพร้อมกับรีบอธิบาย
”ที่รักคุณใจเย็นก่อน ผมอธิบายเรื่องนะ…”
ยังไม่ทันที่เทียนหลางจะได้พูดจบเฟิงหยวนก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน
”คุณหน่ะ จงกลายเป็นอาหารปลาไปซะ !!!”
ทันทีที่เฟิงหยวนพูดจบร่างกายของเธอก็เปร่งออร่าสีฟ้าครามออกมาทันทีมันแผ่ขยายออกไปจนครอบคลุมทั่วทั้งเกาะก่อนจะกลับมารวมตัวกันอยู่ที่ฝ่ามือของเธอ เฟิงหยวนพุ่งเข้ามาหาเทียนหลางอย่างรวดเร็วก่อนจะซัดฝ่ามือออกไป
”จงไปนอนสำนึกผิดอยู่ก้นทะเลสักร้อยปีเถอะ ฝ่ามือบุปผานิรันดิ์ !!”