เมื่อผู้คนในห้องโถงได้ยินคำพูดของเทียนหลางก็ต่างตกตะลึง บ้างก็แสดงสีหน้าข่มขู่ออกมามีเพียงผู้เฒ่าฮัวเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่อย่างใจเย็น
ทันใดนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
”นี่แกจะกล้ามากไปแล้ว แกไม่รู้หรือไงว่าที่ๆแกยืนอยู่นี่เป็นที่ของใคร !?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็หันมองชายคนนั้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
”นายเป็นใคร ?”
เมื่อได้ยินคำถามชายคนนั้นก็พูดออกมาด้วยท่าทีหยิ่งยะโสทันที
”ฉันชื่อจิงสง เป็นเลขาของท่านประธานฮัวจือหยง แห่งกลุ่มการเงินฮัวจือ !”
เทียนหลางก็พยักหน้าพร้อมกับมองเขาเล็กน้อยก่อนจะคิดเกี่ยวกับจิงสง จากการมองเพียงแค่หางตาของเขาก็พอจะรู้ได้ว่าจิงสงนั้นเป็นคนที่โลภมากและหยิ่งยะโสเกินที่คาดจะเดา ดูเหมือนว่าคนที่ชื่อจิงสงนั้นจะเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานอยู่ไม่น้อยแต่ก็คงจะมากพอๆกับความเย่อหยิ่งของเขา
เทียนหลางหลับตาลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
”ผู้เฒ่าฮัว คุณช่วยบอกให้สุนัขของคุณเงียบสักหน่อยจะได้ไหม”
เมื่อจิงสงได้ยินแบบนั้นก็มีสีหน้าโกรธเคืองขึ้นมาทันที
”แก…”
”หยุดได้แล้วจิงสง !!”
ก่อนที่จิงสงจะได้พูดอะไรเขาก็ถูกผู้เฒ่าฮัวห้ามปราบเอาไว้ก่อนจากนั้นเขาก็พูดกับเทียนหลางว่า
”ฉันต้องขอโทษแทนคนของฉันจริงๆนะพ่อหนุ่ม”
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับตอบกลับ
”ผมไม่คิดมากเรื่องเล็กน้อยเพราะสุนัขที่คาดการอบรมสั่งสอนมักจะเห่ากราดใส่ผู้คน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ผมเข้าใจ”
แม้คำพูดของเทียนหลางนั้นจะดูธรรมดาที่แฝงไปด้วยการจิกกัดจิงสงแต่หากมองให้ดีแล้วนั้นเป็นการโจมตีผู้เฒ่าฮัวโดยตรงถึงเรื่องการดูแลผู้อยู่ภายใต้อำนาจ
หากคุณต้องการจะเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือผู้อื่นแล้วละก็สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือความภักดีและเชื่อฟังของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาและสิ่งที่เทียนหลางพึ่งกล่าวออกไปเมื่อครู่นั้นแสดงให้เห็นว่าผู้เฒ่าฮัวนั้นไม่มีคุณสมบัติในด้านนี้แต่ผู้เฒ่าฮัวที่ดูเหมือนจะรู้ความหายที่แท้จริงในคำพูดของเทียนหลางแต่ดูเหมือนเขาก็จะไม่สนใจอะไรมากนัก
ผู้เฒ่าฮัวจ้องมองเทียนหลางเล็กน้อยพร้อมกับคิดบางอย่างในใจก่อนจะพูดขึ้น
”ที่เธอบอกว่าจะลงโทษคนที่ก่อปัญหาให้กับธุรกิจของเธอ ฉันของถามหน่อยได้ไหมว่าเธอนั้นทำธุรกิจอะไร ?”
เทียนหลางพยักหน้าพรางตอบกลับ
”ก็ไม่มีอะไรมาก โรมแรมกับคาสิโนไม่กี่แห่งแล้วก็ร้านขายเครื่องประดับกับร้านอาหาร”
”ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่อายุน้อยอย่างเธอนั้นจะมีธุรกิจมากมายขนาดนี้”
”ก็นิดหน่อย”
ดูเหมือนผู้เฒ่าฮัวนั้นจะพูดอะไรต่อเทียนหลางนั้นก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
”เอาหล่ะข้าว่าพักเรื่องราวไร้สาระเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน มาเข้าประเด็นหลักของเราเลยดีกว่า”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็หันหน้าไปมองยังคนที่นอนอยู่ตรงปลายเท้าของเขาจะที่เทียนหลางจะบอกให้จิวหยวนปลุกมันขึ้นมา
จิวหยวนเดินไปหยิบแก้วน้ำที่บริกรกำลังจะนำมาเสิร์ฟให้กับผู้เข้าร่วมงานมาแก้วหนึ่งพร้อมกับเทไปที่คนๆนั้นทันที เมื่อร่างกายของเขาสัมผัสกับน้ำเย็นๆเขาก็ได้สติขึ้นมาทันที แต่ด้วยอาการบาดเจ็บของเขาทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนัก แต่เมื่อเขาเห็นหน้าเทียนหลางเขาก็พยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะคลานหนีเทียนหลาง แต่ก็ถูกจิวหยวนจับเอาไว้
เทียนหลางเมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามได้สติขึ้นมาแล้วเขาก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”เอาละที่นี้คือบ้านตระกูลฮัว มีคนของตระกูลฮัวเกือบทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้ฉะนั้นไม่ยากหากนายจะมองหาคนที่ฉันต้องการ เอาละเริ่มชี้ตัวได้แล้ว”
เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเทียนหลาง เขาก็มองไปยังรอบๆด้วยความหวาดกลัวแต่เมื่อเขานึกถึงชีวิตของเขาแล้วเขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะหาคนที่เทียนหลางต้องการ
เขามองไปทั่วบริเวณจนสายตาของเขากระทบกับร่างๆหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆกับผู้เฒ่าฮัว เขาเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปีปลายๆใบหน้าดูดีพร้อมกับมีความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมล้มออกมาจากใบหน้าของเขาซึ่งบอกได้อย่างรวดเร็วว่าเขานั้นเป็นคนที่มั่นใจในตัวสูง
หลังจากที่เขาพบเห็นชายคนนั้นแล้ว เขาก็หันไปมองเทียนหลางพร้อมกับเอ่ยขึ้น
”เขานั่นแหละ เขาคนนั้นแหละที่จ้างผมให้ส่งลูกน้องของผมไปก่อกวนคาสิโนของคุณ !”
เทียนหลางมองไปยังทิศทางที่ชายคนนั้นบอกก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
”นายแน่ใจนะ ?”
”แน่นอนครับคุณชาย ผมจำเขาได้แม่นหากคุณชายต้องการหลักฐานผมมีให้กับคุณชายอย่างแน่นอนเพราะผมได้อัดวีดิโอของการเจรจาทุกอย่างเอาไว้หมดแล้วซึ่งอยู่ในโทรศัพของผม”
เมื่อได้ยินแบบนั้นฟ่านหยูก็เดินไปค้นตัวของเขาทันทีพร้อมกับหยิบโทรศัพออกมาและค้นหาคลิปดังกล่าวก่อนจะเปิดมันให้กับเทียนหลางได้ดูซึ่งภายในวีดิโอนั้นก็มีทั้งบทสนทนาและหน้าตาของเขากับลูกค้าอยู่ด้วย แน่นอนว่าเทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้การบันทึกภาพนั้นชัดเจนเป็นอย่างมากจึงง่ายที่จะรู้ว่าใครเป็นใคร
หลังจากที่ดูคลิปจบเทียนหลางก็หันไปหาชายคนนั้นก่อนจะเอ่ยถาม
”เป็นนายเองสินะที่ช่วงนี้เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเงินของฉัน”
เมื่อถูกระบุตัวตนเป็นที่เรียบร้อยแล้วและหลักฐานก็มัดตัวอย่างแน่นหนาชายคนนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่เกรงกลัว
”ถูกต้องเป็นฉันเอง แล้วนายจะทำไมนายจะทำอะไรฉันได้ ฉันคือฮัวจือข่ายลูกชายของฮัวจื่อคง”
เทียนหลางมองเขาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นอย่างใจเย็น
”ฟ่านหยู จิวหยวนไปลากตัวมันมา”
” ” ครับบอส ” ”
เมื่อทั้งคู่ได้ยินคำสั่งของเทียนหลางพวกเขาก็รีบเดินตรงเข้าไปหาฮัวจือข่ายทันที แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปได้ไกลนักก็มีคนของตระกูลฮัวออกมาขวางพวกเขาเอาไว้ทั้งสองคนจึงหยุดพร้อมกับรอคำสั่งของเทียนหลาง ทางด้านผู้เฒ่าฮัวที่เห็นการกระทำอันอุกอาจของเทียนหลางเขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้น
”พ่อหนุ่มเป็นเพราะฉันสั่งสอนลูกหลานไม่ดีเอง แถมวันนี้ยังเป็นวันเกิดของฉันอีกด้วยเธอจะปล่อยจะเขาไปเพื่อเห็นแก่หน้าของฉันจะได้หรือเปล่าพ่อหนุ่ม แล้วอีกอย่างเธอยังอยู่ในพื้นที่ของตระกูลฉันๆหวังว่าเธอจะไม่ทำอะไรเกินเลย”
เมื่อทุกคนในงานได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าฮัวก็ตกใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าผู้นำตระกูลฮัวที่ยิ่งใหญ่แห่งเมืองจิงไห่จะเป็นเอ่ยปากขอร้องเด็กหนุ่มอย่างเทียนหลาง
ทางด้านของเทียนหลางก็จ้องมองผู้เฒ่าฮัวเล็กน้อยก่อนจะคิดบางอย่างในใจ
‘ตาเฒ่านี่ดูจะเจ้าเล่ห์ไม่เบา แม้จะแสดงออกมาว่าเป็นคนนอบน้อมและจิตใจดี แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความโกรธ และเพลิงแค้นอันรุนแรงช่างเป็นตาเฒ่าที่น่ารำคาญไม่น้อยเลยทีเดียว’
เทียนหลางถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามกับผู้เฒ่าฮัว
”ผู้เฒ่าฮัวรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่ทำให้มนุษย์นั้นอยู่เหนือสัตว์เดรัจฉาน ?”
เมื่อผู้เฒ่าฮัวและทุกคนในงานได้ยินคำถามของเทียนหลางก็ได้แต่แสดงสีหน้าสงสัยออกมาพร้อมกับครุ่นคิด จนผ่านไปครู่สั้นๆผู้เฒ่าฮัวก็ได้พูดขึ้น
”แน่นอนว่าย่อมเป็นสติปัญญา”
เมื่อเทียนหลางได้ยินแบบนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังจนทำให้ทุกคนในงานต่างงุนงงสงสัย
เทียนหลางนั้นมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานแน่นอนว่าเขาย่อมต้องรู้จักสัตว์มากมายหลายหมื่นชนิดมากกว่าทุกคนบนโลกใบนี้และการที่ผู้คนมักจะบอกกันว่าสติปัญญาคือสิ่งที่แยกมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานออกจากกัน แต่สำหรับเทียนหลางนั้นไม่ใช่ เพราะไม่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะต่ำต้อยเพียงใบพวกมันก็มักจะมีสติปัญญาอยู่เพียงแต่จะมากหรือน้อยก็แค่นั้นและยิ่งมันเกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะอีกด้วย นั่นจึงทำให้มนุษย์นั้นไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวที่มีสติปัญญา
ในอดีตเทียนหลางนั้นเคยพบเจอกับเต่าที่มีความรู้มากเสียกว่าปราชญ์ในราชสำนักเสียอีก
เทียนหลางหยุดหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น
”สำหรับผมนั้นสติปัญญาเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ส่วนสำคัญที่แท้จริงที่แยกมนุษย์กับสัตว์ออกจากกันก็คือ สัญชาตญาณ”
”สัญชาตญาณ ?”
ทุกคนงงงวยกับคำพูดของเทียนหลางไม่เว้นแม้แต่ผู้เฒ่าฮัว เทียนหลางจึงอธิบายเพิ่ม
”มนุษย์นั้นมีการยับยั้งชั่งใจในเรื่องต่างๆได้ดี ไม่ว่าจะสติ อารมณ์ หรือแม้แต่สัญชาตญาณดิบของตัวเอง”
เทียนหลางเงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อ
”แต่ถึงอย่างงั้นก็มีสิ่งที่มนุษย์มิอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกเช่นกัน ผู้เฒ่าฮัวรู้ไหมว่ามันคือสิ่งใด ?”
ผู้เฒ่าฮัวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
”ช่วยไขข้อสงสัยให้ชายชราผู้นี้ที”
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”สิ่งที่มนุษย์นั้นมิอาจเลี่ยงได้มีอยู่สามสิ่ง ซึ่งก็คือ ตัณหา ปราถนา…”
เมื่อถึงจุดนี้เทียนหลางก็เงียบไปสักพักก่อนจะมองไปที่ฮัวจือข่ายและพูดขึ้น
”และความละโมบ ฟ่านหยู จิวหยวนไปลากตัวมันมา”
” ”ครับบอส” ”
เมื่อได้ยินคำยืนยันอันหนักแน่นของเทียนหลาง ฟ่านหยูและจิวหยวนก็พุ่งตัวฝ่าเหล่าการ์ดของตระกูลฮัวอย่างรวดเร็วและไปปรากฏอยู่ตรงหน้าของฮัวจือข่ายก่อนที่ฟ่านหยูจะต่อยท้องของเขาอย่างรุนแรง
เปรี้ยง !!
เสียงของหมัดปะทะเข้ากับหน้าท้องของฮัวจือข่ายดังลั่นไปทั่วห้องโถงรับรองจากนั้นจิวหยวนก็หิ้วร่างของฮัวจือข่ายผ่านการ์ดของตระกูลฮัวมาอยู่ตรงข้างของเทียนหลางอย่างรวดเร็ว
ทุกคนตกใจกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างมากเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่าฮัวและคนในตระกูลฮัวที่ได้เห็นแบบนั้นก็แสดงสีหน้าตกใจเป็นอย่างมากเพราะพวกเขาไม่คิดว่าหลานของพวกเขาจะตกไปอยู่ในมือฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดายแบบนี้
ผู้เฒ่าฮัวที่มองร่างที่ไร้สติของฮัวจือข่ายอย่างไม่วางตาก็พูดออกมาทันที
”พ่อหนุ่มนี่เธอแน่ใจงั้นเหรอที่จะทำแบบนี้ ?”