อำพันปีศาจถูกสร้างขึ้นมาโดยการสูบพลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงเหล่าปีศาจด้วยกันเอง อำพันปีศาจมีหน้าที่กักเก็บพลังงานด้านลบและพลังงานชีวิตของสิ่งต่างๆเพื่อนำมาใช้สร้างสมุนปีศาจ
ในอดีตเทียนหลางเดินทางไปยังดินแดนแห่งหนึ่งที่นั่นมนุษย์และปีศาจต่างทำสงครามฆ่าฟันกันมาอย่างยาวนานและดูเหมือนว่าในที่สุดมนุษย์นั้นก็กำลังจะกลายเป็นฝ่ายที่คว้าชัยชนะแต่การมาถึงของอำพันปีศาจทำให้กระแสสงครามนั้นพลิกกลับด้านอย่างสิ้นเชิง
แต่เดิมจากที่มนุษย์นั้นชนะด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า แต่อำพันปีศาจทำให้ปีศาจนั้นสามารถสร้างกองทัพได้เป็นจำนวนมากทำให้การต่อสู้นั้นรุนแรงมากขึ้นแม้เหล่ามนุษย์จะแข็งแกร่งมากแค่ไหนแต่จำนวนของเหล่าปีศาจก็มากจนเกินไปสุดท้ายเหล่ามนุษย์ก็พ่ายแพ้ด้วยจำนวนมากล้นของเหล่าปีศาจ
อำพันปีศาจนั้นมีความสามารถสร้างปีศาจได้เป็นจำนวนมากภายในระยะเวลาสั้นๆและทันทีที่พวกมันถูกสร้างขึ้นก็สามารถใช้งานได้ทันทีต่างจากมนุษย์ที่กว่าจะฝึกฝนจนสามารถต่อสู้ได้ก็ต้องใช้เวลากว่าสิบปีจึงเป็นเรื่องยากที่มนุษย์นั้นจะต่อกรกับกองทัพปีศาจได้ดังนั้นในความคิดของเทียนหลาง เจ้าอำพันปีศาจนี่จึงถูกจัดอยู่ในหมวดสิ่งของพึงระวังและไม่ควรให้มีใครได้ใช้มัน
เทียนหลางจ้องมองอำพันปีศาจที่อยู่ในตู้กระจกใสอย่างใจเย็นก่อนจะคิดว่าเหตุใดมันจึงมาปรากฏอยู่บนโลกนี้ได้
เทียนหลางถอนหายใจออกมาก่อนจะทำลายกระจกใสและขว้าหยิบอำพันปีศาจออกมา จากนั้นเทียนหลางก็เดินสำรวจรอบๆเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตแม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าในศูนย์วิจัยแห่งนี้ไม่มีผู้เหลืรอดแล้วก็ตามแต่ก็ต้องทำเพราะมันเป็นหน้าที่ ไม่อย่างงั้นเขาจะเอาอะไรไปรายงานเลขาไป๋กันละ ?
และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เทียนหลางต้องสำรวจที่นี้เพราะเขาอาจจะเจอสิ่งของที่ดูน่าสงสัยหรือเป็นอันตรายชิ้นอื่นอีกก็ได้ แต่น่าผิดหวังเทียนหลางไม่เจออะไรอย่างอื่นเลยนอกเสียจากเทคโนโลยีไร้สาระอย่างปืนเลเซอร์ หรือเจ็ทแพ็ค
เขาจึงเดาว่าพวกมันคงได้สิ่งของที่ต้องการแล้วและรีบถอยทัพกลับทันที เพราะถ้าหากอยู่นานเกินไปพวกมันคงได้ถูกปีศาจพวกนี้ฆ่าหมดเป็นแน่
เทียนหลางถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าไม่มีอะไรที่แลดูน่าเป็นห่วง ดังนั้นเขาจึงรายงานกับเลขาไป๋ไปว่า
”เลขาไป๋ยังอยู่ไหม ?”
[ ยังอยู่ว่าแต่นายพบผู้รอดชีวิตไหม ? ]
”น่าเสียดาย ผมไม่พบเลยสักคนดูเหมือนว่าถ้าไม่ถูกจับไปก็คงโดนฆ่าตายหมดแล้ว”
เทียนหลางพูดไปอย่างงั้นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเหตุผลที่ทุกคนในนี้ตายหมดเพราะโดนปีศาจเหล่านั้นฆ่า แต่หากเทียนหลางพูดไปแบบนั้นแน่นอนว่าเลขาไป๋ไม่เชื่ออย่างแน่นอน
เมื่อได้ทราบถึงข่าวร้ายแล้วเลขาไป๋ก็ถามกับเทียนหลางต่อว่า
[ แล้วผู้บุกรุกละ ? ]
”น่าจะกลับไปกันหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่ซากศพพวกนี้ ว่าแต่เลขาไป๋คุณจะเอายังไงต่อดูเหมือนว่าพวกมันจะได้สิ่งที่ต้องการไปแล้วและงานวิจัยอื่นๆพวกมันก็ไม่ได้แตะต้องเลยด้วย”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเลขาไป๋ก็คิดอยู่สักพักก่อนจะตอบกลับเทียนหลางว่า
[ เรื่องนั้นไม่ต้องไปทำอะไรเธอมีหน้าที่สำรวจความเรียบร้อยและตรวจสอบความปลอดภัยเป็นพอ เดียวอีกไม่กี่ชั่วโมงทีมเก็บกวาดก็จะไปถึงแล้ว ]
”เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากตัดสายจากเลขาไป๋ไปเทียนหลางก็เริ่มคิดเล็กน้อยเกี่ยวกับทีมเก็บกวาดที่จะมาถึง เพราะหลังจากที่เทียนหลางเก็บอำพันปีศาจไปแล้วสิ่งที่ขัดขวางสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็หายไปด้วยดังนั้นเทียนหลางจึงรู้ว่าภายในศูนย์วิจัยแห่งนี้ยังมีปีศาจระดับต่ำอยู่อีกเป็นจำนวนมาก
เพื่อที่จะไม่ให้เรื่องเกี่ยวกับปีศาจรั่วไหลออกไปมากกว่านี้เทียนหลางจึงคิดจะกำจัดปีศาจพวกนั้นทั้งหมดเพื่อที่เมื่อทีมเก็บกวาดมาจะได้ปลอดภัย
เทียนหลางเดินไปตามทางเดินพร้อมกับเข่นฆ่าปีศาจระดับต่ำพวกนี้ไปด้วย เขาหาวออกมาด้วยความเบื่อหน่ายก่อนบ่นออกมา
”อยากกลับบ้านไปนอนจังเลยแหะ”
เวลาล่วงเลยไปถึงช่วงเย็นเทียนหลางก็ได้จัดการกำจัดปีศาจทั้งหมดในศูนย์วิจัยออกไปแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ต้องกำจัดศพเพราะมันจะค่อยๆสลายไปเองในระยะเวลาไม่นาน
เทียนหลางออกมาจากศูนย์วิจัยก็พบกับอากาศอันหนาวเย็นของขั้วโลกเหนือ แน่นอนว่าความหนาวเย็นแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อยอย่างมากเขาก็คิดเพียงแค่ว่าลมที่นี้เย็นสบายกว่าที่อื่นเท่านั้น แต่สำหรับคนธรรมดานั้นที่แห่งนี้เรียกได้ว่านรกบนดินเลยทีเดียวทำเอาเทียนหลางอดสงสัยไม่ได้ว่าไอบ้าที่ไหนที่มันคิดสร้างศูนย์วิจัยไว้ในที่ห่างไกลผู้คนขนาดนี้
แม้มันจะปลอดภัยจากการถูกจับตาก็เถอะแต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับศูนย์วิจัยก็ไม่มีกำลังเสริมมาช่วยเหลือด้วยเช่นกันเช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้เพราะกว่าหน่วยช่วยเหลือจะมาถึงนักวิจัยทั้งหมดในศูนย์ก็ตายกันหมดแล้วเรียกได้ว่าเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช้เหตุจริงๆ
หากเป็นเขาแล้วละก็เขาจะสร้างศูนย์วิจัยไว้ใกล้มือใกล้เท้าจะดีกว่าทั้งสามารถตรวจสอบได้ง่าย และยังดำเนินการอะไรได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
เทียนหลางบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะสังเกตุเห็นกลุ่มคนเดินเข้าตรงมาทางเขา เทียนหลางคาดว่าคนเหล่านี้น่าจะเป็นนักเก็บกวาดที่เลขาไป๋ได้พูดออกไปก่อนหน้านี้แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่อย่างทีเขาคิดแหะ เพราะคนพวกนี้ติดอาวุธครบมือเลยทีเดียว
กลุ่มคนพวกนี้จอดรถอยู่ตรงหน้าของเทียนหลางก่อนที่จะมีผู้หญิงผมทองสวยงามคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ จากที่สังเกตุดูแล้วเธอน่าจะเป็นคนต่างชาติแต่เทียนหลางก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเธอนั้นมาจากประเทศอะไร
เธอเดินมาพร้อมกับผู้ชายอีกกลุ่มหนึ่ง เธอมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเทียนหลางพร้อมกับจ้องมองเขาด้วยสายตาสงสัยก่อนที่เธอจะถามออกมาด้วยภาษาที่เขาไม่คุ้นเคย
เทียนหลางแสดงสีหน้าไม่เข้าใจทันทีก่อนที่เธอจะนึกขึ้นได้ว่าชายตรงหน้านั้นไม่เข้าใจภาษาของเธอ เธอจึงเปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษซึ่งน่าจะเป็นภาษาสากลที่คนทั่วไปรู้
”ขอโทษนะคะ คุณคือนักวิจัยของสถาบันแห่งนี้งั้นเหรอ ?”
เทียนหลางได้ยินเธอพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษเขาก็เข้าใจได้ทันทีเพราะเขาได้เรียนมาในช่วงมัธยมปลายและยังศึกษาเองมาอีกนิดหน่อยดังนั้นเขาจึงเข้าใจที่เธอพูด เทียนหลางจึงตอบกลับเธอไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกันว่า
”เปล่าผมไม่ใช่”
เมื่อเธอได้ยินคำตอบของเทียนหลางเธอก็สงสัยเล็กน้อยก่อนจะถามเทียนหลางว่า
”แล้วคุณเป็นใคร ชื่ออะไร มาทำอะไรที่นี้ ?”
เทียนหลางได้ยินคำถามก็คิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปอย่างใจเย็น
”เทียนหลาง หน่วยรบพิเศษของจีน พอใจหรือยัง ?”
ทันทีที่เธอได้ยินคำตอบของเทียนหลาง เธอก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปคุยกับผู้ติดตามของเธอซึ่งแน่นอนว่าเทียนหลางได้ยิน
แม้จะไม่แน่ใจว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน แต่ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะมาจากองค์กรที่เรียกว่า ‘วาติกัน’ ของต่างประเทศซึ่งเทียนหลางก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาจากประเทศไหน เธอพูดคุยบางอย่างกับผู้ติดตามของเธอซึ่งแม้เทียนหลางจะฟังไม่ออกแต่เทียนหลางก็พอจะเดาได้ว่าสิ่งที่เธอสนใจไม่ใช่เทคโนโลยีกิ๊กก๊อกด้านในนั้นอย่างแน่นอน สิ่งที่เธอสนใจน่าจะเป็นอำพันปีศาจ เช่นเดียวกับเจ้าพวกหน่วยรบพิเศษที่มาบุกโจมตีศูนย์วิจัยก่อนหน้านี้ด้วย
หลังจากที่เธอพูดคุยกับคนติดตามเสร็จเธอก็หันมาพูดกับเทียนหลางด้วยภาษาอังกฤษอีกครั้ง
”คุณเข้าไปด้านในนั้นได้พบเจอกับอะไรที่น่าสงสัยบ้างหรือเปล่า ?”
เทียนหลางที่ได้ยินคำถามก็มองเธอเล็กน้อยก่อนจะถามกลับไปว่า
”ทำไมผมจะต้องตอบคำถามของคุณด้วย ?”
เธอไม่แปลกใจกับคำถามของเทีนยหลาง เธอจึงตอบกลับมาด้วยท่าทีใจเย็น
”ด้านในนั้นมีสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นอันตรายต่อโลกภายนอก เพราะงั้นหากคุณพบเห็นอะไรที่น่าสงสัยโปรดบอกพวกเราเพื่อที่พวกเราจะได้ทำลายมันก่อนที่จะสร้างหายนะให้กับโลกภายนอก”
เทียนหลางที่ได้ฟังคำตอบของเธอก็คิดเล็กน้อยจากการตรวจสอบของเขาแล้วดูเหมือนเธอจะไม่ได้โกหก และดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนดีไม่น้อย เทียนหลางจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าและหยิบอำพันปีศาจออกมาให้เธอดู
”เธอมาเพื่อสิ่งนี้สินะ ?”
เมื่อเธอเห็นว่าเทียนหลางสามารถจับอำพันปีศาจได้ด้วยมือเปล่าเธอก็ตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะเรียกให้ลูกน้องของเธอนำเครื่องมือมาตรวจสอบ
ชายคนนั้นนำเครื่องมือบางอย่างขึ้นมาจ่อที่อำพันปีศาจในมือของเทียนหลางหลังจากนั้นสักพักมันก็ได้มีเสียงดังติ๊ดๆขึ้นมา ชายคนนั้นก็หันไปคุยกับเธอทันที
หลังจากพูดคุยกันเสร็จเธอก็หันมาพูดกับเทียนหลางว่า
”จะเป็นไปได้ไหมถ้าพวกเราจะขอสิ่งที่อยู่ในมือคุณกลับไปเพราะสิ่งนั้นเป็นอันตรายอย่างมาก แน่นอนว่าทางเราจะคุยกับทางประเทศของคุณในภายหลังเพื่อกันคุณออกจากเรื่องนี้”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็มองเธอเล็กน้อยก่อนจะถามกลับไปว่า
”เจ้าสิ่งนี้เป็นอันตรายงั้นสินะ ?”
เธอพยักหน้ายืนยัน เทียนหลางจึงถามต่อ
”และเธอก็ต้องการนำมันไปเก็บรักษาเอาไว้สินะ”
”ถูกต้องทางเราจะนำมันไปเก็บรักษาและศึกษาวิจัยมันเพื่อที่จะหาทางป้องกันมันในอนาคต”
เทียนหลางที่ได้ยินคำตอบของเธอก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะบีบอำพันปีศาจในมือจนแตกละเอียด หลังจากนั้นเทียนหลางก็บอกกับเธอที่กำลังตกตะลึงอยู่ไปว่า
”ฉันไม่สน”