หลังจากที่เทียนหลางออกมาจากบ้านตระกูลตงเสวีย เขาก็ไปเยี่ยมเยียนคุณยายของตัวเองเล็กน้อย ทันทีที่คุณยายเห็นเทียนหลางมาเยี่ยมก็อดไม่ได้ที่จะดีใจและทำการต้อนรับอย่างดี
“นั่งก่อนสิหลาน”
“ครับผม”
เทียนหลางยิ้มก่อนจะนั่งลง จากนั้นก็มีสาวใช้มารินชาให้จากนั้นคุณยายก็ได้ถามกับเทียนหลางด้วยความเป็นห่วงว่า
“สบายดีใช่ไหมหลานยาย”
เทียนหลางยิ้มก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
“แน่นอนครับ ว่าแต่คุณยายเถอะคงจะลำบากไม่น้อยเลยสินะครับ”
เมื่อคุณยายได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า
“แม่ของลูกคงเล่าให้ฟังแล้วสินะ”
เทียนหลางพยักหน้า คุณยายจึงพูดต่อว่า
“ในตอนแรกทางเราก็พอจะยันเอาไว้ได้นั่นแหละนะ แต่หลังจากที่มีตระกูลโบราณอย่างตระกูลเข้ามาแทรกแซงอะไรต่างๆก็เริ่มที่จะเลวร้ายลง ในตอนนี้ดูเหมือนว่าสงครามจะปะทุได้ทุกเวลาเลยทีเดียว”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็ถามออกไปด้วยความสงสัยว่า
“แล้วทำไมอยู่ๆถึงอยากมาพัฒนาในประเทศละครับ ไม่ใช่ว่าปกติธุรกิจของเราจะอยู่ต่างประเทศหรอกเหรอ ?”
คุณยายที่ได้ยินคำถามก็ตอบกลับมาว่า
“หลานคงรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ตลาดประเทศจีนเป็นตลาดที่แทบจะใหญ่ที่สุดในโลก และสินค้าใหม่ของบริษัทเราก็เหมาะกับตลาดคนจีนเป็นอย่างมากจึงช่วยไม่ได้ที่เราจะต้องเข้ามาในตลาดจีน”
“ในตอนแรกมันก็ยังคงดีอยู่นั่นแหละ แต่ดูเหมือนว่าตระกูลหานจะยังคงแค้นเคืองเรื่องของยายอยู่ พวกเขาจึงทำทุกวิธีทางเพื่อขับเราออกจากตลาด”
เทียนหลางได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะถามสิ่งที่เขาสงสัย
“แล้วตระกูลเสี่ยวเข้ามามีเอี่ยวกับเรื่องนี้ได้ยังไงละครับ ?”
คุณยายได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบกลับมาว่า
“ผู้นำตระกูลเสี่ยว เสี่ยวจิงฮัว เป็นเพื่อนในกองทัพของหานติงหลงตาของเธอนะ”
“ในกองทัพ ?”
เทียนหลางเอียงคอสงสัย คุณยายของเขาจึงพยักหน้าก่อนจะเล่าเรื่องราวคร่าวๆเกี่ยวกับตาของเทียนหลางให้ฟัง
คุณยายบอกว่าเมื่อก่อนนั้นตระกูลหานเป็นตระกูลที่เกี่ยวข้องกับการทหารของประเทศ ตาของเขานั้นเมื่อก่อนเคยเป็นทหารและทำความดีความชอบเอาไว้จึงได้ประดับยศพลตรี แต่ด้วยอาการบาดเจ็บเขาจึงเกษียณก่อนกำหนดและหันเหความสนใจไปที่ด้านธุรกิจ
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเกษียณแล้วเขาก็ยังคงมีเส้นสายอยู่ภายในกองทัพอยู่บ้าง เขาจึงขอความช่วยในของพวกคนในคนโตในกองทัพเพื่อช่วยเหลือเรื่องธุรกิจของเขา จนในที่สุดตระกูลหานก็เปลี่ยนจากตระกูลทหารกลายเป็นตระกูลนักธุรกิจใหญ่
เมื่อได้ยินแบบนั้นเทียนหลางก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเกี่ยวกับตระกูลหาน
“ไม่ใช่ว่าพวกตระกูลใหญ่เป็นตระกูลนักธุรกิจมาตั้งแต่แรกงั้นเหรอครับ ?”
ยายของเทียนหลางส่ายหน้าก่อนจะบอกว่า
“ตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลนั้นมีจุดเริ่มต้นไม่เหมือนกันหรอกนะหลาน อย่างตระกูลหานนั้นเป็นตระกูลทหารมาตั้งแต่รุ่นก่อนและได้ทำความดีความชอบในช่วงสงครามจนได้รับการยอมรับจากผู้คนให้กลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพล”
“หรือตระกูลเสี่ยวเองเมื่อก่อนนั้นก็เป็นเพียงตระกูลที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับด้านการแพทย์การสมุนไพร จนตอนนี้พวกเขาก็เป็นเจ้าของโรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศ และเป็นเจ้าของบริษัทยาที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนี้เขาก็พอจะเริ่มเข้าใจอะไรเกี่ยวกับสี่ตระกูลใหญ่บ้างเล็กน้อย แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะยังไงซะคนพวกนี้ก็เป็นคนธรรมดา หากไม่มีอะไรจำเป็นเทียนหลางเองก็ขี้คร้านจะใส่ใจกับเรื่องพวกนี้
แต่ถึงอย่างงั้นเทียนหลางก็อดสงสัยไม่ได้ที่จะคิดว่าอิทธิพลของตระกูลหานในกองทัพ หากเทียบกับอำนาจของนายพลหลินที่เป็นหัวหน้าของหน่วยหมาป่าแล้วใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน
ในขณะที่เทียนหลางกำลังสงสัยอยู่นั้นโทรศัพของเขาก็มีแจ้งเตือนอีเมลเข้ามา เป็นเมลข้อมูลของตระกูลหยูซึ่งเทียนหลางคาดว่าน่าจะเป็นคุณนายตงเสวียที่ส่งมา
เทียนหลางที่ได้อ่านข้อมูลของตระกูลหยูเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะถึงแม้ตระกูลหยูจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนักแต่ที่มาที่ไปของพวกเขากลับมีน้อยมาก ขนาดที่แม้แต่ข่าวกรองของตระกูลตงเสวียยังยากที่จะค้นหาพบ
แต่ถึงอย่างงั้นพวกเขาก็ยังรู้ที่ตั้งของบ้านหลักตระกูลหยู ซึ่งไม่น่าจะเป็นความลับ เทียนหลางเก็บโทรศัพเข้ากระเป๋าก่อนจะพูดกับยายของเขาว่า
“คุณยายไม่ต้องห่วงหรอกครับเดียวทุกอย่างก็โอเค”
“ขอบคุณมากนะหลาน”
เทียนหลางยิ้มก่อนจะกล่าวลาคุณยายของเขา เพื่อขอตัวไปจัดการธุระต่อ