เทียนหลางที่นั่งอยู่รถได้เห็นเหตุการณ์นี้ก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ว้าว ~ หยั่งกะในหนังเลยแหะ”
นายตำรวจที่นั่งอยู่ข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะมองเทียนหลางด้วยความประหลาดใจพร้อมกับพูดไม่ออก เทียนหลางจอดรถก่อนจะลงจากรถและเดินตรงไปดูที่รถของผู้ร้ายที่กำลังพลิกคว่ำอยู่
นายตำรวจเดินตามลงมาก่อนจะถามกับเทียนหลางว่า
“คนข้างในจะเป็นยังไงบ้างนะ ? พลิกคว่ำขนาดนี้”
เทียนหลางมองกลับไปที่นายตำรวจก่อนจะยิ้ม
“ตอนนี้ยังโอเคอยู่”
“ตอนนี้ ?”
นายตำรวจถามด้วยความสงสัย แต่เทียนหลางก็ไม่ได้พูดอะไรเขาเดินตรงไปยังประตูรถก่อนจะค่อยๆเปิดมันออกอย่างใจเย็น ปรากฏว่าด้านในนั้นไม่มีคนอยู่เลยสักคนเดียว
มีเพียงแค่ศพของคนขับเท่านั้น นายตำรวจหนุ่มตกใจเล็กน้อยก่อนจะถามกับเทียนหลาง
“พวกเขาหนีไปแล้วงั้นเหรอ ?”
“ใช่แล้ว เอาล่ะเราตามไปกันเถอะ !”
“ตามไป ?”
นายตำรวจสงสัย เทียนหลางจึงพยักหน้าก่อนจะชี้ไปที่พื้นที่มีรอยเลือดเลอะอยู่เป็นทาง ทั้งคู่เดินตามรอยเลือดไปจนถึงย่านการค้าใกล้ๆ
เมื่อใกล้ถึงทั้งคู่เองก็เริ่มที่จะเห็นความวุ่นวายมีประชาชนจำนวนมากวิ่งออกมาจากตลาดพร้อมกับกรีดร้อง โวยวายกันยกใหญ่นายตำรวจหนุ่มได้ถามกับหนึ่งในประชาชนที่กำลังวิ่งออกมา
“เกิดอะไรขึ้นครับ ?”
ชายคนนั้นก็ได้พูดด้วยท่าทีตื่นตระหนกว่า
“คุณตำรวจเมื่อครู่มีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ได้ถืออาวุธปืนจำนวนมากเข้าไปในตลาด และกลาดยิงเพื่อไล่พวกเราออกมา !”
นายตำรวจหนุ่มตกใจก่อนจะถามต่อว่า
“และพวกเขาได้จับเด็กผู้หญิงผมสีม่วงคนหนึ่งเป็นตัวประกันด้วยใช่หรือเปล่าครับ ?”
ชายคนนั้นพยักหน้าก่อนจะพูดว่า
“ดูเหมือนมันจะจับตัวประกันไปเพิ่มด้วยนะครับ”
นายตำรวจหนุ่มที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจก่อนจะขอบคุณชายคนนั้นและวอเรียกกำลังเสริมทันที เทียนหลางเองที่ยืนดูการทำงานของนายตำรวจหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“เด็กผู้หญิงผมสีม่วงที่คุณพูดถึงนั่นคือ ลูกสาวของเจ้าหน้าที่รัฐบาลใช่ไหม ?”
นายตำรวจหนุ่มที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าก่อนทีทั้งคู่จะเดินเข้าไปด้านในเพื่อตรวจดูเหตุการณ์ น่าแปลกใจที่มีการยิงกราดเกิดขึ้นแต่กลับไม่พบผู้บาดเจ็บหรือผู้ตายเลยแม้แต่คนเดียว
เทียนหลางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมการกระทำอันรอบคอบของพวกผู้ร้ายแม้ในสถานะการณ์แบบนี้พวกนั้นก็ยังมีสติ และพยายามจะทำให้เรื่องนี้ไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่โต
เพราะถ้าหากพวกมันเกิดยิงประชาชนขึ้นมาล่ะก็ ตำรวจทั้งสถานีหรือกระทั้งทหารของฐานทับใกล้ๆจะต้องแห่กันมาที่นี่อย่างแน่ พวกมันคงจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้เรื่องนี้บานปลายและเป็นเพียงการลักพาตัวธรรมดาๆเท่านั้น
จากการสอบถามจากคนที่วิ่งออกมาก็สรุปได้ว่าพวกผู้ร้ายน่าจะมีจำนวนประมาณสิบถึงยี่สิบคน ถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว พวกมันพร้อมกับตัวประกันได้ไปที่ห้างสรรพสินค้าในย่านการค้านั้น
เมื่อเทียนหลางมาถึงก็เห็นว่ามีผู้คนจำนวนมากกำลังวิ่งออกมาจากห้าง และก็ได้มีคนอีกจำนวนมากเช่นกันที่ติดอยู่ด้านในและออกมาไม่ได้
เทียนหลางที่เห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
“ดูเหมือนมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิดเสียแล้ว”
“นั่นสิครับ”
นายตำรวจหนุ่มเห็นด้วยกับคำพูดของเขา เทียนหลางเองก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทำไมพวกผู้ร้ายถึงได้ทำอะไรแบบนี้ เพราะจากการกระทำในตอนแรกมันสื่อให้เห็นว่าพวกนั้นไม่อยากจะให้การลักพาตัวครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่
แต่พวกมันกลับทำการยึดห้างสรรพสินค้าแบบนี้ นี่พวกมันกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เทียนหลางลูบคางพร้อมกับคิดก่อนจะหันไปถามกับนายตำรวจหนุ่ม
“กำลังเสริมล่ะครับ ?”
“อีกห้านาทีกำลังจะมาถึงครับ”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะพูดว่า
“งั้นเรามารอกันเถอะครับ”
นายตำรวจหนุ่มที่ได้ยินแบบนั้นก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ทำเอาเทียนหลางอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“ทำไมงั้นเหรอครับ ?”
“เอ่อ… ผมไม่คิดว่าคุณจะตัดสินใจอย่างงี้นะครับ”
นายตำรวจหนุ่มกล่าว เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพร้อมกับพูดว่า
“เรื่องนี้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว และมันก็เกินมือของพวกเราสองคน ฉะนั้นผมว่าเรารอจะดีกว่า”
“ก็จริงของคุณ”
นายตำรวจหนุ่มเห็นด้วยกับความคิดของเทียนหลาง ในตอนนี้เรื่องราวมันขยายเกินขอบเขตของเขาที่เป็นเพียงนายตำรวจชั้นผู้น้อยอย่างเขาไปแล้ว จากเหตุการณ์ลักพาตัวตอนนี้กลายเป็นการก่อการร้ายไปเสียแล้ว