100 สำนักแห่งนักปราชญ์ต้องการดวล
“พวกนั้นมาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์หรือ?” จางเซวียนถึงกับชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นและประเมินชายทั้ง 5 ที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างถี่ถ้วน
ผู้พูดเป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุราว 40 ปี เขามีเคราสีเทาปลิวไสวและสวมหมวกทรงสูง ดูคล้ายกับผู้ทรงภูมิปัญญาในสมัยโบร่ำโบราณ เสื้อคลุมตัวยาวที่เขาสวมเหมือนกับเสื้อคลุมปรมาจารย์ ต่างกันตรงที่เป็นสีดำ เมื่อมองจากระยะไกล ก็ดูออกจะดุร้ายอยู่สักหน่อย
“เขาสวมเสื้อผ้าเหมือนกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 ตัวที่พาตัวจ้าวหย่ากับคนอื่นๆไป!” จางเซวียนเลิกคิ้ว
เครื่องแต่งกายของชายวัยกลางคนผู้นั้นเหมือนกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 ที่พวกเขาได้เผชิญหน้าด้วยในอาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์หรันชิว เท่าที่เห็น ก็ดูเหมือนว่าชายหนุ่มทั้ง 4 พยายามจะปลอมตัวให้เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญที่มาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เพื่อตบตาเครื่องรางน้อย!
แต่เพราะการโจมตีของหอกสวรรค์กระดูกมังกร พวกมันจึงถูกบีบให้ต้องเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา
ชายหนุ่มอีก 4 คนที่เหลือดูจะมีอายุราว 20 ปลายๆ กำลังยืนล้อมรอบหนานกงหยวนเฟิง แต่ละคนแผ่รังสีอันโดดเด่นของผู้เชี่ยวชาญออกมา
“พวกนั้นล้วนแต่เป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 การพักฟื้นภายใน” หลัวลั่วชิงตั้งข้อสังเกตพร้อมกับพยักหน้า “ถ้าฉันจำไม่ผิด หนานกงหยวนเฟิงเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อร่ง, ปรมาจารย์ผู้ปราดเปรื่องแห่งสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่”
“นักปราชญ์โบราณจื่อร่ง?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
นักปราชญ์โบราณจื่อร่งเป็นหนึ่งในศิษย์สายตรง 72 คนของปรมาจารย์ขง และมีชื่อเสียงในฐานะนักปราชญ์ แม้ชื่อเสียงของเขาจะไม่โด่งดังเท่านักปราชญ์โบราณหรันชิว นักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง หรือนักปราชญ์โบราณเยียนเยียน แต่ชื่อของเขาก็ยังคงเป็นที่จดจำแม้ตัวเขาจะจากโลกนี้ไปหลายปีแล้ว อีกทั้งยังคงได้รับความเคารพจากนักรบมากมาย
ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนานกงหยวนเฟิงจะเป็นทายาทของเขา!
“สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่คืออะไร?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย
“สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่คือบางสิ่งที่เหมือนกับสภาปรมาจารย์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ในขณะที่สภปรมาจารย์มุ่งมั่นถ่ายทอดความรู้และค่านิยมให้กับมวลมนุษย์และเหล่านักรบ สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่จะให้ความสำคัญเฉพาะกับการค้นคว้าและถ่ายทอดคำสอนของปรมาจารย์ขงให้เหล่านักรบเท่านั้น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีแต่นักรบที่เข้าถึงวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมสำนักของพวกเขา” หลัวลั่วชิงอธิบาย
“มีแต่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เข้าร่วมกับสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่?” จางเซวียนทึ่ง
เขาคิดว่าปูชนียสถานนักปราชญ์เป็นสถาบันการศึกษาสูงสุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ใครจะไปรู้ว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ยังมีสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ที่เหนือชั้นไปกว่า!
จางเซวียนกำลังจะถามต่อ ก็พอดีกับที่เสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ “ผมคือรองหัวหน้าตระกูลหลัว, หลัวกั้นเจิน ยินดีที่ได้พบคุณ ผู้อาวุโสหนานกง เชิญทางนี้เลย!”
จากนั้น ท่านพ่อของหลัวชวนฉิง ซึ่งมีหลัวชิงเฉินกับเหล่าผู้อาวุโสอีกนับไม่ถ้วนของตระกูลหลัวเป็นผู้ติดตามก็บินออกมาและประสานมือให้อย่างมีมารยาท
“พวกเราลงลงไปข้างล่างกันเถอะ” เห็นรองหัวหน้าตระกูลออกมาต้อนรับ หนานกงหยวนเฟิงทักทายตอบก่อนจะร่อนลงสู่พื้นพร้อมกับชายหนุ่มทั้ง 4
ฝูงชนจากตระกูลหลัวรีบทำแบบเดียวกัน
“100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาเยือนตอนนี้ จะต้องมีอะไรแน่ เราตามพวกเขาไปเถอะ!” จางเซวียนส่งโทรจิตหาหลัวลั่วชิง
เขารู้ว่ามีคนบางส่วนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาเยือนทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ไม่คาดคิดว่าคนทั้งห้าจะแวะมาที่ตระกูลหลัวอย่างกะทันหันแบบนี้ ดูจากช่วงเวลา เป็นไปได้ว่าการมาเยือนของพวกเขามีบางอย่างเกี่ยวข้องกับการเปิดวิหารแห่งขงจื๊อ
“ได้สิ” หลัวลั่วชิงพยักหน้า
ด้วยความแข็งแกร่งอย่างเหนือชั้นของทั้งคู่และความสับสนวุ่นวายของตระกูลหลัว พวกเขาจึงเล็ดลอดเข้าสู่ส่วนลึกของตระกูลหลัวได้โดยไม่ดึงดูดความสนใจของใคร แต่เพื่อความปลอดภัย ทั้งสองก็พยายามอยู่ห่างจากหลัวกั้นเจินและหนานกงหยวนเฟิงเอาไว้
แก๊ง แก๊ง แก๊ง แก๊ง!
ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะแอบเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เสียงระฆังก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งตระกูลหลัว
“นั่นคือระฆังรวมพลของตระกูลหลัว? เกิดอะไรขึ้น?”
จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจขณะที่ตัวเขากับหลัวลั่วชิงรีบตามฝูงชนจากตระกูลหลัวไปยังต้นเสียงที่ระฆังดังขึ้น
ไม่ช้า ทั้งคู่ก็มาถึงจัตุรัสกว้างใหญ่ ในตอนนั้น ฝูงชนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันอยู่ในพื้นที่แล้ว ทันทีที่เสียงระฆังดังขึ้น สมาชิกทั้งหมดของตระกูลหลัวจะรีบตรงมาที่นี่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ท่ามกลางฝูงชน จางเซวียนเห็นหนานกงหยวนเฟิงกับคนอื่นๆจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์นั่งอยู่บนยกพื้นที่อยู่ใจกลางจัตุรัส ส่วนหลัวกั้นเจิน หลัวชิงเฉิน และผู้อาวุโสคนอื่นๆนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
จางเซวียนกวาดสายตาดูฝูงชนบริเวณนั้น และพบคู่สามีภรรยาตระกูลหลัวคู่หนึ่งซึ่งสวมเสื้อผ้าที่บ่งบอกว่าเป็นสมาชิกหลักของตระกูล ทั้งคู่กำลังปรึกษาหารือกันอย่างเงียบเชียบ จึงเดินเข้าไปหาและตั้งคำถาม “ขออภัยเถอะ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมระฆังรวมพลถึงส่งเสียง?”
สมาชิกตระกูลหลัวทุกคนต่างมารวมตัวกันที่นี่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะรู้จักทุกคนที่ปรากฏตัว
“คุณคือ…” เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้า คนหนึ่งขมวดคิ้ว
“ผมคือหลัวเทียนหยา สมาชิกคนหนึ่งจากตระกูลสาขา” จางเซวียนตอบ
“อ้อ!” สมาชิกหลักของตระกูลหลัวพยักหน้า “เท่าที่ผมได้ยินมา ดูเหมือน 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อยากได้บางอย่างที่ตระกูลหลัวของเรามี แต่รองหัวหน้าตระกูลของเราไม่เต็มใจจะมอบให้ ด้วยเหตุนี้ หนานกงหยวนเฟิงจึงเสนอให้มีการดวลศาสตร์แห่งมิติระหว่างลูกศิษย์ทั้ง 4 ของเขาที่เขาพามากับทายาทตระกูลหลัวที่มีอายุต่ำกว่า 100 ปี หากพวกเขาชนะ เราจะต้องมอบของล้ำค่าที่เรามีอยู่ให้กับสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ แต่หากพวกเขาแพ้ ก็จะมอบทรัพย์สมบัติที่มีค่าทัดเทียมกันให้กับตระกูลหลัวเพื่อเป็นการชดเชยที่พวกเขาแสดงความไม่เคารพต่อเรา!”
“ทรัพย์สมบัติอะไรที่หนานกงหยวนเฟิงเสนอให้?” จางเซวียนถามต่อ
แน่นอนว่าของล้ำค่าที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ต้องการจะต้องเป็นเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน แต่เพื่อบีบบังคับให้ตระกูลหลัวเต็มใจรับคำท้าดวล ของล้ำค่าที่พวกเขาเสนอเป็นเดิมพันก็คงจะมีค่าไม่น้อยเช่นกัน
“มันคือดาบที่ครั้งหนึ่งนักปราชญ์โบราณจื่อร่งเคยใช้!” สมาชิกหลักของตระกูลหลัวตอบขณะชี้นิ้วไปยังยกพื้นที่อยู่ตรงหน้า “นั่นไง คุณน่าจะเห็นนะ”
เมื่อมองตามนิ้วของอีกฝ่าย จางเซวียนเห็นดาบเล่มหนึ่งลอยสงบนิ่งอยู่เหนือยกพื้น แม้จะยังไม่ถูกชักออกจากฝัก แต่ก็รู้สึกได้ถึงรังสีเย็นเยือกที่มันแผ่ออกมา
หลัวลั่วชิงชำเลืองมองดาบนั้นก่อนจะส่งโทรจิตหาจางเซวียน “มันเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในเมื่อครั้งหนึ่งนักปราชญ์โบราณจื่อร่งเคยใช้มัน พละกำลังของมันก็น่าจะเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์โบราณ ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่มีทางเทียบชั้นกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรของคุณได้!”
“อือ” จางเซวียนพยักหน้า
เขาอยู่ไกลจากดาบนั้นเกินกว่าที่จะสัมผัสมัน ทำให้ไม่มีทางกะประมาณลำดับขั้นที่แท้จริงของดาบนั้น แต่ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของจางเซวียนในตอนนี้ เขาบอกได้ว่ามันเป็นอาวุธที่มีอานุภาพไร้เทียมทาน แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับหอกสวรรค์กระดูกมังกรของเขา
หอกสวรรค์กระดูกมังกรเป็นอาวุธที่นักปราชญ์โบราณหรันชิวใช้เมื่อครั้งที่เขามีพละกำลังสูงสุด หากย้อนกลับไปในยุคสมัยโบร่ำโบราณ ไม่มีใครที่จะไม่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวหากต้องเผชิญหน้ากับหอกสวรรค์กระดูกมังกร ด้วยเหตุนี้ ลำพังดาบของนักปราชญ์โบราณจื่อร่งซึ่งถูกใช้ไปเพียงครั้งเดียวจะมาเทียบชั้นกับมันได้อย่างไร?
หลัวกั้นเจินกวาดสายตามองฝูงชนและประกาศก้อง “เหล่าทายาทตระกูลหลัว ผู้อาวุโสหนานกงจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้พาลูกศิษย์มาที่นี่เพื่อท้าทายเหล่าสมาชิกตระกูลหลัวของเราเข้าสู่การดวลศาสตร์แห่งมิติ ขอแค่คุณอายุต่ำกว่า 100 ปี ก็สามารถรับคำท้าของพวกเขาได้ มีใครอยากจะท้าทายแขกของเราหรือไม่?”
น้ำเสียงของเขาสง่างาม แต่จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายพยายามกลบเกลื่อนไว้
ดูเหมือนว่าแม้ทาง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะเสนอของล้ำค่าให้ แต่เขาก็ไม่เต็มใจจะยอมรับการดวล เป็นไปได้ว่าทั้งกลุ่มจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มีแผนที่จะแบล็คเมล์หรือตลบหลังอะไรสักอย่างเพื่อบังคับให้ตระกูลหลัวดวลกับพวกเขา
ตระกูลหลัวเพิ่งเผชิญกับความยุ่งยากครั้งใหญ่มา พวกเขาไม่อยู่ในสถานภาพที่เหมาะสมจะปะทะกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ในตอนนี้
“ขอผมทดสอบพละกำลังของแขกของเราหน่อย!” มีเสียงตวาดก้อง ร่างหนึ่งกระโจนขึ้นไปบนแท่นที่อยู่ตรงกลาง
เมื่อมองไป จางเซวียนก็เห็นว่าผู้ที่เสนอตัวนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลัวชวนฉิง
“ผมจะเผชิญหน้ากับพวกเขาเหมือนกัน!”
“ผมก็เต็มใจจะลองดู!”
“พวกเขาอาจเป็นแขกของเรา แต่ทำเกินไปหรือเปล่าที่มาท้าตระกูลหลัวดวลเรื่องศาสตร์แห่งมิติ ฮึ่มมม! ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย!”
…..
ชายหนุ่มอีก 3 คนกระโจนขึ้นไปบนแท่นที่อยู่ใจกลางจัตุรัส
ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญรุ่นเยาว์ของตระกูลหลัว แต่ละคนแผ่รังสีอันทรงพลังออกมา อันที่จริง 2 ใน 3 คนนั้นเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว, เหมือนกับจางเซวียน และกำลังจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสในตระกูลหลัว
“ดี!” เห็นคนของตัวเองพร้อมรับการท้าทาย หลัวกั้นเจินพยักหน้า
เขาหันไปมองหนานกงหยวนเฟิงและถามว่า “ผู้อาวุโสหนานกง รูปแบบของการดวลศาสตร์แห่งมิติที่คุณคิดไว้คืออะไร?”