จางเซวียนมาจากตระกูลหลัว?
ด้วยความจนปัญญา จางเซวียนเหลียวซ้ายแลขวามองหาหลัวลั่วชิงท่ามกลางฝูงชน เห็นเธอเอาแต่ส่งยิ้มสดใสพร้อมกับแสดงกิริยาไม่รู้ไม่ชี้ใส่ ราวกับกำลังพูดว่า ‘คุณก่อเรื่องเอง ก็แก้ไขเองก็แล้วกัน ทำอะไรไว้ก็ได้แบบนั้นแหละ’
จางเซวียนรู้ทันทีว่าคงพึ่งพาเธอให้ช่วยฉุดเขาออกจากปัญหาครั้งนี้ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับหลัวกั้นเจินและผู้อาวุโสคนอื่นๆตามลำพัง
“ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณ แต่…ผมเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี เกรงว่าคงจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล”
“น้องเทียนหยา ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณกังวลล่ะก็ ไม่มีอะไรต้องห่วงเลย คุณปล่อยกิจธุระเบ็ดเตล็ดต่างๆไว้ให้เป็นภาระของผู้อาวุโสที่ 1 หลัวชิงเฉินกับผมก็ได้ ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือเรียกรวมพลสมาชิกตระกูลหลัวของเราในยามคับขัน ส่วนเวลาที่เหลือ คุณก็สามารถออกไปท่องโลกได้อย่างอิสระเสรี หรือจะปลีกวิเวกก็ได้หากคุณต้องการ” หลัวกั้นเจินรีบตอบ
การถูกตระกูลจางปฏิเสธทำให้ตระกูลหลัวเสื่อมเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรีมาก ในช่วงเวลาแบบนี้ พวกเขาต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง ที่สามารถชักนำเหล่าสมาชิกตระกูลหลัวให้มั่นใจว่าตระกูลหลัวยังแข็งแกร่งและไม่ได้ตกต่ำ!
ในเมื่อหลัวเทียนหยาสามารถเอาชนะได้แม้แต่เหล่าผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ หากเขาได้เป็นหัวหน้าตระกูลหลัว ก็คงจะสามารถเรียกชื่อเสียงของตระกูลหลัวกลับคืนมา และทำให้ทั้งโลกได้รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่กลุ่มคนที่ใครจะมารังแกได้!
ในเวลาเดียวกัน โลกก็จะได้รู้ด้วยว่าพวกตระกูลจางโง่เง่าแค่ไหนที่หันหลังให้พวกเขา
“ผม…” เมื่อเห็นว่าไม่มีทางปฏิเสธ จางเซวียนจึงจำเป็นต้องหงายไพ่ใบสุดท้าย “ถึงผมจะใช้แซ่หลัว แต่ผมก็เป็นสมาชิกของครอบครัวที่ห่างไกลมาก สายเลือดตระกูลหลัวของผมเบาบางเสียจนแทบไม่อาจตรวจจับได้ด้วยซ้ำ ผมเกรงว่าคงจะไม่เหมาะสมหากผมขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล…”
“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เช่นกัน ผู้อาวุโสที่ 1, นำอ่างตรวจสอบเลือดมา” หลัวกั้นเจินสั่งการก่อนจะหันกลับมาพูดกับจางเซวียน “น้องเทียนหยา ถ้าไม่รบกวนคุณเกินไป พวกเราขอตรวจสอบสายเลือดของคุณนะ”
“ตรวจสอบสายเลือดของผม?” จางเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ถ้าความบริสุทธิ์ของสายเลือดของผมต่ำเกินไปล่ะก็ ผมคงต้องขอร้องคุณว่าอย่าขอให้ผมขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลหลัวอีกเลย!”
ในเมื่อเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลหลัว การตรวจสอบสายเลือดก็จะต้องลงเอยด้วยผลเป็นลบ ซึ่งจากผลที่ได้ เขาก็จะมีเหตุผลที่เหมาะสมในการปฏิเสธคำขอของหลัวกั้นเจิน
หลัวกั้นเจินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “เอาอย่างนั้นก็ได้!”
ถ้าสายเลือดตระกูลหลัวของชายวัยกลางคนผู้นี้เบาบางเกินไป เขาก็จะให้อีกฝ่ายแต่งงานกับลูกสาวของเขาเพื่อเพิ่มสายเลือดตระกูลหลัวให้เข้มข้นขึ้น
ในอีกแง่หนึ่ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติก็จะต้องขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล ลำพังแค่บุคคลที่สามารถคลี่คลายศาสตร์ลับของมรดกตกทอดของตระกูลหลัวก็เพียงพอที่จะนำพาตระกูลหลัวขึ้นจากความตกต่ำแล้ว
เมื่อได้ฟังคำสั่งของหลัวกั้นเจิน ผู้อาวุโสที่ 1 หลัวชิงเฉินก็รีบจากไป และไม่ช้าก็กลับมา
ด้วยการสะบัดข้อมือ สิ่งที่มีลักษณะคล้ายเข็มทิศก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มันลอยอย่างเงียบเชียบอยู่ที่ใจกลางเวที
“นี่คืออ่างตรวจสอบเลือด มันใช้ประเมินระดับความบริสุทธิ์ของสายเลือดตระกูลหลัวภายในตัวนักรบ ทั้งหมดมี 10 ระดับ แต่ละระดับประกอบด้วยความบริสุทธิ์ 1 ใน 10 ของสายเลือดของผู้ก่อตั้ง หรือพูดอีกอย่างก็คือ ‘1’ หมายถึงนักรบผู้นั้นมีสายเลือดเพียง 1 ใน 10 ของผู้ก่อตั้ง ส่วน ‘10’ ก็หมายถึงนักรบผู้นั้นมีสายเลือดที่เทียบเท่ากับผู้ก่อตั้งเลยทีเดียว! สมาชิกตระกูลหลัวคนหนึ่งจะต้องมีความบริสุทธิ์ของสายเลือดอย่างน้อย ‘3’ ถึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอได้เป็นสมาชิกฝ่ายใน หากได้ ‘1’ ก็ถือว่าเป็นสมาชิกทั่วไป และหากต่ำกว่านั้น ก็จะถูกตัดออกไปเป็นครอบครัวสาขา” หลัวชิงเฉินอธิบาย
เขาเงยหน้าขึ้นมองจางเซวียนด้วยแววตาคาดหวัง “น้องเทียนหยา ถึงคุณจะมาจากครอบครัวสาขา แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิตินั้นก็บ่งบอกแล้วว่าความปราดเปรื่องของคุณสูงส่งอย่างไม่มีใครเทียบ ขอแค่สายเลือดของคุณผ่านระดับ ‘1’ ไปได้ คุณก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเราแล้ว จะไม่มีใครในตระกูลหลัวกล้าคัดค้านเรื่องนี้เลย!”
“สูงกว่า ‘1’?” จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าจะมีการแบ่งชั้นของสายเลือดภายในตระกูลแบบนี้ มันเหมือนกับของล้ำค่าที่บ่งบอกว่าเขาเป็นทายาทน้อยผู้ไร้เทียมทานของตระกูลจางตั้งแต่เขายังไม่เกิดมา
เมื่อลองคิดดู ในตอนนั้น สายเลือดตระกูลจางของเขาอาจจะอยู่ที่ระดับ ‘8’ ‘9’ หรือ ‘10’ ก็ได้!
“ใช่แล้ว! น้องเทียนหยา คุณแค่ต้องหยดเลือดลงไปหยดหนึ่งในอ่างตรวจสอบเลือด แล้วเข็มทิศก็จะแสดงผลออกมาทันที” หลัวชิงเฉินพูด
“อย่างนั้นก็ได้ แต่ผมขอบอกไว้ก่อนนะว่าถึงอย่างไรสายเลือดของผมก็เบาบางมาก ผมหวังว่าพวกคุณคงจะไม่หยิบยกเรื่องการรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลขึ้นมาอีกหลังจากผมผ่านการทดสอบนี้แล้ว!” จางเซวียนพูด
ในฐานะทายาทตระกูลจาง สายเลือดของเขาย่อมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลหลัวอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรให้เขาต้องกังวล
จางเซวียนหยดเลือดของเขาหยดหนึ่งลงไปในอ่างตรวจสอบเลือด มันดำดิ่งลงไปที่ใจกลาง
วิ้ง!
เกิดเสียงหวีดหวิวเบาๆขึ้นกลางอากาศ แล้วหยดเลือดนั้นก็กลายเป็นเปลวไฟ ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นจากพลังงานบางอย่าง เข็มทิศหมุนติ้วอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ฟึ่บ!
ครู่ต่อมา มันก็หยุดกึก ตัวเลขที่เข็มชี้ไปคือ ‘9’!
“จะเป็น 9 ได้อย่างไร? อ่างตรวจสอบเลือดจะต้องทำงานผิดพลาดแน่!” ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจของจางเซวียน เขาแทบเสียสติกับผลลัพธ์อันเหลวไหลนั้น
เขาเป็นทายาทตระกูลจางนะ จะมีสายเลือดตระกูลหลัวได้อย่างไร…แถมยังบริสุทธิ์ขนาดนี้ด้วย?
หรือว่า…เซียนดาบชิงเหมิงทำอะไรผิดพลาด? แต่เลือดของเขาก็หลอมรวมเข้ากับเลือดของเซียนดาบเหมิงได้อย่างสมบูรณ์แบบนี่! รอเดี๋ยว…เขาได้ตรวจสอบสายเลือดตระกูลจางในตัวเขาแล้ว และไม่มีร่องรอยของมันอยู่เลย นั่นหมายความว่า…
เกิดระเบิดย่อมๆขึ้นในหัวสมองของจางเซวียน ทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก
ขณะที่จางเซวียนยังคงจังงังกับผลที่ออกมา ทั้งหลัวกั้นเจิน หลัวชิงเฉินและคนอื่นๆต่างก็ยืนอึ้ง ความยินดีปรีดาอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้เข้าครอบงำทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น ร่างของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความดีใจ หากไม่ใช่เพราะคำนึงถึงสถานภาพของตัวเอง ก็คงจะกระโดดโลดเต้นด้วยความลิงโลดไปแล้ว!
ความบริสุทธิ์ของสายเลือดระดับ ‘9’…หมายความว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้เป็นแค่สมาชิกตระกูลหลัว แต่เป็นสมาชิกหลักของตระกูลที่มีความสำคัญมากกว่าพวกเขาเสียอีก!
ไม่แปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้ หรือต่อให้เขาทำไม่ได้ ลำพังแค่ความบริสุทธิ์ของสายเลือดก็ทำให้เขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไปแล้ว
รู้ดีว่านี่คือโอกาสที่จะเดินหมากขั้นต่อไป หลัวกั้นเจินประสานมือและโค้งคำนับอย่างงาม “คารวะหัวหน้าตระกูลหลัว!”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างก็เข้าใจเจตนาของหลัวกั้นเจินอย่างรวดเร็ว พวกเขารีบโค้งคำนับ “คารวะหัวหน้าตระกูลของพวกเรา!”
ก่อนหน้านี้ พวกเขากดดันหลัวเทียนหยาให้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเพราะไม่มีทางเลือก แต่หลังจากได้เห็นความบริสุทธิ์ของสายเลือดของอีกฝ่าย ก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ชายวัยกลางคนผู้นี้หลุดมือไปได้
พวกเขาจับจ้องจางเซวียนตาเป็นมัน ราวกับเสือร้ายที่พบเหยื่อ
“ผม…ผมมาจากครอบครัวสาขาจริงๆ ไม่มีทางมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกคุณ…” จางเซวียนประท้วงอย่างจนปัญญา
เมื่อคิดได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้คงจะอึ้งตะลึงกับสถานการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหัน หลัวกั้นเจินอธิบายพร้อมกับยิ้มให้ “น้องเทียนหยา อย่าถ่อมตัวไปเลย มรดกตกทอดของสายเลือดตระกูลหลัวของเราอาจถูกส่งต่อโดยบังเอิญ ผู้ที่มาจากครอบครัวหลักอาจให้กำเนิดทายาทที่มีสายเลือดตระกูลหลัวเบาบางได้ เช่นเดียวกัน นานทีปีหนก็จะมีทายาทจากครอบครัวสาขาที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เสียยิ่งกว่าทายาทจากครอบครัวหลักเสียอีก ทำให้เกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้น”
“ก็เพราะเหตุนี้ ทางตระกูลจึงได้จัดการตรวจสอบสายเลือดของทายาททุกคนในตระกูลหลัว ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากครอบครัวหลักหรือครอบครัวสาขา คุณอาจมาจากครอบครัวสาขาก็จริง แต่ลำพังแค่ความบริสุทธิ์ของสายเลือดของคุณ คุณก็มีคุณสมบัติเกินพอที่จะได้กลับสู่ครอบครัวหลักและขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไปของพวกเราแล้ว!”
ก็คงจะไม่เรียกว่าผิดพลาดเสียทีเดียวหากจะพูดว่ามรดกตกทอดของสายเลือดนั้นเป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นแบบสุ่มได้
อันที่จริง ตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของตระกูลหลัว ก็มีหลายกรณีที่สายเลือดในครอบครัวหลักต้องเสื่อมไป และใครบางคนจากครอบครัวสาขาได้ยกระดับสายเลือดขึ้นแทน
ถึงตระกูลหลัวจะตรวจสอบสายเลือดของทายาททุกคนที่เกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัวหลักหรือครอบครัวสาขา แต่ก็ย่อมมีการตกหล่นไปบ้าง โดยเฉพาะเมื่อตระกูลได้ขยายขนาดออกไปมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีหลายกรณีที่ทายาทซึ่งเติบโตมาจากครอบครัวสาขาได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาครอบครองสายเลือดตระกูลหลัวที่มีความบริสุทธิ์อย่างน่าทึ่ง ดังนั้น หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆจึงไม่ได้แปลกใจอะไรมากมายกับเรื่องนี้
“น้องเทียนหยา ผมขอวิงวอนให้คุณขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลัวของพวกเราเพื่อความยิ่งใหญ่! สายเลือดของคุณถือเป็นหนึ่งในสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลหลัวของเรา แถมคุณก็สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติด้วย ไม่มีใครที่จะคู่ควรกับตำแหน่งนี้ยิ่งกว่าคุณอีกแล้ว!”
“ตระกูลหลัวของเราเพิ่งเผชิญกับความตกต่ำอย่างรุนแรง ในช่วงเวลาแบบนี้ เราต้องการผู้นำผู้ทรงพลังอย่างคุณที่สามารถปลุกใจทุกคนได้”
“มีแต่คุณคนเดียวที่จะรวมพวกเราให้เป็นหนึ่งได้อีกครั้ง!”
“หากคุณไม่ยอมตกลงล่ะก็ ตระกูลหลัวของเราจะต้องเสื่อมลงไปอีก”
เหล่าผู้อาวุโสพากันวิงวอน เพิ่มความกดดันให้กับชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อได้ฟังถ้อยคำเหล่านั้น จางเซวียนแทบจะทึ้งผมด้วยความคลุ้มคลั่ง
เขาตอบตกลงยอมรับการตรวจสอบเลือดก็เพื่อจะอ้างความชอบธรรมในการปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัว ใครจะไปคิดว่าลงท้ายจะกลายเป็นการต้อนตัวเองให้จนมุม?
หลังจากที่พอจะระงับสติอารมณ์ได้ จางเซวียนก็สูดหายใจลึกและพูดว่า “ผม…พูดตามตรงกับพวกคุณนะ เหตุผลที่ผมมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อจะถ่ายทอดการฝึกฝนวรยุทธเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติให้กับพวกคุณทุกคน ผมไม่ได้มาเพื่อแสวงหาเกียรติยศหรืออำนาจ…”
ฟึ่บ!
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เข่าคู่หนึ่งก็ทรุดลงกับพื้น หลัวชวนฉิงกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น
“หลัวชวนฉิงคารวะท่านอาจารย์!”
“ฮะ?”
จางเซวียนถึงกับใบ้กิน
คุณบอกว่าผมทำอะไรรวดเร็วพรวดพราด แต่คุณไม่ใช่หรือที่พรวดพราดยิ่งกว่าผมเสียอีก? จู่ๆก็มารับผมเป็นอาจารย์ แบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือ?