เหมือนกันอย่างกับแกะ
พูดตามตรง ไอ้หัวขโมยทำให้เจียงฟังโหย่วรู้สึกว่าตัวเองบอบช้ำเสียจนไม่น่าจะหายดีดังเดิมได้อีก
แต่หากตัดเรื่องนั้นออกไป เมื่อพิจารณาถึงรูปร่างหน้าตาและแม้แต่รังสีของจิตวิญญาณที่เหมือนกับเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ก็ไร้ประโยชน์ที่จะโยนกันไปมาว่าใครคือตัวจริงหรือตัวปลอม วิธีที่ดีที่สุดสำหรับเขาในการพิสูจน์ว่าเขาคือเจียงฟังโหย่วตัวจริงก็คือความทรงจำ!
เขาเติบโตขึ้นมาในตระกูลเจียงตั้งแต่อายุยังน้อย จึงคุ้นเคยกับผู้อาวุโสทุกคนที่นี่ ต่อให้อีกฝ่ายจะปลอมตัวได้อย่างแนบเนียนแค่ไหน ก็ไม่มีทางรู้รายละเอียดของเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เคยเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา!
ดังนั้น เจียงฟังโหย่วจึงเริ่มเปิดเผยความลับส่วนตัวเพื่อยืนยันตัวตนของเขาอย่างไม่ลังเล
“เอ่อ…”
คำพูดนั้นทำให้ผู้อาวุโสฟังผิงอึ้งไป ความสงสัยปรากฏชัดในดวงตาของเขา
เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่พวกเขายังเด็กมาก แล้วคนที่รู้ก็มีแต่ทั้งคู่เท่านั้น ไม่มีทางที่คนนอกจะรู้เรื่องนี้ได้เลย พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าเจียงฟังโหย่วคนที่ไม่มีตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลเป็นตัวปลอม ก็ไม่มีทางที่เขาจะรู้เรื่องนี้!
หรือว่าเจียงฟังโหย่วคนที่มีตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลจะเป็นตัวปลอม?
“มีอะไร?” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างเจียงฟังผิงตั้งคำถาม
“สิ่งที่เขาพูดน่ะ…เป็นเรื่องจริง!” เจียงฟังผิงตอบอย่างกระอักกระอ่วน
ออกจะเป็นเรื่องน่าอับอายไม่น้อยที่ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่เขาเคยทำสมัยยังเด็กถูกนำมาพูดถึงอีกครั้งต่อหน้าฝูงชน
“จริงหรือ?”
ได้ยินคำนั้น เหล่าผู้อาวุโสหันกลับไปมองจางเซวียนพร้อมกับขมวดคิ้ว
ใน 2 คนนี้ จะต้องมีใครคนหนึ่งที่เป็นตัวปลอม ถ้าเจียงฟังโหย่วคนที่ไม่มีตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลเป็นตัวจริง คนที่มีตราสัญลักษณ์ก็จะต้องเป็นตัวปลอม!
“ไม่จำเป็นต้องมองผมแบบนั้นหรอก ถึงเรื่องนี้จะมีคนรู้ไม่มาก แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะไถ่ถามจากเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล!”
จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าเจียงฟังโหย่วจะตอบโต้รวดเร็วแบบนี้ แถมยังหยิบยกประเด็นสำคัญเสียด้วย แต่เขาก็ยังคงรักษารอยยิ้มเยือกเย็นเอาไว้ ไม่แสดงออกถึงความปั่นป่วนแม้แต่น้อย เขาหันไปมองเจียงฟังผิงและพูดว่า “เจียงฟังผิง เทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝนน่ะคือศิลปะการบ่มเพราะจิตวิญญาณ 3 จุดที่ได้รับการถ่ายทอดจากผู้อาวุโสเจียงเชา แต่ด้วยข้อผิดพลาดหลายข้อในการฝึกฝนวรยุทธ คุณจึงต้องเผชิญกับความเจ็บปวดแสนสาหัสที่จุดชีพจรจื่อเหมินทุกครั้งที่เกิดพายุ คุณจะพบว่าตัวเองไม่อาจควบคุมพลังปราณได้ และบางครั้งมันก็ถึงตีกลับ…”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ผู้อาวุโสหลายสิบคนปล่อยการโจมตีเข้าใส่เขาพร้อมๆกัน จางเซวียนได้รีบประมูลหนังสือของแต่ละคนไว้ในหอสมุดเทียบฟ้า ดังนั้นจึงรู้ปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่
ในเมื่อเจียงฟังโหย่วอยากเล่นเกม ‘ใครจะขุดคุ้ยได้ลึกกว่า’ เขาก็ไม่เดือดร้อนที่จะร่วมเล่นด้วย
“เอ่อ…” เจียงฟังผิงถึงกับผงะกับการเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ เขาพยักหน้า “ใช่ เรื่องนั้นถูกต้อง…แต่ผมไม่เคยบอกใครถึงปัญหาเรื่องนี้มาก่อน แล้วคุณรู้ได้อย่างไร?”
จางเซวียนถึงกับคิ้วกระตุก
เวรละ เรามัวแต่ตั้งใจจะเอาชนะเจียงฟังโหย่ว จนพลั้งปากเปิดเผยข้อมูลมากไป
หอสมุดเทียบฟ้ามองเห็นข้อบกพร่องของทุกคน เขาอาจใช้ความรู้เหล่านี้ในการจัดฉากให้ตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ล้ำลึกเกินหยั่งได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อต้องมาเกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงๆ โดยเฉพาะต่อหน้าผู้ที่สนิทสนมกับเขา
บ่อยครั้งที่ข้อมูลที่หอสมุดเทียบฟ้าเปิดเผยนั้นก็ลึกซึ้งเกินไปจนแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้เรื่องนั้น
ทั้งที่ไม่ค่อยสบายใจ แต่จางเซวียนก็วางสีหน้าเรียบเฉยและถอนหายใจเฮือก “บอกคุณตามตรงนะ ผมมองเห็นปัญหานี้มานานแล้ว แต่เกรงว่าการเพิ่มความคาดหวังของคุณมีแต่จะทำให้คุณผิดหวังภายหลัง จึงตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน ที่ผ่านมา ผมได้พยายามค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาของคุณมาตลอด ซึ่งก็โชคดีที่เมื่อ 2 วันก่อนผมหาวิธีรักษามันได้สำเร็จ ดูนี่สิ!”
หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็เคาะนิ้ว
ฟึ่บ!
หนังสือเทคนิควรยุทธถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของเจียงฟังผิง
หลังจากที่อ่านหนังสือทั้งหมดในคลังหนังสือตระกูลเจียงแล้ว จางเซวียนก็ถ่ายโอนหนังสือศิลปะการบ่มเพาะจิตวิญญาณ 3 จุดเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ามีข้อผิดพลาดอย่างไร เมื่อประมวลมันเข้ากับศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า เขาก็สามารถแก้ไขปัญหาที่เจียงฟังผิงกำลังเผชิญอยู่ได้โดยไม่ยุ่งยากมากนัก
“อะ-เอ่อ…”
เมื่ออ่านหนังสือที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดมา เจียงฟังผิงตัวสั่นไม่หยุดราวกับถูกสายฟ้าฟาด ด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของเขา เขาบอกได้เลยว่าเทคนิควรยุทธนี้ล้ำค่าแค่ไหน หากเขาฝึกฝนมันอย่างเคร่งครัด ไม่เพียงแต่อาการบอบช้ำจะบรรเทา ยังจะยกระดับวรยุทธได้อีกมากด้วย!
หรือว่าจะเป็นความจริงที่หัวหน้าตระกูลมองเห็นปัญหาของเขามานานแล้วและได้พยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อหาวิธีแก้ไขให้เขามาตลอด?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาก็เป็นหนี้บุญคุณท่านหัวหน้าตระกูล
“ยินดีด้วย ผู้อาวุโสฟังผิง!”
เพียงแค่เห็นสีหน้าของเจียงฟังผิง ก็เห็นชัดว่าหนังสือที่เขาได้รับการถ่ายทอดนั้นมีผลมาก เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ข้างเจียงฟังผิงรีบประสานมือและแสดงความยินดีกับเขา
“อย่าหลงกลหมอนั่น!”
เจียงฟังโหย่วนึกไม่ถึงว่าไอ้หัวขโมยจะสามารถจี้จุดของความบอบช้ำที่เจียงฟังผิงกำลังเผชิญอยู่และถึงกับหาข้อแก้ไขได้ด้วย เพียงแค่คิดว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับปีศาจชนิดไหน ก็รู้สึกเหมือนเส้นผมทั้งหมดบนศีรษะตั้งชั้นไปหมด “ผมคือเจียงฟังโหย่วตัวจริง! ผู้อาวุโสฟังเฉิง เรารู้จักกันมานานกว่า 100 ปีแล้ว…และ”
ยังไม่ทันที่เจียงฟังโหย่วจะพูดจบ จางเซวียนก็พูดแทรก “ผู้อาวุโสฟังเฉิง เรารู้จักกันมานานกว่า 100 ปีแล้ว และผมเชื่อว่าคุณน่าจะเข้าถึงขั้น 3 ของศิลปะการปลอบประโลมจิตวิญญาณของคุณแล้ว ใช่ไหม? แต่ศาสตร์แห่งจิตวิญญาณนี้ดูเหมือนจะไม่เข้ากันกับเทคนิคที่คุณเคยฝึกฝนมาก่อนหน้านี้ ผมจึงขอแนะนำให้คุณปรับเปลี่ยนการฝึกฝนวรยุทธสักเล็กน้อย รับรองว่าคุณจะยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก!”
หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็กระดิกนิ้วและส่งเจตจำนงเศษเสี้ยวหนึ่งของเขาออกไป
เมื่อเจียงฟังเฉิงได้อ่านหนังสือเทคนิควรยุทธที่ถูกถ่ายทอดให้ เขาก็ตัวแข็งทื่อไปทันที ออกอาการงงงันขีดสุดกับสิ่งที่ได้รับ
เทคนิควรยุทธนี้เป็นรูปแบบเดียวกันกับเทคนิคที่เขาเคยฝึกฝนมาก่อน แต่แข็งแกร่งกว่าศิลปะการปลอบประโลมจิตวิญญาณที่เขากำลังฝึกฝนอยู่ในตอนนี้มาก!
“อันที่จริง ผมไม่ได้ให้ความสนใจแค่กับผู้อาวุโสฟังผิงและผู้อาวุโสฟังเฉิงนะ เพื่อนำพาตระกูลเจียงของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ผมเฝ้าดูพวกคุณทุกคนอยู่ และรู้ดีว่าปัญหาและความยากลำบากที่พวกคุณกำลังเผชิญอยู่ในการฝึกฝนวรยุทธคืออะไร…”
“ผู้อาวุโสฟังเจิน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณกำลังฝึกฝนมหาคัมภีร์แห่งจิตวิญญาณขั้น 4 อยู่ใช่ไหม? ระดับวรยุทธของคุณยังไม่ถึงขั้นนะ เพราะฉะนั้นผมขอแนะนำคุณว่าอย่ารีบร้อน เพราะมันจะนำผลเสียมาสู่คุณมากกว่าผลประโยชน์ คุณรู้สึกบ้างหรือเปล่าว่าตัวเองมักหายใจขัดบ่อยๆ และจิตวิญญาณกับกายเนื้อก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสัมพันธ์กัน?”
“ผู้อาวุโสฟังหลิง พลังชีวิตของคุณเหือดแห้งไปมากนะ ผมขอแนะนำให้คุณหยุดยุ่งเกี่ยวกับสาวๆสักระยะหนึ่งก่อน ไม่อย่างนั้นคุณจะอายุสั้น…”
“ผู้อาวุโสฟังหู ผมรู้ว่าคุณชื่นชอบการวาดภาพ แต่คุณจะปล่อยให้มันขัดขวางการฝึกฝนวรยุทธไม่ได้ วรยุทธของคุณหยุดชะงักมาเป็นระยะเวลานานแล้วนะ…”
…..
จางเซวียนระบุปัญหาของผู้อาวุโสจำนวนหลายสิบคนนั้นทีละคนทีละคน ไม่ช้า ทั่วทั้งบริเวณก็ตกอยู่ในความเงียบ
คำพูดของเขาทำให้แต่ละคนชะงัก เขาจี้ข้อบกพร่องและปัญหาใหญ่ๆที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ในตอนนั้นได้ทั้งหมด
หรือว่าเขาจะเป็นหัวหน้าตระกูลตัวจริง?
ไม่อย่างนั้น จะรู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร? ราวกับจับพวกเขาแก้ผ้าและล้วงความลับของพวกเขาออกมาอย่างนั้นแหละ!
“….”
เห็นเหล่าผู้อาวุโสต่างเงียบกริบ เจียงฟังโหย่วทึ้งผมออกมาอีกกระจุกหนึ่งอย่างคลุ้มคลั่ง
คุณเป็นใครกัน?
แม้แต่ผมยังไม่รู้ซึ้งถึงวรยุทธของผู้อาวุโสเหล่านี้เลย แล้วคุณรู้ได้อย่างไร?
อีกอย่าง จี้จุดให้พวกเขาเห็นได้อย่างถูกต้องโดยไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย เอาชนะใจผู้อาวุโสทุกคนได้ภายในชั่วพริบตา…
และผู้อาวุโสเหล่านั้น…เราจะทำอย่างไรในเมื่อพวกเขาเลือกเข้าข้างหมอนั่นกันหมดแล้ว?
ชีวิตของเราเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? หรือว่าเราจะไม่ใช่เจียงฟังโหย่ว?
เราอยู่ที่ไหน? เราคือใคร? เราเป็นอะไร?
เจียงฟังโหย่วสับสนอลหม่านกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา เขารู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา จากนั้นก็หันหน้าไปมองเฟยเฟยซึ่งเป็นความหวังสุดท้าย “เฟยเฟย พ่อเป็นพ่อของเจ้านะ เจ้าต้องจำพ่อได้สิ ใช่ไหม? พ่อคือตัวจริง!”
ต่อให้ผู้อาวุโสทุกคนจำเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยลูกสาวของเขาก็ต้องจำเขาได้ จริงไหม?
“ฉัน…” เจียงเฟยเฟยคิดไม่ถึงว่าจะต้องเผชิญหน้ากับท่านพ่อสองคนพร้อมๆกัน เธอไม่อาจตัดสินใจแน่ชัดได้
เธอควรทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้?
ครู่ต่อมา เธอก็รวบรวมความคิดและพูดว่า “ก่อนจะเข้าสู่ขุมสมบัติ ท่านพ่อได้บอกฉันว่าฉันจะต้องทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม ไม่อย่างนั้นฉันจะต้องถูกบังคับให้เข้าพิธีแต่งงาน ฉันจะต้องเลือกว่าจะแต่งงานกับจางเซวียนจากตระกูลจางหรือหลัวเทียนหยาจากตระกูลหลัว มีแต่ท่านพ่อของฉันเท่านั้นที่รู้ว่าฉันตอบว่าอย่างไร ถ้าพวกคุณพูดคำตอบของฉันออกมาได้ นั่นก็จะเป็นการพิสูจน์ว่าใครเป็นตัวจริง!”