จัดการศพนักปราชญ์โบราณ
รู้ดีว่าสักวันเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับตระกูลหลัวอยู่ดี จางเซวียนจึงสั่งการ “ให้พวกเขาเข้ามา!”
“ขอรับ!” องครักษ์พยักหน้าก่อนจะรีบออกไป
“ตระกูลหลัวช่างบังอาจนัก! คราวที่แล้วยังอับอายขายหน้าไม่พอหรือไง? ดิ้นรนอยากจะทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกเสียเหลือเกิน?”
“ก็พูดยากนะ ผมรู้มาว่าพวกเขาได้หัวหน้าตระกูลคนใหม่ที่สำเร็จแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว เป็นไปได้ว่าพวกนั้นคงมาที่นี่เพื่อล้างอายจากการถูกเหยียดหยามเมื่อครั้งงานหมั้น!”
“ล้างอายจากการถูกเหยียดหยาม? พวกนั้นจะโอหังไปถึงไหน? หัวหน้าตระกูลของพวกเขาชื่อหลัวเทียนหยาใช่ไหม มีสิทธิ์อะไรจะมาท้าดวลกับหัวหน้าตระกูลของเรา?”
“เขาก็แค่สมาชิกคนหนึ่งจากครอบครัวสาขาที่บังเอิญสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเท่านั้นเอง มีดีแค่ไหนกันถึงอาจหาญจะมาท้าดวลกับหัวหน้าตระกูลของพวกเรา เราจะต้องสั่งสอนบทเรียนที่เขาไม่มีวันลืม…”
…..
เสียงออกความเห็นทำนองนี้ดังขึ้นทั่วห้อง
ได้ยินเหล่าสมาชิกตระกูลจางเหยียบย่ำหลัวเทียนหยาเพื่อยกเขาให้สูงขึ้น จางเซวียนรู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก
หากคนพวกนี้ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วหัวหน้าตระกูลหลัวคนใหม่ก็คือตัวเขา…จะพากันตกใจจนลมจับกันไปหมดหรือเปล่า?
เขาควรจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งสองตระกูลให้จบสิ้น?
ถ้าเขาบอกตระกูลหลัวว่าเขาคือหลัวเทียนหยา แน่นอนว่าพวกนั้นจะต้องคิดว่าเขาพยายามจะเหยียบย่ำซ้ำเติมอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานหมั้น
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ถ้าเขาบอกตระกูลจางว่าแท้ที่จริงแล้วเขาคือหลัวเทียนหยา เรื่องที่เขามีสายเลือดตระกูลหลัวบริสุทธิ์ถึงระดับ ‘9’ ก็ย่อมทำให้พวกเขาคิดหนัก ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด พวกนั้นอาจคิดไปได้ถึงขั้นที่ว่าท่านพ่อของเขาเล่นไม่ซื่อ!
ช่างเป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากลำบากใจอะไรอย่างนี้!
ทุกคนอยากจะโดดเด่น แต่ไม่รู้เลยว่าความโดดเด่นนั้นมีผลตามมาอย่างไร!
มันมาพร้อมกับความยุ่งยากและเหนื่อยใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ จางเซวียนก็ยังหาวิธีเหมาะๆที่จะออกจากสถานการณ์คับขันนี้ไม่ได้ จึงได้แต่หาเหตุที่จะยื้อเวลาออกไปพลางๆ “ระหว่างนี้ ผมขอให้พวกคุณต้อนรับพวกตระกูลหลัวไปก่อนนะ พอดีผมเกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมาและอยากจะฝึกฝนวรยุทธตอนนี้…”
หากตัวเขากับหลัวเทียนหยาไม่อยู่ ก็แน่นอนว่าจะไม่มีอะไรเลยเถิดเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองตระกูล
การปรากฏตัวของเขามีแต่จะทำให้เรื่องยุ่งยากกว่าเดิม
“ไปเถอะ ให้พวกเราจัดการเรื่องตระกูลหลัวเอง” เซียนดาบชิงตอบพร้อมกับพยักหน้า
เหตุผลของความขัดแย้งระหว่างตระกูลจางกับตระกูลหลัวก็คือการที่จางเซวียนปฏิเสธงานหมั้น คงจะดีที่สุดสำหรับจางเซวียนที่จะหลบลี้หนีหน้าไปจากพวกตระกูลหลัวเสียก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการยั่วยุพวกนั้นให้ขุ่นเคืองขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อพวกเขายังคงเคืองแค้นกับเรื่องนั้นอยู่
หลังจากฝากฝังภาระไว้กับท่านพ่อของเขาแล้ว จางเซวียนก็พาหลัวลั่วชิงเข้าที่พัก
เขาจัดให้เธอพักอยู่ในห้องข้างๆ ก่อนจะกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง จากนั้นก็เข้าสู่รังนางพญามด
ด้วยความเข้าใจอย่างล้ำลึกเรื่องมิติ จางเซวียนจึงสามารถเพิ่มพลังและขยายขนาดของรังนางพญามดได้ ทำให้มันแข็งแกร่งและใหญ่โตกว่าเมื่อก่อน พื้นที่ทั้งหมดของรังนางพญามดครอบคลุมอาณาเขตหลายร้อยลี้จากด้านหนึ่งไปจนสุดปลายอีกด้านหนึ่ง มีอาคารรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างอยู่นับไม่ถ้วน ในแง่ของขนาด มันเทียบได้กับเมืองใหญ่ๆเมืองหนึ่งเลยทีเดียว
จางเซวียนรีบหาที่ว่างในรังนางพญามดและทรุดตัวลงนั่ง เขาใช้สมาธิ แล้วศพร่างใหญ่โตร่างหนึ่งก็ร่วงลงมากระแทกกับพื้นกระเบื้องหินสีน้ำเงินที่อยู่ด้านล่างจนฝุ่นฟุ้ง
มันคือศพของนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่จางเซวียนได้สังหารเมื่อครั้งอยู่ที่สมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว กว่าเขาจะนำมาเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติได้ก็ยากเอาการ แต่การนำศพออกมานั้นง่ายกว่ามาก เขาทำได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือของหอกสวรรค์กระดูกมังกร
จางเซวียนใช้หยดเลือด 3 หยดของปรมาจารย์ขงไปจนหมดแล้ว หน้าหนังสือสีทองก็ถูกใช้ไปแล้วเช่นกัน แถมไอ้โหดก็จำศีลอยู่ นั่นหมายความว่าตอนนี้เขาไม่มีไม้ตายไว้ใช้ปกป้องชีวิตของตัวเองเลย ซึ่งนับว่าอันตรายมากเมื่อพิจารณาถึงสภาวะปัจจุบันของทวีปแห่งปรมาจารย์ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นมากที่เขาจะต้องหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณให้ได้โดยเร็วที่สุด
“เราควรจะลองดูก่อนไหมว่าจะเข้าไปในร่างของศพได้หรือเปล่า?” จางเซวียนคิดขณะถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากกายเนื้อ
ถึงเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวนี้จะตายไปแล้ว แต่ศพของมันก็ยังแผ่แรงกดดันออกมายังพื้นที่โดยรอบ แม้จากระยะไกล ก็ยังรู้สึกได้ว่ารังสีของมันยังแผดกล้าอยู่ ทำให้จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาต้องเผชิญกับแรงกดดันที่ดูเหมือนจะฉีกมันออกเป็นชิ้นๆได้
พละกำลังของนักปราชญ์โบราณนี่สบประมาทไม่ได้เลยจริงๆ! จางเซวียนคิดอย่างเคร่งเครียด
หลังจากที่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้รับการบ่มเพาะจากแรงกดดันของหอกสวรรค์กระดูกมังกร มันก็แข็งแกร่งทนทานอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังสร้างความบอบช้ำให้กับจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้ยาก แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็พบว่าการเข้าสู่ร่างของศพนี้มีความลำบากอยู่ไม่น้อย…
เหลือเชื่อจริงๆ!
จางเซวียนพยายามอีก 2-3 ครั้ง แต่ก็ต้องล่าถอยกลับมาก่อนจะพยายามเข้าใกล้ศพอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ลงท้ายเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง
ในการหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณ ขั้นแรก จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาจะต้องเข้าสู่ร่างของศพได้ก่อน ถ้าเขาทำไม่ได้แม้แต่จะแตะต้องมัน แล้วจะหลอมมันได้อย่างไร?
ดูเหมือนเราจะต้องยกระดับของจิตวิญญาณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าเราฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ ก็น่าจะเข้าสู่ร่างของศพนี้ได้! จางเซวียนคิดขณะดึงจิตวิญญาณต้นกำเนิดกลับเข้ากายเนื้อ
เขารีบลำดับความสำคัญของเรื่องราวต่างๆที่กำลังพัลวันอยู่ในสมอง
อันดับแรก เราจะต้องหาเทคนิควรยุทธที่ปรมาจารย์ขงใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ อันดับที่ 2 เราจะต้องหาลูกศิษย์ให้มากกว่านี้และทำให้พวกเขาสำนึกในบุญคุณ เพื่อสร้างหน้าหนังสือสีทองขึ้นมา ส่วนอันดับที่ 3 เราจะต้องผลักดันให้จิตวิญญาณของเราฝ่าด่านวรยุทธให้ได้เพื่อหลอมศพนี้!
ถึงจางเซวียนจะรู้ว่าหน้าหนังสือสีทองมีประสิทธิภาพการต่อสู้อันไร้เทียมทาน แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะสังหารนักปราชญ์โบราณได้
เพราะถึงอย่างไร นักปราชญ์โบราณก็เป็นสัญลักษณ์ของความไร้เทียมทานในหัวใจของนักรบทุกคน นักรบคนไหนก็ตามที่ยังไม่ได้เข้าถึงระดับนั้นก็สามารถถูกนักปราชญ์โบราณเล่นงานได้อย่างง่ายดายเพียงแค่การใช้ความคิด ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นนักปราชญ์โบราณจึงไม่บังอาจแม้แต่จะคิดฝันว่าจะทำร้ายนักปราชญ์โบราณได้…
แต่เขาสังหารนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งไปแล้วอย่างง่ายดายโดยใช้หน้าหนังสือสีทอง
ไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตชิ้นไหนที่จะมีประสิทธิภาพดีไปกว่านี้ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องพยายามสร้างหน้าหนังสือสีทองขึ้นให้ได้มากที่สุด
ภารกิจอันดับแรกและอันดับ 2 นั้นยากที่จะทำให้สำเร็จได้ในตอนนี้ แต่อันดับ 3 เราน่าจะทำได้!
เขาไม่แน่ใจนักเรื่องสถานการณ์ของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ในตอนนี้ จึงถือว่าอันตรายมากหากจะมุ่งหน้าไปที่นั่น โดยเฉพาะในสภาวะที่ตัวเขาไม่มีไม้ตายติดตัว หากผู้ที่ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจคิดร้ายกับเขา เขาคงต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นแน่ จางเซวียนจึงยังไม่คิดจะมุ่งหน้าไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ตอนนี้
ส่วนภารกิจอันดับ 2 ถึงหน้าหนังสือสีทองจะทรงพลังแค่ไหน แต่การจะได้มันมาก็เป็นกระบวนการที่จะต้องปล่อยให้เกิดขึ้นเอง ไม่สามารถบังคับมันได้
เขาเคยคิดว่าหน้าหนังสือสีทองจะเกิดขึ้นจากความสำนึกในบุญคุณของลูกศิษย์ของเขา แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป มันน่าจะขึ้นอยู่กับความล้ำลึกของความสำนึกในบุญคุณนั้นด้วย หรืออาจมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ปลอดภัยหากเขาจะพึ่งพามันเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น เมื่อพิจารณาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าภารกิจอันดับ 3 จะเป็นสิ่งที่เขาควบคุมได้มากที่สุด
เมื่อเรียบเรียงความคิดสำเร็จ จางเซวียนออกจากรังนางพญามดและรีบออกจากที่พักของเขาไป ระหว่างทาง เขาพบผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลจาง จึงสั่งการ “พาผมไปที่หอสมุดที”
ในฐานะหัวหน้าตระกูล ก็แน่นอนว่าเขามีอำนาจที่จะเข้าสู่หอสมุดของตระกูลจางได้อย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องลักลอบแอบซ่อนเหมือนเมื่อก่อน
…..
4 ชั่วโมงต่อมา จางเซวียนเดินออกจากหอสมุดพร้อมกับความผิดหวังและความค้างคาใจ
ถึงตระกูลจางจะเป็นตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็มีหนังสือขั้นสูงที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณอยู่ไม่มากนัก แม้เขาจะรวบรวมหนังสือใหม่ๆไว้ได้จำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่อาจประมวลขึ้นเป็นเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ที่สมบูรณ์แบบได้
พูดอีกอย่างก็คือ เขายังฝึกฝนวรยุทธไม่ได้ในตอนนี้
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหันกลับไปตั้งคำถามกับผู้อาวุโสที่พาเขามา “ตระกูลหลัวเป็นอย่างไรบ้าง?”
“รายงานท่านหัวหน้า ตระกูลหลัวแจ้งว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อท้าทายคุณเข้าสู่การดวล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหัวหน้าตระกูลของพวกเขา, หลัวเทียนหยา ที่เพิ่งได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่มีภารกิจด่วนที่ต้องไปจัดการ จึงมาพร้อมกับพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงจัดให้พวกตระกูลหลัวพักอยู่ในบริเวณรับรองแขกไปก่อน” ผู้อาวุโสตอบ
“อือ ดีแล้ว” เห็นสถานการณ์เรียบร้อยดี จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถามอีก “ในอาณาบริเวณที่ใกล้เคียงกับตระกูลจาง มีกลุ่มอาชีพหรือกลุ่มอำนาจไหนที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องจิตวิญญาณบ้าง?”
“กลุ่มอาชีพหรือกลุ่มอำนาจที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องจิตวิญญาณ?” ผู้อาวุโสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “สมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองนาฏศิลป์ ห่างจากตระกูลจางไปราวสี่หมื่นลี้ ด้วยธรรมชาติของวิชาชีพของพวกเขา คนเหล่านั้นจึงคุ้นเคยกับเรื่องจิตวิญญาณเป็นอย่างดี แต่หากจะพูดถึงกลุ่มอำนาจที่มีความเข้าใจล้ำลึกที่สุดเรื่องจิตวิญญาณ ก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นตระกูลเจียง, 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่ เหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาสำเร็จแก่นสารของจิตวิญญาณ และเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็ใช้เวลาเดินทางจากตระกูลจางของเราเพียงครึ่งวันเท่านั้น!”