หลัวเทียนหยา
หลังจากสร้างความเจ็บช้ำแสนสาหัสให้กับตระกูลหลัว ฝ่ายนั้นคงอยากถลกหนังจางเซวียนทั้งเป็นถ้าทำได้ แล้วทำไมเขาถึงอยากไปที่นั่น?
แม้หลัวลั่วชิงจะมีข้อสงสัยมากมาย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจางเซวียนจะอยากกลับตระกูลหลัวเพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับหลัวฉีฉี
เธออาจไม่คุ้นเคยกับความรักมากนัก แต่แน่ใจว่าความรู้สึกที่จางเซวียนมีให้หลัวฉีฉีนั้นไม่ได้เกินเลยไปกว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์
“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า “ผมทำอะไรไม่เหมาะสมไว้เยอะระหว่างงานหมั้น และในเมื่อผมสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว ผมก็อยากจะถ่ายทอดให้พวกเขาเพื่อเป็นการชดเชยสิ่งที่ผมทำลงไป!”
“การที่ตระกูลหลัวต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ถือเป็นความไม่ยุติธรรมจริงๆนั่นแหละ และคุณก็ควรชดใช้ให้พวกเขา แต่ฉันเกรงว่าหากคุณโผล่หน้าไปตอนนี้ ไม่เพียงแต่พวกนั้นจะไม่ชื่นชมยินดีกับความช่วยเหลือของคุณ ยังอาจจะทำให้ความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลเลวร้ายลงไปอีกก็ได้” หลัวลั่วชิงตอบอย่างเคร่งขรึม
ถ้าไม่ใช่เพราะมีปรมาจารย์หยางและสภาปรมาจารย์เป็นคนกลาง สงครามเต็มรูปแบบระหว่างทั้งสองตระกูลคงจะเกิดขึ้นระหว่างงานหมั้นเป็นแน่!
ถึงจางเซวียนจะไม่มีเจตนาร้ายกับตระกูลหลัว แต่ความหวังดีของเขาก็อาจไม่ได้ดูดีในสายตาของอีกฝ่าย
และในกรณีเลวร้ายที่สุด จางเซวียนกับตระกูลหลัวอาจต้องต่อสู้กันเสียด้วยซ้ำ!
“เรื่องนี้ผมเองก็กังวลอยู่ จึงคิดว่าจะปลอมตัวไปเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด” รู้ดีว่าตัวเองกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของสมาชิกทุกคนในตระกูลหลัวแล้ว จางเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“แก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเป็นศาสตร์ลับขั้นสุดยอดของตระกูลหลัว เท่าที่ผมรู้ ยังไม่มีใครในตระกูลหลัวที่สำเร็จวิชานี้นับตั้งแต่ผู้ก่อตั้งของพวกเขาเป็นต้นมา ผมจึงเชื่อว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะชดเชยให้คนพวกนั้น”
หากเขาพยายามตรวจสอบเสียก่อนว่าใครคือองค์หญิงน้อยแทนที่จะพรวดพราดรีบร้อนเข้าสู่งานหมั้น ความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงแบบนี้ก็คงไม่เกิด และตระกูลหลัวก็คงไม่ต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายอย่างที่ผ่านมา
เกิดความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หลัวลั่วชิงจะพยักหน้า “ฉันว่าก็เป็นความคิดที่ดี”
เห็นสาวน้อยแสดงความเห็นชอบ จางเซวียนอดถามต่อไม่ได้ “คุณ…ไม่พอใจหรือเปล่า?”
พูดตามตรง จากเหตุการณ์ที่ตัวเขากับหลัวฉีฉีเกือบจะกลายเป็นคู่หมั้นกันอยู่แล้ว เขาก็พอเข้าใจถ้าหลัวลั่วชิงจะไม่สะดวกใจกับเรื่องนี้ การที่เธอตอบรับอย่างง่ายๆ แปลว่าเธอไม่มีความแคลงใจใดๆจริงหรือเปล่า?
“ไม่มีปัญหา!” หลัวลั่วชิงตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ทีท่าของเธอสดใสราวกับดอกไม้บาน
พูดกันตามตรง นี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอชอบจางเซวียนตั้งแต่แรก เขายังคงถ่อมตัวอยู่ทั้งๆที่ตัวเองประสบความสำเร็จ เก็บเนื้อเก็บตัวเงียบอยู่เสมอ ไม่เคยรีรอที่จะยอมรับความผิดของตัวเอง และมีจิตใจที่เมตตากรุณาต่อโลกใบนี้…
ทั้งหมดทั้งมวลคือคุณลักษณะที่สุภาพบุรุษที่แท้จริงคนหนึ่งควรมี!
และนี่ก็คือรูปแบบของชายที่ตัวเธอ, หลัวลั่วชิง หลงรัก
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ!” จางเซวียนหัวเราะลั่นและจับมือหลัวลั่วชิงไว้แน่นขณะที่รู้สึกได้ถึงกระแสของความแช่มชื่นยินดีที่พลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจของเขา
…..
ด้วยความเข้าใจเรื่องมิติที่ล้ำลึกกว่าเดิมของจางเซวียน เพียงแค่ดึงเอาพละกำลังของหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมา เขาก็ค้นพบหลุมแห่งมิติและใช้มันเดินทางได้ ด้วยสิ่งนี้ ความเร็วในการเดินทางของพวกเขาจึงรวดเร็วขึ้นมาก
ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงอาณาบริเวณของตระกูลหลัว
“จริงอยู่ว่าแม้แต่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวก็ยังมองทะลุการปลอมตัวของคุณได้ยาก แต่คุณก็ยังไม่อาจตบตาของล้ำค่าชนิดพิเศษบางอย่างได้ ฉันมีเครื่องรางอยู่ชิ้นหนึ่งที่ใช้เพื่อการปลอมตัวโดยเฉพาะ มันจะช่วยให้คุณผ่านการตรวจจับจากของล้ำค่าที่ใช้แยกแยะลักษณะของบุคคล”
หลังจากตรวจสอบการปลอมตัวของจางเซวียนอย่างถี่ถ้วน หลัวลั่วชิงก็นำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
“นั่นจะช่วยได้มากทีเดียว!” จางเซวียนรับเครื่องรางมาด้วยความตื่นเต้น
ครั้งก่อนที่เขาพยายามปลอมตัวอย่างพิถีพิถัน ก็ยังถูกปรมาจารย์หยางจับได้ ดังนั้น หากมีอะไรที่จะสามารถยกระดับการปลอมตัวของเขาให้แนบเนียนขึ้นอีก เขาก็พร้อมที่จะใช้มันเพื่อลดความเสี่ยงของการถูกเปิดโปง
จางเซวียนจ้องดูเครื่องรางนั้นอย่างถี่ถ้วน และเห็นตัวอักษรในรูปแบบที่ไม่คุ้นเคยจารึกอยู่บนนั้น เขาไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร แต่รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่มันแผ่ออกมา
เขาพยายามเพ่งดูตัวอักษรโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย
ด้วยความสงสัย จางเซวียนลองทาบมันกับหน้าผากของเขา
วิ้ง!
ทันทีที่แผ่นกระดาษสัมผัสกับใบหน้า มันก็สลายตัว กลายเป็นกระแสพลังงานที่ซึมซาบเข้าสู่ร่าง เพียงชั่ววูบหนึ่งของความคิด ร่างของจางเซวียนก็แปรสภาพไป กลายเป็นชายวัยกลางคนอายุราว 40 ปี
เขามีรูปร่างผอมเก้งก้าง ผิวออกเหลืองและเหี่ยวย่น ไม่มีบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นเตะตาใคร แต่หากมองอีกครั้ง ผู้นั้นก็จะรู้สึกได้ว่าเขามีนัยน์ตาที่คมกริบราวกับนกอินทรี บ่งบอกถึงภูมิปัญญาและความเฉลียวฉลาด
“เยี่ยมจริงๆ!” จางเซวียนอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ
เขาใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบรูปลักษณ์ใหม่ของตัวเองหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบจุดอ่อนที่จะบ่งบอกว่ามีบางอย่างแตกต่างจากรูปร่างหน้าตาที่ปรากฏ อันที่จริง ต่อให้ดวงตาหยั่งรู้ก็ยังมองทะลุการปลอมตัวของเขาไม่ได้!
เครื่องรางสำหรับการปลอมตัวนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าเทคนิคการปลอมตัวที่เขาเคยใช้ ด้วยเครื่องรางนี้ ต่อให้เขาพบปรมาจารย์หยางอีกครั้ง ฝ่ายนั้นก็คงไม่สงสัยตัวตนที่แท้จริงของเขาแน่!
หลังจากตรวจสอบตัวเองเรียบร้อย จางเซวียนก็หันไปมองสาวน้อยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และเห็นว่าเธอก็ปลอมตัวกลายเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีอายุพอๆกันกับเขา แม้เธอจะปกปิดความงดงามอันน่าทึ่งของตัวเองไว้แล้ว แต่ท่าทีของเธอก็ยังบ่งบอกความสง่างามอยู่
“ฮ่าฮ่าฮ่า การปลอมตัวของพวกเราช่างน่าทึ่งจริงๆ พูดก็พูดเถอะ ทำไมเราไม่ตั้งสมญานามให้ตัวเองล่ะ อย่างเช่น ‘คู่รักมหากาฬ’ คู่ต่อไป?” จางเซวียนเสนอพร้อมกับหัวเราะร่า
ในฐานะนายใหญ่และนายหญิงแห่งตระกูลจาง อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ จึงไม่มีใครกล้าตั้งสมญาให้เซียนดาบชิงเหมิงตรงๆ เมื่ออยู่ต่อหน้า ทุกคนจะเรียกขานทั้งคู่อย่างเคารพว่าเซียนดาบชิงและเซียนดาบเหมิง แต่เมื่ออยู่ลับหลัง ก็แอบตั้งสมญานามให้ทั้งคู่ว่า ‘คู่รักมหากาฬ’!
ในเมื่อตอนนี้พวกเขาเป็นคู่รักวัยกลางคน และมีประสิทธิภาพการต่อสู้เป็นชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์เช่นกัน ไม่ช้าไม่นานก็คงได้สมญานี้มาเป็นของตัวเอง!
“คุณเรียกใครว่าคู่รัก? เราเป็นแค่…พี่น้องกัน!” หลัวลั่วชิงหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“พี่น้องกัน? แต่พี่น้องกันน่ะควรจะมีหน้าตาคล้ายกันไม่ใช่หรือ? หรือว่าผมหล่อเกินไป? นั่นคือเหตุผลที่ผมควรจะหน้าเหมือนใครหรือไง?” จางเซวียนทำท่าครุ่นคิด
“คนหลงตัวเอง!” หลัวลั่วชิงหัวเราะ
เธอออกจะไม่เต็มใจนักที่จะสวมบทบาทเป็นคู่รัก แต่แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ความคิดที่เลวร้ายเกินไป “ก็ได้ เราเป็นคู่รักกันก็ได้ แต่ควรจะมีชื่อเอาไว้เรียกขานตัวเรานะ ไม่อย่างนั้น คงจะน่าสงสัยมากหากแม้แต่ตัวเรายังไม่สามารถแนะนำตัวเองได้ตอนที่คนอื่นๆถามว่าเราเป็นใคร”
“ท่านพ่อกับท่านแม่ของผมเอาชื่อของตัวเองมารวมกันเพื่อตั้งเป็นสมญานามเซียนดาบชิงเหมิง ผมว่าเราน่าจะทำแบบเดียวกันนะ…ชื่อเซียนดาบเซวียนชิง คุณฟังแล้วเป็นไง?” จางเซวียนถาม
หลัวลั่วชิงกลอกตา “ใช่ชื่อนั้นแล้วจะปลอมตัวไปเพื่ออะไรล่ะ?”
“ก็จริง…ผมเคยใช้ชื่อหยางชวน ซุนฉาง อู๋จางเซวียน และอีกหลายชื่อ…เพราะฉะนั้นคราวนี้ก็ควรจะมีชื่อใหม่ นึกออกแล้ว…ผมควรจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลัว พวกนั้นคงรู้สึกปลอดภัยกว่าหากผมเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของพวกเขา โดยเฉพาะเมื่อผมกำลังจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติให้พวกเขาด้วย ไม่อย่างนั้น พวกตระกูลหลัวอาจคิดว่าผมขโมยมรดกตกทอดของพวกเขามาและพยายามจะฆ่าผม!” จางเซวียนตาโต
ถึงอย่างไรเขาก็ต้องปลอมตัวอยู่แล้ว ก็คงจะช่วยได้มากกว่าหากเขาใช้ตัวตนของสมาชิกคนหนึ่งในตระกูลหลัว
เพราะมรดกตกทอดเรื่องการสกัดกั้นมิตินั้นเป็นมรดกเฉพาะของตระกูลหลัวมาเนิ่นนานหลายปี
อีกอย่าง ตระกูลหลัวก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นมากตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ใหญ่เกินกว่าจะตามสำรวจจำนวนสมาชิกของตัวเองได้ทั้งหมด คงไม่มีทางที่พวกนั้นจะระบุได้หากเขากล่าวอ้างว่าตัวเองมาจากครอบครัวสาขาที่ห่างออกไป
กรณีแบบนี้เกิดขึ้นกับตระกูลจางเช่นกัน มีสมาชิกของตระกูลจางซึ่งมาจากครอบครัวสาขาที่อยู่ห่างออกไป และเนื่องจากสายเลือดตระกูลจางที่มีอยู่ในตัวพวกเขาเบาบางมาก จึงไม่ได้รับการบันทึกไว้แม้แต่ในบัญชีรายชื่อของสมาชิกตระกูลจาง
“ฉันว่าก็เป็นความคิดที่ดี ฉันควรตั้งชื่อให้ตัวเองเหมือนกัน…ชื่อหลิงชีเป็นไง?” หลัวลั่วชิงถาม
“หลิงชี? สองหัวใจร้อยเรียงเป็นหนึ่งเดียวด้วยความผูกพันอันล้ำลึก…ช่างเป็นชื่อที่น่าอัศจรรย์เสียจริง! เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมจะใช้ชื่อหลัวเทียนหยา! ไม่ว่าเราจะอยู่ไกลกันแค่ไหน ต่อให้โลกแยกเราออกจากกัน หัวใจของเราก็จะยังคงผูกพันกันไม่เปลี่ยนแปลง!” จางเซวียนพูดยิ้มๆ
“ฟังดูดีเลยล่ะ” หลัวลั่วชิงพยักหน้า
หลังจากจัดการเรื่องชื่อแล้ว ทั้งคู่ก็รีบบินตรงไปยังตระกูลหลัว
ในเวลานี้ ตระกูลหลัวกำลังอยู่ระหว่างการบูรณะตึกรามบ้านช่องที่เสียหายและส่งของขวัญต่างๆกลับคืนไปยังกลุ่มอำนาจมากมายที่มอบให้พวกเขา
มีผู้คนกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ทั่วทั้งบริเวณดูวุ่นวายไปหมด
จางเซวียนตั้งใจจะใช้ความวุ่นวายครั้งนี้กลบเกลื่อนตัวเองและตามหาตัวหลัวชวนฉิงหรือหลัวฉีฉี เพื่อถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติให้พวกเขา ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงสายลมหอบใหญ่ที่พัดอยู่เหนือศีรษะ
ร่าง 2-3 ร่างพลันปรากฏ เกิดเสียงดังสนั่นกลางอากาศ
“หนานกงหยวนเฟิงจากสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่แห่ง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ พร้อมกับศิษย์น้องอีกจำนวนหนึ่งมาขอพบหัวหน้าตระกูลหลัว!”