รับเจียงเฟยเฟยเป็นศิษย์
“เขาพยายามจะสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือ?” จางเซวียนออกจะสับสนเล็กน้อย
ถ้าเหยียนเฉว่คนนั้นเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจริงๆ การแปรพักตร์ของสมาคมผู้หยั่งรู้ก็อาจจะไม่ใช่การแปรพักตร์อย่างที่เห็น ทำนองเดียวกันกับการทรยศของสภาปรมาจารย์ แต่ก็นั่นแหละ มันยังดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีที่ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
อีกอย่าง กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็เป็นทายาทสายตรงของศิษย์สายตรงทั้ง 72 คนของปรมาจารย์ขง จึงไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะทรยศมวลมนุษย์ได้ หรือต่อให้พวกเขาทรยศจริง เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นจะยอมไว้ใจหรือ?
ที่สมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว พวกเขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณ เรื่องนี้ถือว่าเหลือเชื่อสุดๆ
ไม่ว่าจางเซวียนจะพิจารณาอย่างไร ก็ไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ หลังจากตั้งคำถามอีกเล็กน้อย ก็พบว่าเจียงฟังโหย่วไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น ความรับผิดชอบของเขามีเพียงแค่การสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เท่านั้น
“บรรพบุรุษของเราได้เสียสละมากมายเพื่อมวลมนุษย์ ในฐานะทายาท เราจะบ่อนทำลายความเป็นวีรบุรุษของพวกเขาหรือ? อีกอย่าง ตระกูลเจียงของเราก็ก่อตั้งขึ้นบนความตายของบรรพบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนในอาณาจักรใต้ดินตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา พวกเราคงไม่คู่ควรกับการเป็นมนุษย์แล้วล่ะหากทรยศต่อการเสียสละนั้นและไปเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!” เมื่อรู้สึกได้ว่าจางเซวียนกำลังสงสัยพวกเขา เจียงฟังโหย่วลุกขึ้นยืนประสานมือและประกาศด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
“ผมขออภัยในความหุนหันพลันแล่นของผมด้วย ผมไม่ควรด่วนสรุปแบบนั้น” จางเซวียนรีบลุกขึ้นยืนและกล่าวตอบ
ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณได้เสียสละมากมายเพื่อมวลมนุษย์ แต่เขากลับแคลงใจในความภักดีของผู้สืบทอด จะบอกว่าเขาเสียใจกับการกระทำของตัวเองก็ไม่ใช่ เพราะเขาคงจะสงสัยอีกหากมีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น เมื่อมีชะตากรรมของมนุษย์เป็นเดิมพัน การปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่าเสียใจภายหลัง แต่ในเมื่อพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาทำผิดพลาด ก็ควรจะกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจ
“ด้วยชื่อเสียงด่างพร้อยและมลทินของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่มีต่อโลกใบนี้ ผมไม่แปลกใจหรอกที่คุณจะด่วนสรุปอย่างนั้น…” เจียงฟังโหย่วนัยน์ตาเบิกโพลงขึ้นอย่างกะทันหันขณะถามต่อ “นั่นคือเหตุผลที่คุณยกเค้าขุมสมบัติของพวกเราหรือเปล่า? คุณคิดว่าพวกเราร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจใช่ไหม?”
“ผม…เกรงว่าจะเป็นอย่างนั้น” จางเซวียนหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย
ได้ฟังคำตอบ เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “เอาเถอะ อย่างน้อยผมก็เข้าใจว่าทำไมคุณถึงทำแบบนั้น ถ้าพวกเราร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจริงๆล่ะก็ คงจะโง่เง่าเต็มทีที่ปล่อยทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไว้ให้พวกเราใช้”
ทรัพย์สมบัตินั้นควรจะมีอยู่เมื่อโลกมีสันติสุข หากชีวิตของมวลมนุษย์แขวนอยู่บนเส้นด้าย ก็คงโง่เง่าเต็มทีหากจะมัวทำตัวสุภาพและมีมารยาทกับศัตรูของตัวเอง
ถ้ามีกลุ่มอำนาจไหนในโลกที่ทรยศมวลมนุษย์เพื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจริงๆ การปล้นทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกเขาไปก็ถือเป็นการกระทำที่ยุติธรรมดี
“ผมจะคืนทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้พวกคุณนะ” จางเซวียนรีบตอบ
เมื่อรู้แล้วว่าตระกูลเจียงไม่ได้ทรยศมวลมนุษย์ และถึงกับเสียสละมากมายเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ ต่อให้จางเซวียนจะหน้าด้านหน้าทนแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่เขาจะบังอาจฉกฉวยเอาทรัพย์สมบัติเหล่านี้มาเป็นของตัวเอง
ส่วนเจียงฟังโหย่ว เมื่อเห็นสีหน้าของจางเซวียน ก็อดหัวเราะหึๆไม่ได้
ถึงการกระทำของจางเซวียนจะดูขัดหลักการไปบ้าง แต่เขาก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นการเดินหมากที่มีประสิทธิภาพ ถ้าตระกูลเจียงทรยศมวลมนุษย์จริงๆ สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างใหญ่หลวง
หลังจากพูดจากันเข้าใจแล้ว เรื่องอื่นๆที่เหลือก็ไม่ยุ่งยาก
จางเซวียนตอบรับที่จะรักษาการณ์ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเจียงไปก่อน จนกว่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะได้รับการแก้ไข จะไม่มีการเปิดเผยว่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมีความสัมพันธ์ใดๆกับตระกูลเจียง และหลังจากนั้น เขาตั้งใจว่าจะให้ลู่ชงมารับตำแหน่งแทน
ในเมื่อลูกศิษย์ของเขาพบอาณาจักรโบร่ำโบราณของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณและได้รับมรดกตกทอดของพวกเขามาด้วย ก็น่าจะเป็นผู้นำที่ดีได้ในอนาคต
พูดถึงอาณาจักรโบร่ำโบราณของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เรื่องจริงก็คือจางเซวียนมีข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับมันมาเป็นเวลานานแล้ว
ในเมื่อสภาปรมาจารย์ทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อกำจัดผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ แล้วทำไมพวกเขาถึงละเว้นอาณาจักรโบร่ำโบราณของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไว้? เท่าที่เห็น ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะช่วยปกปิดอาณาจักรดังกล่าวไว้เพื่อรักษาสายเลือดและมรดกตกทอดของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไม่ให้ขาดสะบั้น
ไม่อย่างนั้น ด้วยอำนาจของสภาปรมาจารย์ มันน่าจะถูกถอนรากถอนโคนและถูกทำลายจนสิ้นซากไปเนิ่นนานแล้ว
กว่าพิธีสถาปนาจะเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเข้าดึกดื่น
จางเซวียนรีบคืนทรัพย์สมบัติทั้งหมดกลับสู่ขุมสมบัติตระกูลเจียง ยกเว้นข้าวของไม่กี่ชิ้นที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น จากนั้นเขาก็เรียกเจียงเฟยเฟยมาและยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้
“สิ่งที่บันทึกอยู่ในนี้คือความเข้าใจของผมที่มีต่อแก่นสารของจิตวิญญาณ ขอแค่คุณฝึกฝนวรยุทธตามนี้ คุณก็จะสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและเสียแรงไปกับอักษรหยกของตระกูลเจียงอีก” จางเซวียนพูด
“ความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งจิตวิญญาณของคุณ?” เจียงเฟยเฟยพลิกดูหนังสืออย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
แต่เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย เธอก็ตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ
เพราะจิตวิญญาณนั้นปราศจากรูปแบบและจับต้องไม่ได้ การฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณจึงยากกว่ากันมากหากเปรียบเทียบกับการฝึกฝนวรยุทธของกายเนื้อ แม้เธอจะมีความถนัดในศิลปะแห่งจิตวิญญาณ แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้ อันที่จริง เธอรู้สึกว่าต่อให้ทุ่มเทเวลาทั้งชีวิต โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยังมีน้อยเต็มที
แต่หนังสือที่หัวหน้าตระกูลคนใหม่เพิ่งมอบให้เธอนั้นบรรจุเอาแก่นสารของวรยุทธของจิตวิญญาณไว้ มันไม่ได้ซับซ้อนเกินความจำเป็น และมีโครงสร้างที่ช่วยเสริมรากฐานความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณของเธอก่อนจะนำไปสู่ความรู้ในระดับที่ยากขึ้น…ด้วยหนังสือเล่มนี้ เธอมั่นใจว่าจะสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้ภายในเวลา 1 เดือนหากฝึกฝนอย่างหนัก!
ใครๆก็รู้ว่านี่เป็นภารกิจที่บรรพบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนได้พยายาม แต่ก็คว้าน้ำเหลว
“นะ-นี่…มันล้ำค่าเกินไป!” เจียงเฟยเฟยอุทานด้วยมือที่สั่นเทา เธอกัดริมฝีปาก ดูเหมือนกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญบางอย่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาจางเซวียน “ฉันจะตอบแทนคุณสำหรับหนังสือล้ำค่าเล่มนี้อย่างไรดี…หากคุณต้องการ ฉันตกลงหมั้นหมายกับคุณก็ได้นะ…”
เธอยังคงไม่ชอบหน้าชายหนุ่มคนนี้ แต่รู้ดีว่าเขามีความสำคัญต่อตระกูลเจียงแค่ไหน คงเป็นเรื่องดีมากหากเขาได้ผูกพันกับตระกูลเจียง แม้จะเป็นเพียงการแต่งงานอย่างเป็นพิธีก็ตาม
อย่างมากที่สุด เธอก็แค่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อการนี้
ถึงชายหนุ่มจะบอกไว้ว่าเขามีคนรักแล้ว ในกรณีเลวร้ายที่สุด เธอก็คงเป็นนางบำเรอของเขา
ด้วยรูปร่างหน้าตาและสถานภาพของเธอ เธอเชื่อว่าไม่น่าจะมีเหตุผลใดที่จะทำให้ชายหนุ่มปฏิเสธ
“หมั้นหมาย? คุณคิดมากไปแล้วล่ะ ถึงหนังสือที่ผมเพิ่งถ่ายทอดให้คุณจะดูง่าย แต่ก็มีโอกาสสูงที่วรยุทธของคุณจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกหากคุณฝึกฝนโดยปราศจากคำชี้แนะของผม!” ได้ยินคำนั้น จางเซวียนส่ายหน้าและพูดต่อ “เอาเถอะ ผมจะรับคุณเป็นศิษย์และชี้แนะคุณเกี่ยวกับวรยุทธเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ”
“ลูกศิษย์?” เจียงเฟยเฟยถึงกับชะงัก
เธอคิดว่าเหตุผลที่จางเซวียนเต็มใจมอบหนังสือล้ำค่าให้เธอก็เพื่อบีบบังคับให้เธอตอบตกลงแต่งงานกับเขา ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วเขาตั้งใจจะรับเธอเป็นศิษย์!
การพลิกผันเหตุการณ์อย่างกะทันหันทำให้เธอถึงกับจังงังไป
“รีรออะไรอยู่ล่ะ? รีบคารวะอาจารย์ของเจ้าสิ! ต่อให้เจ้าเป็นแค่ลูกศิษย์ธรรมดาของหัวหน้าตระกูล แต่ไม่ช้า มันจะกลายเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของเจ้าเลยทีเดียว!” เจียงฟังโหย่วอุทานด้วยความตื่นเต้นขณะฉุดลูกสาวของเขาออกจากภวังค์
นอกจากเป็นหัวหน้าตระกูลจาง ตระกูลหลัว และปูชนียสถานนักปราชญ์แล้ว บรรดาลูกศิษย์ของจางเซวียนก็ยังเป็นทายาทยอดขุนพล หัวหน้าศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง ประธานสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ หัวหน้าตระกูลหยวน…ในบรรดาลูกศิษย์ของเขา ไม่มีใครที่มีสถานภาพธรรมดาสามัญเลยแม้แต่คนเดียว
หากลูกสาวของเขากลายเป็นศิษย์ของจางเซวียน ต่อให้เป็นเพียงในนาม ก็จะส่งผลดีต่อเธออย่างมากในอนาคต บางที เธออาจไปได้ไกลกว่าตัวเขาเองก็ได้!
ได้ยินคำพูดของท่านพ่อ เจียงเฟยเฟยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบพยักหน้า “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว!”
เธอยังคงจดจำภาพของจางเซวียนว่าเป็นอัจฉริยะที่มาท้าทายเธอที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ ไม่คิดเลยว่าผ่านไปเพียงไม่ถึง 1 เดือน ชายหนุ่มคนนั้นจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ สถานภาพของทั้งคู่ไม่ได้ทัดเทียมกันอีกต่อไป
นอกจากตัวตนอื่นๆของเขา ลำพังแค่การที่เขาเป็นศิษย์พี่ของปรมาจารย์หยาง ก็คงจะไม่มากเกินไปหากเจียงเฟยเฟยจะเรียกเขาว่าอาจารย์ปู่!
“เจียงเฟยเฟยคารวะท่านอาจารย์!” เจียงเฟยเฟยทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและกล่าวคำแสดงความเคารพ
“ดี ลุกขึ้นเถอะ!” จางเซวียนพูดยิ้มๆ
เมื่อครู่นี้ ตอนที่สาวน้อยคุกเข่าลง หน้าหนังสือสีทองได้ก่อตัวขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก
คู่ต่อสู้ที่เขาจะต้องเผชิญหน้าไม่ใช่นักรบระดับเซียนอีกต่อไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องเข้าสู่การปะทะกับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือแม้แต่นักปราชญ์โบราณอีกครั้งในอนาคตอันใกล้
เมื่อมีหนังสือสีทอง อย่างน้อยเขาก็ยังอุ่นใจได้ว่าตัวเองจะปลอดภัย ต่อให้มีนักปราชญ์โบราณสักคนมาเล่นงานเขาตอนนี้ เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ด้วยหน้าหนังสือสีทองที่มีอยู่
เราควรจะรับลูกศิษย์ให้มากกว่านี้ไหม เพื่อให้ได้หน้าหนังสือสีทองมากกว่านี้? ศิษย์สายตรงของศิษย์น้องหยาง, ฟงสืออี้ ก็ไม่เลวนะ เอ๊ะ…หรือว่าเราควรจะเจรจากับศิษย์น้องหยางให้ยกฟงสืออี้ให้เรา? จางเซวียนลูบคางขณะครุ่นคิดเรื่องสำคัญ
ด้วยสถานภาพของเขาในตอนนี้ ลำพังแค่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ลูกศิษย์ของจางเซวียน’ ก็มากพอที่จะทำให้คนคนหนึ่งได้รับการยกย่องแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเลือกเฟ้นลูกศิษย์อย่างถี่ถ้วน แต่การหาลูกศิษย์ดีๆสักคนนั้น การพูดย่อมง่ายกว่าทำ
เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความโดดเด่น ประนีประนอม ชอบธรรม และสูงส่งแบบเขา…