วิหารแห่งขงจื๊อปรากฏ
นักรบทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์เป็นการทดสอบวรยุทธที่อันตรายมาก มีนักรบผู้เก่งกาจนับไม่ถ้วนที่เสียชีวิตเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังทำลายล้างของมัน
แม้แต่ในสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ซึ่งเป็นที่รวมตัวกันของเหล่าอัจฉริยะชั้นยอดในทวีปแห่งปรมาจารย์ เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวก็ยังต้องใช้เวลานับตั้งแต่หลายสิบปีไปจนถึงร้อยปีเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่มีอานุภาพแผดเผารุนแรงนี้
เมื่อไม่นานมานี้ จางเซวียนยังเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 แต่ก่อนที่ใครจะทันรู้ตัว เขาก็เรียกการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มา แถมทุกอย่างยังเลวร้ายลงไปอีก เพราะเพราะการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่เขาเรียกมานั้นคือการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดที่น่าพรั่นพรึงที่สุดในบรรดาเปลวเพลิงสวรรค์ทั้งหมด
ไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนจะคาดเดาว่าเขาไม่น่าเอาชีวิตรอด มนุษย์คนหนึ่งจะเอาตัวรอดจากเหตุการณ์รุนแรงระดับนี้ได้จริงๆหรือ?
แต่กลับตรงกันข้าม ไม่เพียงชายหนุ่มจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการทดสอบ พวกเขายังพบว่าอีกฝ่ายถึงขนาดใช้ประโยชน์จากเปลวเพลิงสวรรค์เพื่อหลอมของล้ำค่าด้วย…
ให้ตายเถอะ!
เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวที่อยู่บริเวณนั้นต่างมีสีหน้าเหมือนคนท้องผูก พวกเขาสบตากันด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง ไม่รู้ว่าจะทำความเข้าใจสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร
พวกเขาได้คาดการณ์ความเป็นไปได้ไว้มากมายหลายประการ บางทีชายหนุ่มอาจถูกแผดเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน หรือบางทีเขาอาจจะมีชีวิตรอดมาพร้อมกับบาดแผลและความบอบช้ำสาหัส แต่ความคิดที่ว่าชายหนุ่มจะใช้ประโยชน์จากเปลวเพลิงสวรรค์เพื่อหลอมของล้ำค่านั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ไม่เคยแม้แต่สักครั้ง!
โลกนี้ผิดเพี้ยนไปแล้วหรือ?
การที่ชายหนุ่มจะควบคุมการทดสอบสายฟ้าได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถึงกับใช้ประโยชน์จากเปลวเพลิงสวรรค์ในการหลอมของล้ำค่าได้ด้วย…ให้นรกกินหัวเถอะ มันจะมากเกินไปแล้ว!
ไอ้น้อง วงศ์ตระกูลของคุณเป็นเจ้าของสวรรค์หรืออะไรทำนองนั้นหรือเปล่า?
การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ควรจะเป็นการลงทัณฑ์ที่สวรรค์เล่นงานคุณ ไม่ใช่เป็นไฟแช็คให้คุณเอาเปลวเพลิงมาใช้แบบนี้!
ขณะที่สมองของทุกคนกำลังปั่นป่วนกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา จางเซวียนก็หันมามองพวกเขาและถามว่า “มีใครในหมู่พวกคุณที่มีน้ำทิพย์จิตวิญญาณเหมันต์บ้าง? ขอผมยืมสักหน่อย ผมต้องการหล่อเย็นของล้ำค่าของผม…”
“น้ำทิพย์จิตวิญญาณเหมันต์?” คำขอปุบปับนั้นทำให้เหรินชิงหยวนทำหน้าไม่ถูก แต่เขาก็รีบพยักหน้าแล้วตอบว่า “ผมมี”
เขานำขวดหยกใบหนึ่งออกมาด้วยการสะบัดข้อมือ ก่อนจะโยนมันขึ้นไปกลางอากาศ
“ขอบคุณมาก!” จางเซวียนคว้าขวดหยกไว้และรีบเปิดมันออก
ฟึ่บ!
น้ำทิพย์จิตวิญญาณเหมันต์พุ่งออกจากขวดหยกและกระจายตัวไปทั่วหม้อต้นกำเนิดทองคำ
เกิดควันสีขาวขึ้นโขมงโอบล้อมหม้อต้นกำเนิดทองคำไว้ เกิดเป็นภาพที่ดูลึกลับ
การรักษาสัดส่วนที่ถูกต้องระหว่างโลหะชนิดต่างๆที่ใช้ในการหลอมโลหะผสมนั้นจัดว่าสำคัญ แต่การหล่อเย็นก็มีบทบาทที่สำคัญกว่าในการกำหนดคุณภาพขั้นสุดท้ายของของล้ำค่าแต่ละชิ้น
น้ำทิพย์จิตวิญญาณเหมันต์เป็นของล้ำค่าขั้นสูงสุดสำหรับการหล่อเย็น ดังนั้นช่างตีเหล็กระดับ 9 ดาวส่วนใหญ่จึงมักพกติดตัว ในเมื่อมีปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวอยู่มากมายในบริเวณนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าคงจะมีใครสักคนที่มีมันอยู่
“เขากำลัง…หลอมอาวุธหรือ?”
ไม่ช้า ควันสีขาวก็ค่อยๆสลายตัวไป เผยให้เห็นของล้ำค่าหน้าตาแปลกประหลาดที่ได้รับการหลอมโดยใช้เปลวเพลิงสวรรค์ และในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เหรินชิงหยวนกับปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนอื่นๆรีบเงยหน้ามอง สิ่งที่เห็นทำให้พวกเขาอ้าปากค้างด้วยความพรั่นพรึงและแทบเข่าอ่อน
พวกเขาคาดว่าอาวุธที่จางเซวียนหลอมโดยใช้เปลวเพลิงสวรรค์นั้นคงจะงดงามอย่างน่าทึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็คงจะเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เทียบชั้นได้กับอาวุธในตำนานซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในโลก
ใครบอกพวกเราได้บ้างว่าไอ้ก้อนสีดำที่อยู่ตรงนั้นมันคืออะไร?
มันดูไม่เหมือนหม้อ ไม่เหมือนอิฐ…บ้าบอคอแตก จะเรียกว่าอึก็ยังดูดีเกินไปด้วยซ้ำ! หลังจากการตีเหล็กโดยใช้เทคนิคอันน่าทึ่งต่างๆนานา นี่คือผลงานของคุณหรือ?
ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนหนึ่งส่ายหน้าอย่างไม่แน่ใจขณะตรวจสอบของล้ำค่าที่อยู่กลางอากาศอย่างถี่ถ้วน “มันน่าจะเป็นหม้อใบหนึ่ง…ใช่ไหม?”
“ดูไม่เหมือนหม้อนะ สำหรับผม มันเหมือนช้อนใส่รองเท้ามากกว่า…”
“ผมว่าคุณพูดถูก ช้อนใส่รองเท้าที่มีรูปร่างเหมือนอิฐ”
“….” จางเซวียน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผม, หม้อต้นกำเนิดทองคำ ได้รับการยกระดับแล้ว ขอบคุณมาก นายท่าน!” เมื่อการหล่อเย็นเสร็จสิ้น เสียงอุทานอย่างตื่นเต้นก็ดังก้องไปทั่ว แต่ไม่ช้า คิ้วขมวดมุ่นก็ปรากฏบนใบหน้าบิดเบี้ยวของหม้อต้นกำเนิดทองคำขณะที่มันตั้งคำถาม “นายท่าน ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย ทำไมหัวของผมมันถึงเป็นสี่เหลี่ยมแบบนี้ มันดูจะประหลาดอยู่สักหน่อยเวลาผมเดิน…เดี๋ยวก่อนนะ แล้วขาของผมอยู่ไหน?”
“ขาอ้วนม่อต้อของแกน่ะเป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบที่สุด ทำให้ความเป็นศิลปะของแกเสียไป ฉันก็เลยปรับปรุงให้แกนิดหน่อย” จางเซวียนตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“คุณปรับปรุงมันหรือ? แล้วเตาหลอมของผมอยู่ไหนล่ะ?” หม้อต้นกำเนิดทองคําตรวจสอบร่างกายของมันอย่างถี่ถ้วนอยู่นาน แต่ก็หาเตาหลอมไม่เจอ จึงอดตั้งคำถามไม่ได้
“มันทำให้แกดูเทอะทะ ฉันก็เลยใช้หินจิตวิญญาณต้นกำเนิดทองคำมาเสริม” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามสร้างความมั่นใจ
“แล้วผมจะหลอมยาหรือของล้ำค่าได้อย่างไรล่ะถ้าไม่มีเตาหลอม?”
“เรื่องพวกนั้นมันเรื่องเล็กน่ะ แกต้องยอมทิ้งข้าวของบางอย่างไปบ้างเพื่อยกระดับตัวแกให้ดีขึ้น ไม่รู้สึกบ้างหรือว่าก้นของแกน่ะมันใหญ่ขึ้น? ฉันทำให้รูปร่างของแกออกมาแบบนี้เพื่อเสริมประสิทธิภาพการต่อสู้ ด้วยก้นใหญ่ๆนี่แหละ แกจะใช้มันเล่นงานคู่ต่อสู้ได้สบาย!”
จางเซวียนพูดอย่างจริงจัง “บอกตามตรงนะ ฉันว่าแกดูดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ…”
“ผมน่ะหรือ? ฮ่าฮ่า ผมว่าผมก็ตั้งคำถามในสิ่งที่รู้กันอยู่แล้ว ใครจะมาดูดีกว่าผมซึ่งเป็นหม้อต้นกำเนิดทองคำได้อีกล่ะ? ต่อไปผมคงดึงดูดหม้อสาวๆได้มากมายทีเดียวแหละ” หม้อต้นกำเนิดทองคำหัวเราะร่าด้วยความพอใจ
“….” เหรินชิงหยวน
“….” เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว
เจ้านายกับลูกน้องคู่นี้ออกจะมีแนวคิดเรื่องความสวยความงามที่แปลกประหลาดไปหน่อยไหม?
ใครก็ตามที่ตายังไม่บอดก็บอกได้ทั้งนั้นว่ามันหน้าตาไม่เหมือนหม้อเลย นี่หลอกตัวเองแล้วมีความสุขหรือไง?
อ้อ ลืมไป! เหล่าอัจฉริยะมักมีความแปลกประหลาดในแบบของตัวเอง ทำตามที่พวกคุณสบายใจก็แล้วกัน!
จางเซวียนไม่ใส่ใจฝูงชนด้านล่างที่กำลังตาค้าง เขาตรวจสอบหม้อต้นกำเนิดทองคำที่อยู่ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน
เพราะเขาประสานหินจิตวิญญาณต้นกำเนิดทองคำมากเกินไป มันจึงดูไม่ต่างอะไรกับก้อนโลหะเละๆก้อนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันก็ไม่อาจประมาทได้ แม้จะหน้าตาไม่งดงามก็เถอะ
อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับใครก็ตามที่มองมันเพียงแค่ภายนอก แต่หม้อต้นกำเนิดทองคำในเวลานี้จัดเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่
น้ำหนักของมันหนักอึ้งอย่างน่าสะพรึง จนถึงขั้นที่แม้แต่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานขั้นต้นก็อาจเละเป็นเนื้อบดได้หากถูกหม้อต้นกำเนิดทองคำทุ่มตัวใส่
“เอาล่ะ แกควรจะพยายามทำความคุ้นเคยกับพละกำลังใหม่ของแกและยกระดับวรยุทธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ” จางเซวียนสั่งการ
เขานำหม้อต้นกำเนิดทองคำที่มีสีหน้าพออกพอใจใส่กลับเข้าไปในรังนางพญามด จากนั้นก็เริ่มสำรวจความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเองโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ
หลังจากที่ผ่านการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ไม่เพียงแต่ระดับวรยุทธของจางเซวียนจะกลายเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1-การพักฟื้นภายใน แต่สิ่งปนเปื้อนทั้งหมดในร่างกายของเขาก็ถูกชำระไปจนหมดสิ้นด้วย ทุกเซลล์มีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมราวกับเด็กเกิดใหม่
“นี่คือ…การพักฟื้นภายใน โลกจารึก?” จางเซวียนตาโตด้วยความยินดีปรีดา
โดยปกติ จะต้องใช้เวลาหลายปีสำหรับนักรบการพักฟื้นภายในขั้นต้นคนหนึ่งที่จะขัดเกลาร่างกายและยกระดับวรยุทธ แต่ด้วยการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ ระดับวรยุทธของจางเซวียนพุ่งพรวดขึ้นไปจนถึงขั้นโลกจารึก
ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งกายเนื้อและพลังปราณของเขาก็เริ่มเปล่งประกายสีทองด้วย
เท่าที่เห็น เขาคงใช้เวลาขัดเกลาวรยุทธอีกไม่นาน ก็พร้อมที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้ว!
“ด้วยระดับวรยุทธของพลังปราณและจิตวิญญาณที่เรามีอยู่ในตอนนี้ ประกอบกับหม้อต้นกำเนิดทองคำและหอกสวรรค์กระดูกมังกร เราสามารถรับมือได้แม้แต่กับผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักรบขั้นกัลปาวสานขั้นสูงสุด” จางเซวียนกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น
สำหรับวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ จะมีช่องว่างที่ห่างกันมากระหว่างวรยุทธแต่ละขั้นย่อย ทำให้การยกระดับวรยุทธแต่ละขั้นนั้นทั้งสิ้นเปลืองเวลาและเป็นไปด้วยความยากลำบาก
แต่ภายในเวลาเพียง 1 วัน ไม่เพียงแต่จางเซวียนจะยกระดับจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาไปถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึกได้ ยังผลักดันวรยุทธของพลังปราณไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายใน โลกจารึกได้อีกด้วย…ต่อให้ไม่พึ่งพาพละกำลังจากของล้ำค่าที่เขามีอยู่ เขาก็มั่นใจว่าตอนนี้จะสามารถเอาชนะเซียนดาบชิงเหมิงได้สบาย!
วันนี้ไม่ใช่วันที่อะไรๆเป็นไปได้โดยง่ายเลย แต่ความพยายามของเขาก็ส่งผล
ก่อนหน้านี้ หากเขาต้องเผชิญหน้ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน ก็มีแต่จะหมดหนทางหากปราศจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขง ทางเดียวที่ทำได้คือต้องหลบหนี แต่ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ในตอนนี้ เขาสามารถต่อสู้กับคนเหล่านั้นได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
“แต่เราก็ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะคุ้นชินกับพละกำลังใหม่ และปลดปล่อยมันออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
เพราะเขาไม่ได้ยกระดับวรยุทธของพลังปราณและวรยุทธของจิตวิญญาณในคราวเดียวกัน จึงยังมีความไม่สมบูรณ์แบบปรากฏอยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ภายในเวลาเพียง 2-3 วัน จางเซวียนก็จะสามารถผสานวรยุทธทั้งสองรูปแบบให้กลมกลืนกันและเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาได้
หลังจากแน่ใจในการเปลี่ยนแปลงของร่างกายแล้ว จางเซวียนก็ร่อนลงสู่พื้น
เขาอยู่ในศาลเจ้าขงจื๊อตอนที่เรียกการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มา แต่ก็ได้กลืนกินลูกไฟสีดำที่พุ่งเข้าใส่โลกเอาไว้ทั้งหมด ดังนั้น ตึกรามบ้านช่องที่อยู่โดยรอบจึงไม่ได้รับความเสียหายจากการทดสอบวรยุทธของเขา
หลังจากที่จางเซวียนร่อนลงสู่พื้นได้ไม่นาน หลัวลั่วชิงก็เดินออกมาจากศาลเจ้าขงจื๊อ
“ประธานเหริน ผมขอขอบคุณมาก…” จางเซวียนเดินเข้าไปประสานมือให้เหรินชิงหยวน
เขากำลังขอบคุณเหรินชิงหยวนที่อนุญาตให้เข้าสู่ศาลเจ้าขงจื๊อ ก็พอดีกับที่พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นมาอย่างปุบปับ
จากนั้น แสงอาทิตย์ก็ส่องสว่างเจิดจ้าไปทั่ว ทำให้แทบมองอะไรไม่เห็น
ภายในแสงอาทิตย์เจิดจ้านั้น ทุกคนเห็นศาลเจ้าขนาดใหญ่หลังหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง ดูเหมือนพระราชวังที่อยู่กลางอากาศ
“วิหารแห่งขงจื๊อ…” เหรินชิงหยวนพึมพำพร้อมกับหรี่ตา