ประวัติศาสตร์ของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
“นั่นคือวิหารแห่งขงจื๊อหรือ?”
จางเซวียนชะงักกับคำพูดของเหรินชิงหยวน เขาจ้องมองดวงอาทิตย์เจิดจ้าที่เพิ่งขึ้นใหม่ และรู้ได้ทันทีว่าดวงอาทิตย์นั้นอยู่ในมิติคู่ขนาน แม้จะอยู่ภายใต้ลำแสงของมัน แต่ก็ดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลออกไปเกินกว่าจะจินตนาการได้
หรือถ้าจะพูดให้ถูก ระยะทางนั้นไม่ได้ถูกจำกัดด้วยการแทนที่ของมิติ แต่เป็นการแทนที่ของเวลาด้วย ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นใหม่นั้นดูเหมือนจะอยู่ภายในกระแสของกาลเวลา และดูเหมือนจะต้องใช้วิถีทางแห่งมิติในการเข้าถึงมัน
ส่วนวิหารที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์นั้นมีสภาพเป็นเงาดำหลายชั้น แม้จะใช้ดวงตาหยั่งรู้ จางเซวียนก็พบว่าเขาไม่อาจมองเห็นมันอย่างใกล้ชิดได้
“ตามที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ขงเคยถูกฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดกักขังไว้ในเฉินข่าย ด้วยความเข้าใจอย่างล้ำลึกเรื่องเวลาของเขา เขาจึงได้คิดค้นมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงขึ้น ตอนที่ของล้ำค่าชิ้นนั้นปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ฤดูกาลต่างๆของโลกถึงกับผิดเพี้ยนแปรปรวนไปเพราะอานุภาพของมัน ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงหลอมรวมกัน ทำให้พันธุ์พืชเบ่งบานในชั่วขณะหนึ่ง และแห้งเหี่ยวไปในเวลาต่อมา ฤดูร้อนกับฤดูหนาวปะทะกัน เกิดพายุทอร์นาโดขึ้นทั่วไป ปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้เกิดขึ้นในบริเวณที่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงแผ่อานุภาพไปถึง เด็กทารกเติบโตเป็นชายวัยกลางคนได้ภายในชั่วพริบตา และผู้อาวุโสที่กำลังรอคอยความตายก็กลับกลายเป็นเด็กทารกภายในชั่วอึดใจ…” เหรินชิงหยวนพูดเมื่อนึกได้ถึงรายละเอียดที่ถูกบันทึกไว้ในจารึกโบราณ
ตอนที่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงถูกสร้างขึ้นนั้น มวลมนุษย์กำลังต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น อันที่จริง อานุภาพของมหาคัมภีร์ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่ตำนานว่าไว้
หลังจากที่ปรมาจารย์ขงหลบหนีออกมาได้แล้ว เขาก็ใช้อำนาจของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเล่นงานเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ไม่ช้าผู้คนต่างก็ยกย่องให้มันเป็นของล้ำค่า ส่งผลให้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล ไม่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวไหนที่ไม่หวาดกลัวอนุภาพของมหาคัมภีร์นี้
“มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง…ความสามารถในการควบคุมฤดูกาล ปรมาจารย์ขงสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลาด้วยหรือ?” จางเซวียนตั้งคำถาม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แต่เขาไม่เคยเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามันมีอานุภาพอย่างไร เท่าที่ฟังจากคำอธิบายของเหรินชิงหยวน ก็ดูเหมือนว่ามันจะสามารถควบคุมกาลเวลาได้
“ใช่ คงจะเป็นแก่นสารของเวลานั่นแหละ แต่ดูเหมือนความเข้าใจของปรมาจารย์ขงจะเหนือชั้นยิ่งกว่าการเร่งเวลา ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ ดูเหมือนเขาจะเชี่ยวชาญในการหน่วงเวลาและสกัดกั้นเวลาด้วย” เหรินชิงหยวนพูด
“การหน่วงเวลาและการสกัดกั้นเวลา?” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ
ก็เหมือนกับการที่ยังมีแก่นสารของมิติในรูปแบบอื่นๆนอกเหนือจากการสกัดกั้นมิติ เรื่องนี้เป็นทำนองเดียวกันกับแก่นสารของเวลา แก่นสารของเวลาที่เป็นภูมิปัญญาของตระกูลจางนั้นคือการเร่งเวลาที่ส่งผลให้นักรบสามารถเร่งเวลาของตัวเองได้
ด้วยการเร่งเวลา, 1 วินาทีของคู่ต่อสู้จะกลายเป็น 10 วินาทีของนักรบผู้นั้น ทำให้กระบวนท่าของอีกฝ่ายดูเชื่องช้าลง
แต่นอกจากการเร่งเวลา ก็ยังมีแก่นสารของเวลาที่เป็นการหน่วงเวลาและสกัดกั้นเวลาด้วย
แม้การหน่วงเวลาจะดูไม่มีประโยชน์มากนักกับนักรบส่วนใหญ่ แต่อันที่จริง มันเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดที่เหล่านักปราชญ์โบราณที่เป็นมนุษย์มีอยู่ในเวลานั้น ด้วยการจำศีลในสภาวะของการหน่วงเวลา เหล่านักปราชญ์โบราณจึงสามารถยืดอายุขัยของตัวเองและดำเนินการต่อสู้เพื่อมวลมนุษย์ต่อไปได้
ในอีกด้านหนึ่ง เป็นที่รู้กันว่าแก่นสารของเวลาเรื่องการสกัดกั้นเวลานั้นเป็นกฎเกณฑ์แห่งเวลาที่สามารถทำความเข้าใจได้ยากที่สุด ในแง่ของอานุภาพ มันแข็งแกร่งกว่าการสกัดกั้นมิติเสียอีก
การสกัดกั้นมิติสามารถยับยั้งกายเนื้อของคู่ต่อสู้ได้ แต่นักรบผู้นั้นจะยังคงมีสติสัมปชัญญะอยู่ ทำให้สามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา แต่สำหรับแก่นสารของการสกัดกั้นเวลาจะสกัดกั้นได้แม้แต่สติสัมปชัญญะด้วย หากนักรบผู้นั้นถูกสังหารขณะที่ตกอยู่ในสภาวะดังกล่าว เขาก็จะเสียชีวิตทันที ไม่มีโอกาสแม้แต่จะดิ้นรนเอาชีวิตรอด
ถ้าปรมาจารย์ขงสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลาและการสกัดกั้นเวลาด้วย เขาจะต้องทรงพลังขนาดไหน?
ต่อให้ไอ้โหดจะเก่งกาจอย่างไร ก็ไม่มีทางเทียบชั้นกับปรมาจารย์ขงได้แน่!
“นั่นเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังตั้งข้อสันนิษฐานไว้ เพราะฉะนั้นอาจไม่ถูกต้องก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือปรมาจารย์ขงได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของเขาเอาไว้ในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง หากเราได้มหาคัมภีร์และมรดกตกทอดของเขามา แน่นอนว่ามวลมนุษย์จะมีพละกำลังเพิ่มขึ้นอีกมาก ต่อให้เผ่าพันธุ์ปีศาจจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเราก็จะเอาชนะมันได้อย่างง่ายดาย!” เหรินชิงหยวนพูด
อำนาจและอิทธิพลของสภาปรมาจารย์นั้นค่อยๆเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ในยุคสมัยหลังจากที่ปรมาจารย์ขงจากไปได้ไม่นาน สภาปรมาจารย์ก็เพิ่งก่อตั้งขึ้นได้ไม่นานเช่นกัน และมีอำนาจต่างจากในปัจจุบันนี้มาก แม้จะเอาชนะเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ แต่ก็ไม่มีพละกำลังหรือทรัพยากรมากพอที่จะทำลายล้างพวกมันให้สิ้นซาก อย่างมากที่สุดที่พวกเขาทำได้ก็คือขับไล่พวกมันออกไปจากสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ…
แต่หลังจากนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็แข็งแกร่งขึ้นมาก หากพวกเขาได้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมา ก็คงจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เหล่าบรรพบุรุษไม่อาจทำได้
“ก็จริง!” จางเซวียนพยักหน้ารับ
เผ่าพันธุ์มนุษย์ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆนับตั้งแต่ยุคสมัยของปรมาจารย์ขงเป็นต้นมา แต่จำนวนของอัจฉริยะชั้นยอดกลับลดลง ไม่มีใครสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณอีกเลยนับตั้งแต่หมื่นปีที่แล้ว สิ่งที่มวลมนุษย์ขาดแคลนอย่างมากในตอนนี้ก็คือประสิทธิภาพการต่อสู้ในระดับที่เรียกว่าเป็นชั้นยอด
หากพวกเขาได้มรดกตกทอดของครูบาอาจารย์ของโลกใบนี้มา ก็คงจะแก้ปัญหาได้ และกลับมาถือไพ่เหนือกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้อีกครั้ง
“เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวแห่งสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่, ฟังคำสั่งของผม! นอกเสียจากผู้ที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณฉนวนของอาณาจักรใต้ดิน พวกคุณทุกคนที่เหลือจะต้องมุ่งหน้าไปยังชูฝู่ เดี๋ยวนี้ ในเมื่อวิหารแห่งขงจื๊อปรากฏขึ้นแล้ว ไม่ช้ามันก็คงจะเปิดอย่างเป็นทางการ” เหรินชิงหยวนหันกลับมาสั่งการ
“ขอรับ!”
เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวขานรับเป็นเสียงเดียวกันก่อนจะมุ่งหน้าไป
“ปรมาจารย์จาง ในเมื่อวิหารแห่งขงจื๊อเผยโฉมออกมาแล้ว ก็แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจคงจะเคลื่อนกองกำลังเร็วๆนี้ คุณจะร่วมเดินทางไปกับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ของเราหรือจะเดินทางไปเอง?” เหรินชิงหยวนตั้งคำถาม
“ผม…” จางเซวียนกำลังจะให้คำตอบ ก็พอดีกับที่เห็นหลัวลั่วชิงส่ายหัวเบาๆอยู่ข้างๆ เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะพูดต่อ “ผมขอขอบคุณในข้อเสนอและความเป็นห่วงของคุณ แต่ผมอยากเดินทางไปเองมากกว่า”
“ได้สิ” เหรินชิงหยวนดูจะไม่ประหลาดใจกับการตัดสินใจของจางเซวียน เขาพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พบกันที่ชูฝู่นะ!”
เมื่อพูดจบ เหรินชิงหยวนก็หันกลับไปและยกมือขึ้น ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวกลุ่มใหญ่เข้ารุมล้อมเขา ดูเหมือนทุกคนกำลังหารือกันเรื่องแผนการที่จะรับมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจหลังจากที่วิหารแห่งขงจื๊อเปิดแล้ว
“เรากลับกันเถอะ” จางเซวียนเรียกหลัวลั่วชิง แล้วทั้งคู่ก็รีบจากมา
ไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงบริเวณอาณาเขตรอบนอกของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่
จางเซวียนนึกได้ถึงปฏิกิริยาเมื่อครู่ของหลัวลั่วชิง จึงหันไปถามเธอ “วิหารแห่งขงจื๊อเปิดแล้ว เผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องเคลื่อนกองกำลังแน่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันจะต้องพานักปราชญ์โบราณของมันมาด้วย การอยู่กับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่นั้นอาจมีข้อจำกัดบางอย่าง แต่ก็จะปลอดภัยกว่าภายใต้การคุ้มกันของพวกเขา ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงแนะนำให้ผมปฏิเสธข้อเสนอของพวกนั้น”
อันที่จริง จางเซวียนก็คิดจะปฏิเสธข้อเสนอของเหรินชิงหยวนอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าหลัวลั่วชิงจะแนะนำให้เขาทำแบบเดียวกัน ดังนั้นจึงออกจะอยากรู้ว่าเธอมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร
ตามที่ปรมาจารย์หยางบอก มีข้อบังคับที่กีดกันไม่ให้เหล่านักปราชญ์โบราณเข้าสู่ใจกลางวิหารแห่งขงจื๊อเพื่อนำมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงออกมา แต่ก็แน่นอนว่าการต่อสู้ที่แท้จริงจะต้องเริ่มต้นทันทีที่มหาคัมภีร์ถูกนำออกมาจากวิหาร ทันทีที่เจ้าของมหาคัมภีร์คนใหม่เดินออกมา กลุ่มอำนาจต่างๆก็จะกลุ้มรุมเข้าใช้กำลังเพื่อแย่งชิงมัน
ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่านักปราชญ์โบราณจะต้องเข้าร่วมการตะลุมบอนครั้งนี้ด้วย!
ดูเหมือนสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จะมีแค่นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้วน่าจะเป็นเพราะพวกเขายังไม่ได้นำไม้ตายออกมามากกว่า
แม้แต่ตระกูลจางก็ยังมีบรรพบุรุษเก่าแก่ที่เป็นนักปราชญ์โบราณซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ย่อมจะมีมากกว่านั้นแน่นอน การเข้าร่วมกับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จึงถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่ามาก
“ยังพอมีเวลาก่อนที่วิหารแห่งขงจื๊อจะเปิดอย่างเป็นทางการ จึงไม่จำเป็นต้องไปเข้ารวมกลุ่มกับพวกเขา อีกอย่าง การเผยโฉมของวิหารแห่งขงจื๊อจะทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญมากมายนับไม่ถ้วนพากันตบเท้าไปที่นั่น การรีบร้อนไปที่วิหารในเวลานี้ไม่ทำให้เราได้ประโยชน์อะไร กลับตรงกันข้าม เราอาจจะต้องเข้าร่วมการสู้รบโดยไม่จำเป็น” หลัวลั่วชิงตอบ
“ยังพอมีเวลาก่อนที่วิหารแห่งขงจื๊อจะเปิดอย่างเป็นทางการหรือ?” จางเซวียนทวนคำด้วยความสงสัย
เขาคิดว่าเขาจะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ทันทีด้วยเครื่องรางลำดับแรกที่มีอยู่ในมือ ไม่นึกเลยว่ายังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่มันจะเปิดอย่างเป็นทางการ
“เดี๋ยวก่อนนะ มันไม่ถูกต้องแล้ว…มีแต่ผู้ที่มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานอยู่ในครอบครองเท่านั้นไม่ใช่หรือที่จะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้? ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญจากทั้งโลกมุ่งหน้าไปที่นั่น พวกเขาก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก” จางเซวียนตั้งคำถามขณะนึกบางอย่างขึ้นได้
มีแต่ผู้ที่มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานอยู่ในครอบครองเท่านั้นที่จะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ เรื่องนี้เป็นความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธ ไม่อย่างนั้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์คงไม่ลงทุนลงแรงถึงขนาดเข้าท้าทายตระกูลจางและตระกูลหลัว
หากพวกเขาไม่อาจเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ แล้วจะรีบร้อนไปที่นั่นเพื่ออะไร?
“เป็นความจริงที่ว่าจะต้องมีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานถึงจะเข้าสู่ห้องโถงใหญ่และห้องโถงบริวารของวิหารแห่งขงจื๊อได้ แต่ในส่วนของบริเวณรอบนอกล่ะ?” หลัวลั่วชิงตอบยิ้มๆ
“บริเวณรอบนอก?”
“ลองนึกถึงพระราชวังชิวอู๋สิ ตัวพระราชวังนั้นออกจะเข้าถึงได้ยากสักหน่อย แต่พื้นที่บริเวณรอบนอกพระราชวังชิวอู๋น่ะเปิดรับนักรบทุกคน” หลัวลั่วชิงอธิบาย
จางเซวียนครุ่นคิดหนัก
มีค่ายกลและอุปสรรคอยู่จำนวนหนึ่งในพื้นที่บริเวณรอบนอกของพระราชวังชิวอู๋ ซึ่งหากปราศจากแผนที่ ก็แทบไม่มีทางที่จะเข้าสู่พระราชวังชิวอู๋ได้เลย
ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ย่อมหมายความว่าวิหารแห่งขงจื๊อไม่ได้มีเพียงห้องโถงใหญ่และอีก 6 ห้องโถงบริวาร แต่ยังรวมถึงบริเวณอาณาเขตรอบนอกด้วย และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีค่ายกลหรือมาตรการป้องกันบางอย่างอยู่ในบริเวณรอบนอกนั้น
“ปรมาจารย์ขงยึดถือการถ่ายทอดความรู้โดยปราศจากการแบ่งชนชั้นเสมอ นอกเสียจากห้องโถงใหญ่และห้องโถงบริวารแล้ว เขายังได้ทิ้งทรัพย์สมบัติล้ำค่าและมรดกตกทอดต่างๆไว้มากมายรอบวิหารด้วย ผู้ที่ไม่มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานก็สามารถเข้าถึงทรัพย์สมบัติเหล่านั้นได้ ดังนั้น แน่นอนว่าคนอื่นๆจะต้องหาโอกาสเดินทางไปที่นั่นเช่นกัน” หลัวลั่วชิงพูด