อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1691 สองอำมาตย์จังงัง
นักรบคนอื่นจะต้องหาเวลาเขียนพินัยกรรมหรือคำสั่งเสียไว้ก่อนจะเผชิญหน้ากับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ เพราะรู้ว่ามีโอกาสที่พวกเขาอาจเสียชีวิตในการทดสอบวรยุทธ แต่หมอนั่นดำดิ่งเข้าสู่หมู่เมฆครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับกำลังเริงร่ากับน้ำพุร้อน ทั้งในวันก่อนเมื่อวานนี้, เมื่อวานนี้ แล้วยังวันนี้อีก…
ล้อเล่นกับพละกำลังของสวรรค์แบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือ?
นักรบคนอื่นๆต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเอาตัวรอดจากการทดสอบวรยุทธ แต่จางเซวียนกลับทำราวกับกำลังเดินทางไปพักผ่อน
อันที่จริง ผู้ที่ประหลาดใจไม่ได้มีแค่หลัวกั้นเจินกับพรรคพวก แม้แต่เปลวเพลิงสวรรค์ที่อยู่กลางอากาศก็ยังอึ้งตะลึง
(เวรละ เจ้าหมอนี่!)
ให้นรกกินเถอะ เราต้องเจอกับหมอนี่อีกแล้ว!
พระเจ้าช่วย ทำไมต้องเป็นเขา?
พี่ชาย คุณไม่คิดจะให้ผมพักผ่อนสักวันหรือ! บังคับผมให้ทำงานหามรุ่งหามค่ำวันแล้ววันเล่า จะเห็นใจกันบ้างไม่ได้หรือไง?
ผมหนีมายังสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจเพราะไม่อยากเจอคุณ แต่คุณก็ไล่ตามผมมาจนได้…
…..
ฝูงชนต่างไม่เข้าใจว่าทำไมจางเซวียนถึงท้าทายการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ได้ถึงสามครั้ง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมมันถึงเป็นเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดทุกรอบ ลงท้ายพวกเขาจึงล้มเลิกความพยายามที่จะขบคิดถึงปรากฏการณ์อันเหลือเชื่อนี้ และหันไปสนใจกับการทดสอบวรยุทธแทน
เปลวเพลิงสีดำลุกโพลงอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ในหมู่เมฆ พวกมันคำรามกร้าว ราวกับพร้อมจะกวาดล้างทั้งโลก
แต่พอจางเซวียนดำดิ่งเข้าไป หมู่เมฆดำนั้นก็เริ่มสั่นสะท้านและบิดเบี้ยวไปมา แม้แต่เสียงคำรามกร้าวก็ดูจะเปลี่ยนเป็นเสียงครางอย่างสิ้นหวัง
ผ่านไปราว 10 นาที การทดสอบก็แผ่วลงและหนีไป เหลือไว้แต่จางเซวียนที่กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างสดชื่นและมีสีหน้าพออกพอใจ
การปรับปรุงจุดตันเถียนและเครือข่ายทางเดินพลังปราณของเขาต้องใช้เวลาอยู่สักหน่อย เกือบหนึ่งวันเต็มทีเดียว แต่ผลของมันก็น่าพอใจมาก ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติได้อย่างรวดเร็วแบบนี้
เพราะเคยเผชิญหน้ากับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มาแล้ว 2 ครั้ง จางเซวียนจึงเปิดจุดชีพจรทั้งหมดของเขาและซึมซับเปลวเพลิงโดยปราศจากความลังเล เมื่อผนวกเข้ากับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่เขามีอีกมากมาย จางเซวียนก็สามารถยกระดับวรยุทธไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติโลกจารึกได้ภายในระยะเวลาเพียง 10 นาที!
เขาขับเคลื่อนพลังปราณ ประกายสีทองโอบล้อมร่างของเขาไว้ ดูราวกับพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดที่กำลังลงมาสู่พื้นโลก
หลังจากผ่านการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์แล้ว จางเซวียนร่อนลงมายังบริเวณที่ฝูงชนยืนอยู่และถามว่า “พวกคุณมาที่นี่ทำไม?”
อันที่จริง ทั้งหลัวกั้นเจิน เจียงฟังโหย่ว เหรินชิงหยวน และหลัวลั่วชิงควรจะอยู่ในอาณาจักรใต้ดินที่ต่างๆเพื่อป้องกันการบุกรุกของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แล้วทำไมทุกคนจึงมารวมตัวกันที่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อเฝ้าดูการทดสอบวรยุทธของเขา?
“พวกเรารู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ จึงมาตรวจสอบสถานการณ์ คุณคือ…ผู้สังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้ใช่ไหม?”
แม้เหรินชิงหยวนจะคาดเดาเรื่องราวไว้แล้ว แต่ก็แทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นความจริง จึงชี้ไปที่กองซากศพที่กลาดเกลื่อนอยู่โดยรอบ
“อ๋อ ตอนที่ผมมาถึงน่ะ ไอ้สารเลวพวกนี้กำลังวางแผนจะเข้าโจมตีทวีปแห่งปรมาจารย์ขั้นเด็ดขาด เพื่อยับยั้งพวกมัน ผมจึงทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันจนบานปลายกลายเป็นสองกองทัพต่อสู้กันเอง โชคดีนะที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” จางเซวียนพูด
ความกระเหี้ยนกระหือรือในการสังหารนั้นเรียกได้ว่าฝังลึกอยู่ในยีนของเผ่าพันธุ์ปีศาจ หากพวกมันเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ มนุษย์ผู้บริสุทธิ์มากมายจะต้องถูกสังหารเพราะความโหดเหี้ยมของพวกมัน จางเซวียนเองก็หนักใจที่จะต้องคร่าชีวิตของพวกมันอย่างโหดร้าย แต่เขาก็รู้สึกว่านั่นคือความจำเป็น
ในการทำสงคราม หากใช้ความปรานีกับคู่ต่อสู้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายพันธมิตรของตัวเอง
“คุณทำให้กองกำลังสองฝ่ายสู้รบกันเองหรือ?”
เหรินชิงหยวนกับคนอื่นๆปากค้างเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าของจางเซวียน
แม้อีกฝ่ายจะพูดถึงราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าการจะทำแบบนั้นได้ย่อมยากมาก
เพราะเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ไร้สมอง พวกมันเจ้าเล่ห์เจ้ากล ทำให้รับมือด้วยได้ยาก ไม่อย่างนั้น สภาปรมาจารย์คงไม่ต้องลำบากลำบนแบบนี้
“คุณคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยเลยกว่าจะทำให้พวกมันต่อสู้กันเองได้…” เหรินชิงหยวนตั้งข้อสังเกต
“ใช่ ผมใช้เวลา 1 ชั่วโมงเต็มเลยนะกว่าจะทำสำเร็จ ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก” จางเซวียนพยักหน้า
เขาต้องปลอมตัวกลับไปกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ด้วยพละกำลังของเขา ก็ยังอดรู้สึกหมดแรงไม่ได้กว่าทุกอย่างจะจบสิ้น
ถือเป็นความเหนื่อยยากไม่เบาทีเดียวสำหรับจางเซวียน
“1 ชั่วโมง?”
เหรินชิงหยวนกับคนอื่นๆถึงกับไปต่อไม่ถูก
หากพวกเขาต้องทำหน้าที่ของจางเซวียน คงต้องใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะสร้างความขัดแย้งระหว่างกองกำลังทั้งสองฝ่ายและทำให้พวกมันสู้กันเองได้ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาคงต้องใช้เวลาหลายปีในการเตรียมการอย่างถี่ถ้วน
แต่ชายหนุ่มคนนี้ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง…
ยิ่งคุยกับจางเซวียนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกช้ำใจขึ้นเรื่อยๆ
(คุณจะถนอมน้ำใจพวกเราหน่อยไม่ได้หรือไง?)
“ในกองทัพที่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจนับแสนตัว จะต้องมีแม่ทัพที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานอยู่หลายสิบตัวด้วย ใช่ไหม? คุณฆ่าพวกมันด้วยหรือเปล่า?” เจียงฟังโหย่วถาม
“ฆ่าสิ ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งนะ แต่ผมก็สังหารพวกมันเรียบ” จางเซวียนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ชุดเกราะของผมเปื้อนเลือดไปหมดเลย…”
เพื่อให้การปลอมตัวของเขาแนบเนียน จางเซวียนต้องทำความสะอาดชุดเกราะที่สกปรกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ตอนนี้ชุดเกราะของเขาก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือด จนถึงขนาดที่เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่ออก
“….”
เจียงฟังโหย่วจังงัง
แม้แต่ปรมาจารย์หยางก็ยังต้องหนีเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานจำนวนหลายสิบตัว แต่คุณสังหารพวกมันจนสิ้นซากโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แถมยังบ่นว่าพวกมันทำให้เสื้อเกราะของคุณเปื้อน…
เจียงฟังโหย่วอดไม่ได้ที่จะแอบสงสารเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ต้องตายด้วยน้ำมือของจางเซวียน
…..
พระราชวังสูงตระหง่านและงามสง่าหลังหนึ่งตั้งอยู่ในส่วนลึกของสนามรบเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไกลจากบริเวณที่จางเซวียนกับพรรคพวกยืนอยู่
เผ่าพันธุ์ปีศาจวัยกลางคนสองตัวนั่งหันหน้าเข้าหากันพร้อมกับถือแก้วไวน์ในมือ
เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่นั่งอยู่ทางซ้ายสวมเสื้อคลุมพริ้วไหวสีทอง มันหัวเราะลั่นขณะยกแก้วไวน์ขึ้นและพูดว่า “ดื่มให้กับความเป็นพันธมิตรของเรา! ขอให้เหล่าทหารยึดครองดินแดนที่ควรจะเป็นของพวกเราได้สำเร็จ!”
มันคือ 1 ใน 3 อำมาตย์ใหญ่ของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ, อำมาตย์เฉินหลิง!
ที่นั่งอยู่ตรงข้ามมันคือเผ่าพันธุ์ปีศาจวัยกลางคนซึ่งสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีม่วง, อำมาตย์เฉินชิง!
“ขอให้เป็นไปตามนั้น!” อำมาตย์เฉินชิงพยักหน้าด้วยทีท่าสง่างาม ก่อนจะจิบไวน์และละเลียดกลิ่นหอมอบอวลของมัน
ต้องยอมรับว่าไวน์ที่อำมาตย์เฉินหลิงจัดหามานั้นมีรสชาติเยี่ยมยอด แม้เขาจะเป็นหนึ่งในสามอำมาตย์ใหญ่ แต่ก็ไม่มีโอกาสลิ้มรสไวน์แบบนี้บ่อยนัก
“วางใจเถอะ ไม่มีมนุษย์หน้าไหนต้านทานกองกำลังพันธมิตรของเราได้หรอก เมื่อเรื่องนี้จบลง เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่เป็นอันตรายกับเราอีกต่อไป พวกเราจะกลับสู่ดินแดนของเราได้อย่างสง่างามและนำพาเผ่าพันธุ์ปีศาจไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง!” อำมาตย์เฉินหลิงคำรามอย่างลำพองใจ
แต่ในชั่วพริบตาหลังจากนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาขมวดคิ้ว จากนั้นก็พุ่งพรวดออกจากห้องไปทันที
เห็นท่าทีประหลาดของอำมาตย์เฉินหลิง อำมาตย์เฉินชิงรู้ว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ จึงรีบออกจากห้องและตามอำมาตย์เฉินหลิงไปติดๆ
ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงแท่นขนาดใหญ่
ตราหยกมากมายนับไม่ถ้วนลอยอยู่กลางอากาศเหนือแท่นขนาดใหญ่นั้น
มันเป็นธรรมเนียมของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่จะถ่ายทอดเจตจำนงส่วนหนึ่งของเหล่าพลทหารและหลอมรวมมันเข้ากับตราหยกก่อนที่ทุกตัวจะออกไปสู่สนามรบ ตราหยกเหล่านี้เป็นเครื่องแสดงสภาวะของเผ่าพันธุ์ปีศาจแต่ละตัว หากตราหยกแตกสลาย ก็หมายความว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นหมดลมหายใจสุดท้าย
สิ่งนี้เป็นเครื่องมืออันมีประสิทธิภาพสำหรับเหล่าอำมาตย์ที่จะได้ประเมินสภาวะของกองกำลังของตัวเอง และเพื่อให้เหล่าสมาชิกของครอบครัวพลทหารได้มาดูว่าพลทหารเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อไรก็ตามที่เกิดการสู้รบครั้งใหญ่ขึ้น ตราหยกจะแตกละเอียดอันแล้วอันเล่า ซึ่งนั่นหมายความว่าเหล่าทหารกล้าได้พลีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเองให้ยืนยาวต่อไป
เผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านี้จะได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ มีเกียรติและศักดิ์ศรีจากความเสียสละ วีรกรรมของพวกเขาจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ และป้ายชื่อของพวกเขาก็จะถูกตั้งไว้บนแท่นเทพเจ้า
ตอนที่สองอำมาตย์มาถึงแท่น ตราหยกก็เริ่มแตกสลายอันแล้วอันเล่า ในฐานะผู้กุมอำนาจสูงสุดของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทั้งคู่ได้เห็นความตายมามาก ถ้าเป็นแค่การสู้รบธรรมดา ลำพังแค่การแตกสลายของตราหยกคงไม่ทำให้พวกมันรู้สึกอะไร แต่ตอนนี้….
เคร้งงงง เคร้งงงง เคร้งงงง!
ตราหยกแหลกละเอียดด้วยจังหวะจะโคนอันไพเราะราวกับการแสดงของวงดนตรี ออกจะประหลาดสักหน่อยที่จะคิดแบบนี้ แต่มีความไพเราะอย่างน่าทึ่งอยู่ในเสียงนั้น เมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งเสียงดนตรีนั้นถึงขีดสุด ก็จะมีตัวโน้ตอันทรงพลังเป็นพิเศษที่แล่นเข้าสู่หัวใจของผู้ฟัง
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ตราหยกที่ลอยอยู่เหนือแท่นนับแสนอันก็แหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงอยู่กับพื้น ไม่เหลืออะไรให้เห็นเลย
“กำลังพลนับแสนของเรา…”
อำมาตย์เฉินหลิงซวนเซไปเล็กน้อยขณะมือไม้อ่อนแรงจนปล่อยแก้วไวน์ให้ร่วงลงกับพื้น ใบหน้าของเขาซีดเผือดด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาสะบัดหน้าอย่างมึนงง
กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีนับแสนตัวน่าจะเกินพอที่จะบุกเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินและสร้างความปั่นป่วนให้กับทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ เขารู้ว่าการบุกรุกครั้งนี้จะสร้างความสูญเสียไม่น้อย แต่ก็มั่นใจว่าสุดท้ายเผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องเป็นฝ่ายชนะ แต่หลังจากประกาศตัวเป็นพันธมิตรกันได้ไม่นาน ยังไม่ทันที่กองทัพของทั้งสองฝ่ายจะออกเดินหน้าเข้าสู่อาณาจักรใต้ดิน ก็มาถูกกวาดล้างจนสิ้นซากเสียแล้ว
ตราหยกแตกสลายอันแล้วอันเล่าอย่างไม่หยุดหย่อน…
มันเกิดอะไรขึ้น?
สองอำมาตย์ต่างจังงังจนพูดไม่ออก