อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1710 มิติทะเลทราย
“แน่นอนว่าพวกเราเคยพบเขา! ปรมาจารย์ขงเพิ่งจากมิติแห่งนี้ไปเมื่อไม่นานนี้เอง” งูเขียวไม้สวรรค์พยักหน้าอย่างจริงจัง ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุดในโลก
“ปรมาจารย์ขงเพิ่งจากมิติแห่งนี้ไปเมื่อไม่นานนี้เอง?” จางเซวียนเกิดข้อสันนิษฐานหนึ่งขึ้นมา เขารีบถามต่อ “ปรมาจารย์ขงจากมิติแห่งนี้ไปนานแค่ไหนแล้ว?”
งูเขียวไม้สวรรค์รุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ประมาณคร่าวๆนะ ผมคิดว่าราว 400 ปี”
“ใช่เลย!” จางเซวียนตัวสั่นเมื่อข้อสันนิษฐานของเขาได้รับการยืนยัน
เขาเคยคิดว่ามันออกจะประหลาดที่งูเขียวไม้สวรรค์พูดว่าปรมาจารย์ขงพาพวกมันมาที่นี่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าพวกมันโกหก ไม่มีเหตุผลอะไรที่อสูรเหล่านี้จะต้องโกหกเขา
จางเซวียนคิดว่าความผิดปกตินี้น่าจะเกี่ยวข้องกับกระแสกาลเวลาที่แตกต่างกัน เป็นไปได้ว่ากระแสกาลเวลาภายในมิติลี้ลับเดินช้ากว่ากระแสกาลเวลาในทวีปแห่งปรมาจารย์ เพราะไม่อย่างนั้น ป่านนี้อสูรสวรรค์ทั้ง 5 คงกลายเป็นเถ้ากระดูกไปแล้ว
สิ่งที่งูเขียวไม้สวรรค์พูดทำให้ข้อสรุปของเขาชัดเจนขึ้นมาก
หากกะประมาณคร่าวๆ ปรมาจารย์ขงน่าจะจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปได้ราวสี่หมื่นปี แต่ในสายตาของงูเขียวไม้สวรรค์ เวลาเพิ่งผ่านไป 400 ปีเท่านั้น นี่หมายความว่ากระแสของกาลเวลาภายในมิติลี้ลับเป็นหนึ่งในร้อยส่วนของโลกภายนอกอย่างนั้นหรือ?
พูดอีกอย่างก็คือ เวลาที่ผ่านไป 1 วันภายในมิติลี้ลับแห่งนี้เท่ากับเวลา 100 วัน ในทวีปแห่งปรมาจารย์!
หากการหน่วงเวลาสามารถนำมาใช้กับนักปราชญ์โบราณได้ พวกเขาก็คงสามารถยืดอายุขัยออกไปได้อีกมากโดยไม่จำเป็นต้องจำศีล
ไม่ใช่น่ะ แบบนี้ก็ไม่ถูกอีกนั่นแหละ…ด้วยความเชี่ยวชาญในศิลปะแห่งกาลเวลาของเรา เราน่าจะรู้สึกได้ถ้ามีความแตกต่างของกระแสกาลเวลา แต่ทำไมเราไม่รู้สึกถึงอะไรเลย? จางเซวียนครุ่นคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว
เพราะมีความเข้าใจในแก่นสารของเวลา จางเซวียนจึงไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรเลยอีกต่อไป หากมีความแตกต่างในกระแสของกาลเวลา เขาน่าจะรู้สึกได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น เหตุผลของเรื่องนี้คืออะไร?
ช่างมันเถอะ ตอนนี้คิดไปก็ไม่มีประโยชน์…ได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อเมื่อไหร่ก็คงพบคำตอบเอง
เมื่อไม่อาจหาเหตุผลได้ จางเซวียนจึงได้แต่ส่ายหน้าและโยนเรื่องนี้ทิ้งไปก่อน
เขาหันกลับไปพูดกับอสูรสวรรค์ทั้ง 5 “พาผมไปที่ทางออกที”
งูเขียวไม้สวรรค์นำทางไป
ถ้ำนั้นใหญ่โตมาก มีหลุมขนาดใหญ่อยู่ใจกลางถ้ำ ซึ่งเป็นบ่อลาวาที่กำลังเดือดพล่าน ดูราวกับว่าทุกสิ่งในโลกนี้สามารถถูกหลอมละลายภายในบ่อลาวานั้นได้
“นี่คือ…ทางออกหรือ?” จางเซวียนถึงกับผงะ
ไม่ว่าจะมองอย่างไร สิ่งที่เขาเห็นก็คือปล่องภูเขาไฟ ยากที่จะจินตนาการได้ว่าวิหารแห่งขงจื๊อตั้งอยู่ภายในปล่องนี้
“ผมก็ไม่แน่ใจในรายละเอียดนะ ในครั้งนั้น ปรมาจารย์ขงสั่งการให้พวกเราทั้ง 5 อารักขาพื้นที่นี้ไว้ พวกเราจึงคาดเดาว่านี่คือเส้นทางที่นำไปสู่วิหารแห่งขงจื๊อ” งูเขียวไม้สวรรค์อธิบาย
ภูมิปัญญาของปรมาจารย์ขงนั้นกว้างไกลและอยู่เหนือกาลเวลา ไม่ใช่สิ่งที่อสูรอย่างพวกมันจะหยั่งถึง
ด้วยความงุนงง จางเซวียนเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้และสำรวจพื้นที่โดยรอบ แต่ก็ไม่พบสัญญาณที่บ่งบอกสิ่งใด ลงท้ายเขาก็ได้แต่ส่ายหน้า
“สำหรับตอนนี้ พวกคุณเข้าไปอยู่ในมิติลี้ลับของผมก่อน ไม่ว่าเส้นทางที่นำไปสู่วิหารจะอยู่ภายในปล่องภูเขาไฟนี้หรือไม่ ผมก็ต้องตรวจสอบ”
รู้ดีว่าเขาจะไม่มีทางพบอะไรหากยังอ้อยอิ่งอยู่ตรงนี้ จางเซวียนจึงเก็บอสูรทั้งหมดเข้าสู่รังนางพญามดด้วยการโบกมือ จากนั้นก็กระโจนลงไปในบ่อลาวา
ในเมื่อแม้แต่เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดก็ยังไม่อาจแผดเผากายเนื้อของเขา จึงไม่มีทางที่จางเซวียนจะหวาดกลัวลาวาเพียงเท่านี้ ถึงมันจะมีอานุภาพแผดเผาแค่ไหน ความร้อนก็ไม่รบกวนจิตใจของเขาอีกต่อไป
จางเซวียนว่ายลึกลงไปอีกครู่หนึ่ง ไม่ช้า ฉนวนแห่งมิติที่เหมือนกับฉนวนที่อยู่ในอาณาจักรใต้ดินก็ปรากฏตรงหน้า เขาพุ่งเข้าใส่ฉนวนแห่งมิตินั้นโดยไม่ลังเล
ฟึ่บ!
โลกรอบตัวจางเซวียนบิดเบี้ยวไป ทำให้เขาเกิดความมึนงงอยู่ชั่วขณะ เมื่อหายเวียนหัวแล้ว ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนโลกอีกใบหนึ่งที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
พื้นที่ที่อสูรสวรรค์ทั้ง 5 อาศัยอยู่นั้นเป็นป่าเขียวชอุ่ม แต่ดินแดนที่เขายืนอยู่ตอนนี้คือทะเลทราย ความร้อนที่สุดแสนจะทนทานแผ่ซ่านไปทั่วผิวหน้าของผืนทราย ทั้งโลกดูเหมือนจะถูกปกคลุมด้วย สีสันของทรายที่กว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด มองออกไปสุดลูกหูลูกตา
“นี่คือทางออกที่คุณพูดถึงหรือ?” จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขากระโจนจากมิติลี้ลับแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง แต่มิติลี้ลับแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวิหารแห่งขงจื๊อเลย
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขามาผิดทาง?
“เอ่อ…”
งูเขียวไม้สวรรค์ก็งงงันกับทัศนียภาพที่เปลี่ยนไป มันไม่คิดว่าจะมีโลกแบบนี้อยู่เบื้องหลังฉนวนที่พวกมันอารักขามากว่า 400 ปี
แน่นอนว่าพวกมันไม่เคยเห็นที่นี่มาก่อน
งูเขียวไม้สวรรค์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสนอแนะ “นายท่าน ผมสำรวจผืนป่าจนทั่วแล้ว และนี่คือทางออกเพียงทางเดียว เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นบททดสอบอีกบทหนึ่งที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้น บางทีคุณอาจจะต้องค้นหาทางออกอีกทางหนึ่งเพื่อเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ”
“ผมก็คิดว่านั่นคงเป็นความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญาอีกครั้ง
เขาไม่อาจหาคำอธิบายใดที่มีเหตุผลกว่านี้ได้
บางทีอาจจะถูกต้องกว่าถ้าจะมองว่ามิติลี้ลับแห่งนี้เป็นคุกที่มีปราการหลายชั้น ต่อเมื่อเขาพบทางออกแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าสู่ชั้นต่อไปได้ เขาจะต้องผ่านชั้นต่างๆอีกมากมายกว่าจะเข้าถึงวิหารแห่งขงจื๊อ
แน่นอนว่าจางเซวียนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าการเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อไม่ใช่ภารกิจง่ายดาย เขารีบ ตัดสินใจหาทิศทางโดยใช้การกวัดแกว่งหอกสวรรค์กระดูกมังกร จากนั้นก็ขี่หลังของงูเขียวไม้สวรรค์และมุ่งหน้าไป
ไม่มีผู้คนปรากฏให้เห็นแม้แต่คนเดียวภายในทะเลทรายกว้างใหญ่ หลังจากเดินทางไปราว 2 ชั่วโมง ทั้งจางเซวียนและงูเขียวไม้สวรรค์ก็ออกจะเวียนหัวเล็กน้อย ริมฝีปากของพวกเขาเริ่มแตกระแหงจากความแห้งผาก
มีบางอย่างผิดปกติ…จางเซวียนคิดขณะขมวดคิ้ว
ด้วยระดับวรยุทธของทั้งตัวเขาและงูเขียวไม้สวรรค์ อย่าว่าแต่ทะเลทรายเลย ร่างของพวกเขาจะไม่มีทางได้รับผลกระทบอะไรทั้งนั้นต่อให้นอนหลับอยู่บนผิวลาวา เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่ทั้งคู่จะเกิดอาการขาดน้ำหลังจากเดินทางไปได้เพียง 2 ชั่วโมง
จางเซวียนศึกษามิติลี้ลับอย่างถี่ถ้วน และค้นพบอย่างรวดเร็วว่าโครงสร้างของมันแตกต่างจากมิติลี้ลับที่อื่นมาก มันถูกออกแบบอย่างชาญฉลาดให้กลายเป็นค่ายกลที่สามารถดูดน้ำและพลังชีวิตออกจากร่างของผู้ที่เข้ามา เขาหันไปพูดกับงูเขียวไม้สวรรค์ “ดูเหมือนที่นี่จะไม่ใช่ทะเลทรายธรรมดา เราต้องรีบหาทางออกให้ได้โดยเร็ว ไม่อย่างนั้นต้องตายที่นี่แน่!”
ขณะที่พูด เขาก็นำหยดน้ำทิพย์ที่เก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติออกมาดื่ม มันช่วยดับความกระหายและคืนชีวิตชีวาให้กับร่างกายของเขา จางเซวียนยื่นน้ำทิพย์ให้งูเขียวไม้สวรรค์ดื่มด้วยก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป
หลังจากเดินทางไปอีก 1 ชั่วโมง เขาก็พบรอยเท้าบนผืนทราย
“มันเป็นรอยเท้ามนุษย์ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีมนุษย์คนอื่นเข้ามาที่มิติลี้ลับแห่งนี้และพบทางออกแล้ว?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เขาต้องรับมือกับอสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 กว่าจะหาทางมาถึงที่นี่ได้ และตำแหน่งของทางออกนั้นก็แสนลึกลับ ซ่อนอยู่ท่ามกลางบ่อลาวา พูดตามตรงก็คือการที่คนอื่นๆจะค้นพบสถานที่นี้คงต้องใช้เวลาไม่น้อย ถือเป็นเรื่องประหลาดทีเดียวที่พบรอยเท้าใหม่ๆท่ามกลางผืนทราย
เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีใครบางคนมาถึงบริเวณนี้ก่อนหน้าเขา?
“ไปดูกันเถอะ!”
จางเซวียนรีบเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้และแกะรอยตามรอยเท้านั้นไป
ไม่ช้า เขาก็พบชายกลุ่มหนึ่งอยู่ตรงหน้า มีกระแสพลังปราณอันทรงพลังแผ่ออกไปโดยรอบ ดูเหมือนพวกเขากำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง
เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็พบว่าทั้งกลุ่มเป็นชายจำนวน 18 คน ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแตกต่างกันไป คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ
พวกเขาต่างมีใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากแห้งผาก ดูจะอยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่จางเซวียนเป็นอยู่
สิ่งที่ทั้งกลุ่มกำลังสู้รบด้วยนั้นคือยักษ์ตนหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นจากทราย มันไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน แต่รังสีอันทรงพลังที่มันแผ่ออกมานั้นบ่งบอกถึงพละกำลังที่เทียบเท่ากับนักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้น
ก็เพราะเหตุนี้ที่แม้พวกเขาจะมีกันถึง 18 คน แต่ก็ยังเผชิญหน้ากับมันด้วยความยากลำบาก
“จัดการเลย!”
รู้ดีว่าอาจได้ข้อมูลสำคัญจากชายกลุ่มนี้ จางเซวียนจึงชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและขว้างมันเข้าใส่ยักษ์ที่ก่อตัวขึ้นจากทรายตนนั้น
ราวกับการพุ่งแหลน หอกสวรรค์กระดูกมังกรพุ่งตรงเข้าใส่ยักษ์ที่ก่อตัวจากผืนทรายตนนั้น รังสีของมันดับวูบไปทันที
มันสลายตัวกลายเป็นกองทรายสีเหลืองที่กองอยู่กับพื้น
“ขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้!”
เห็นจางเซวียนเอาชนะยักษ์ตนนั้นได้ ทั้งกลุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันมาโค้งคำนับให้จางเซวียน
จางเซวียนเห็นสีหน้าอ่อนล้าของพวกเขา ชัดเจนว่าคนเหล่านี้อยู่ที่นี่มาอย่างน้อยก็หลายชั่วโมงแล้ว
เขาตั้งคำถามด้วยความสงสัย “พวกคุณมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?”
“พวกเราสลบไปหลังจากวิหารแห่งขงจื๊อแผ่ลำแสงเจิดจ้าออกมา รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว…ผู้อาวุโส ทำไมคุณถึงตั้งคำถามแบบนี้?” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งตั้งคำถาม
ดูเหมือนเขาจะประหลาดใจเล็กน้อยกับคำถามแปลกๆของจางเซวียน