อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1723 พบหน้าเซียนดาบชิงเหมิง
“เอาล่ะ รีบเดินทางต่อกันเถอะ!”
ความสำเร็จของหูเหยาเหย่าไม่ได้เหนือกว่าความคาดหมายของจางเซวียน ขอแค่อีกฝ่ายยอมทำตามคำชี้แนะของเขา เขาก็จะทำให้เธอฝ่าด่านวรยุทธได้อย่างง่ายดายจนแม้แต่ตัวเธอเองยังต้องสงสัย
นี่เป็นความสามารถที่เขามี ถ่อมตัวและไม่ทำตัวโดดเด่น อย่างที่เขาเคยเป็นมาตลอด
รู้ดีว่าจางเซวียนมีเรื่องด่วน หูเหยาเหย่าจึงไม่ทำตัวให้เสียเวลา เธอติดตามตามจางเซวียนไปอย่างเงียบๆขณะขัดเกลาวรยุทธของตัวเองไปด้วย
ทั้งคู่ตั้งต้นเดินทางสู่วิหารแห่งขงจื๊อที่มองเห็นจากระยะไกล
สิ่งปลูกสร้างโอ่อ่าที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นมองเห็นได้อย่างเลือนราง ทั้งคู่มุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว
จางเซวียนคาดการณ์ว่าการเดินทางครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยอันตราย แต่กลับกลายเป็นว่าความเงียบสงบทำให้เขาหวาดกลัว
อย่าว่าแต่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น เขาไม่เห็นแม้อสูรสักตัวด้วยซ้ำ
สิบนาทีต่อมา ทั้งคู่ก็มายืนอยู่ตรงหน้าสิ่งปลูกสร้างโอ่อ่านั้น มีป้ายแขวนอยู่บริเวณทางเข้าพร้อมกับตัวอักษรขนาดใหญ่-หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่!
นี่จะต้องเป็นหนึ่งในหกหอบริวารของวิหารแห่งขงจื๊อ!
จางเซวียนรู้จากหลัวลั่วชิงว่าวิหารแห่งขงจื๊อมีหอบริวารทั้งหมด 6 หอ และแต่ละหอเชื่อมโยงกับเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน แน่นอนว่าหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จะต้องเป็นหนึ่งในหกหอบริวารนั้น
กลุ่มหมอกลอยเอื่อยอยู่บริเวณทางเข้าของหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ บดบังทัศนวิสัย แต่จากประตูที่ปิดสนิท ก็ดูเหมือนว่าน่าจะยังไม่มีใครได้ผ่านเข้าไป
จางเซวียนมองไปรอบๆและพบโดมขนาดเล็ก 4 โดมอยู่ในบริเวณนั้น มีชื่อว่า ‘ใบไม้ผลิอบอุ่น’, ‘ร้อนเร่าดั่งไฟ’, ‘ใบไม้ร่วงชื่นใจ’ และ ‘หนาวเหน็บเย็นเยือก’
นั่นคือโดมใบไม้ผลิอบอุ่นใช่ไหม? จางเซวียนคิดขณะมุ่งหน้าไปยังโดมที่มีตัวอักษรคำว่า ‘ใบไม้ผลิอบอุ่น’ พร้อมกับหูเหยาเหย่า
โดมนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก ทันทีที่เข้าสู่พื้นที่นั้น ก็เห็นผู้คนจำนวนมากยืนอยู่โดยรอบ บางคนสวมเสื้อคลุมปรมาจารย์ ขณะที่คนอื่นๆสวมเสื้อคลุมประจำตระกูลหรือเสื้อผ้าธรรมดาสามัญ
รวมแล้วน่าจะมีผู้คนอยู่ในบริเวณนี้ราว 30 คน ซึ่งแม้แต่ผู้ที่มีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดก็ยังเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9
“ท่านหัวหน้าตระกูล!”
เมื่อเห็นจางเซวียน ชาย 2-3 คนก็เดินเข้ามาต้อนรับ
จางเซวียนจดจำคนเหล่านั้นได้ พวกเขาคือเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลจาง
ที่ผ่านมา คนเหล่านี้เข้าสู่การปลีกวิเวกมาตลอด และเพิ่งมาถึงชูฝู่เมื่อ 2 วันก่อน
ตอนนี้จางเซวียนถอดการปลอมตัวของเขาและกลับสู่รูปลักษณ์เดิมแล้ว
“เซวียนเอ๋อ ลูกมาแล้วหรือ!”
จางเซวียนกำลังจะถามว่าท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาอยู่ที่ไหน ก็พอดีกับได้ยินเสียงแว่วมาแต่ไกล เมื่อหันไปมอง ก็เห็นเซียนดาบชิงเหมิงจ้ำพรวดๆเข้ามา
เห็นทั้งคู่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกันนั้นก็อดสงสัยอะไรบางอย่างไม่ได้ “ท่านพ่อท่านแม่…ยกระดับวรยุทธอย่างรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ก่อนจะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ ทั้งคู่ยังเป็นนักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้น แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาก็กลายเป็นนักรบชั่วกัลปาวสานขั้นสูง โลกจารึกแล้ว ทำให้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์
“พวกเราเจอส้มหล่น…”
เซียนดาบชิงอธิบายยิ้มๆ
ได้ฟังคำอธิบายของเซียนดาบชิง จางเซวียนถึงกับพูดไม่ออก
ทั้งคู่โชคดีกว่าเขามาก แทนที่จะต้องฝ่ามิติทั้ง 6 พวกเขากลับถูกส่งทะลุมิติตรงเข้ามายังอาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อพอดี
ทั้งพลังจิตวิญญาณและสภาวะครูบาอาจารย์ที่นี่เข้มข้นกว่าในมิติทั้ง 6 มาก ทั้งยังเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย ด้วยความช่วยเหลือของทรัพย์สมบัติต่างๆและระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของพวกเขาที่ 29.9 จึงแน่นอนว่าระดับวรยุทธของทั้งคู่จะต้องพุ่งพรวด
เห็นสีหน้าตะลึงพรึงเพริดของลูกชาย เซียนดาบเหมิงพูดยิ้มๆ “ยิ่งไปกว่านั้น แม่กับพ่อไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงนะ อันที่จริง…เราฝึกฝนวรยุทธที่นี่มา 3 เดือนแล้ว!”
“3 เดือน?” จางเซวียนถึงกับผงะ
“ท่านพ่อของลูกกับแม่บังเอิญพบดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่กระแสแห่งกาลเวลาไหลเร็วขึ้น ด้วยเหตุนี้ ขณะที่เวลาของลูกผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่พวกเราก็ได้ฝึกฝนวรยุทธอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน” เซียนดาบเหมิงอธิบาย
“เอ่อ…” จางเซวียนตาโต
พวกเขาช่างโชคดีเสียจริง!
การที่เซียนดาบชิงเหมิงจะถูกส่งทะลุมิติเข้ามายังอาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่พวกเขายังได้พบดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่กระแสแห่งกาลเวลาไหลเร็วขึ้นอีกด้วย เขาอดคิดไม่ได้ถึงความยากลำบากที่ตัวเองต้องเผชิญระหว่างการเดินทางจากมิติหนึ่งไปยังอีกมิติหนึ่ง ต้องสู้รบกับศัตรูตัวแล้วตัวเล่า
“แล้วท่านพ่อท่านแม่รู้ไหมว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ไหน จะหามันพบอีกครั้งได้หรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม
หากหาดินแดนนั้นพบ เขาก็จะได้เข้าไปฝึกฝนวรยุทธสักระยะหนึ่งเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ก่อนจะเริ่มทำอย่างอื่น
“แม่ไม่คิดว่าเราจะหาดินแดนนั้นเจออีกแล้วล่ะ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นตอนที่เราเข้าถึงกลไกของมัน ซึ่งตอนที่พ่อกับแม่ฝึกฝนวรยุทธเสร็จ มันก็หายไปแล้ว เราพยายามตามหามัน แต่ก็ไม่พบ แต่อันที่จริง ต่อให้ไม่ต้องพึ่งพาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ระดับวรยุทธของลูกก็พุ่งพรวดอยู่แล้วนี่…” เซียนดาบเหมิงปลอบใจ
“เอาเถอะ” จางเซวียนนวดหว่างคิ้ว
แม้เขาจะยินดีปรีดากับความก้าวหน้าของท่านพ่อท่านแม่ แต่ก็อดท้อใจไม่ได้ เขาภาคภูมิใจเสมอมากับการยกระดับวรยุทธอย่างรวดเร็วของตัวเอง แต่หลังจากเวลาผ่านมาระยะหนึ่ง เขาก็ยังติดแหงกอยู่กับวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึก ยังไม่ก้าวหน้าไปไหนเสียที…
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และตั้งคำถามกับเซียนดาบชิงเหมิง “ท่านพ่อกับท่านแม่มาถึงอาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อได้อย่างไร? ผมถูกส่งทะลุมิติไปยังมิติที่อยู่รอบนอก และที่สำคัญกว่านั้น…ทำไมท่านพ่อกับท่านแม่ถึงยังอยู่ด้วยกัน?”
จางเซวียนถูกส่งตัวทะลุมิติไปยังมิติผืนป่าที่อยู่รอบนอก และไม่พบใครที่รู้จักคุ้นเคยเลย แต่ไม่เพียงท่านพ่อท่านแม่ของเขาจะถูกส่งตรงมายังอาณาเขตรอบนอกของวิหาร เท่าที่เขารู้ ยังดูเหมือนว่าทั้งคู่ไม่ได้แยกจากกันด้วย
“เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน” เซียนดาบชิงตอบ “ตอนที่วิหารแห่งขงจื๊อเปิดเป็นครั้งแรก ท่านแม่ของลูก ตัวพ่อ และผู้อาวุโสสูงสุดอีก 2-3 คนกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน ก่อนที่พวกเราจะทันรู้ตัว ก็ถูกส่งทะลุมิติมาที่นี่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พ่อยังรู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงสายสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาดระหว่างเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานกับหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเรา”
“เครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน?” จางเซวียนก้มหน้าลงมองเครื่องรางที่กำลังเปล่งประกายซึ่งเซียนดาบชิงถือไว้ในมือ
มันแผ่รังสีที่ดูเหมือนจะหลอมรวมเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบกับรังสีของหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ดูเหมือนพวกมันเคยรวมกันเป็นหนึ่งและถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน มีความสอดคล้องกันในรูปแบบเฉพาะตัวระหว่างทั้งคู่
ถ้าเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานส่งท่านพ่อกับท่านแม่มายังหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แล้วทำไมเครื่องรางของเราถึงไม่ทำอะไรแบบนั้นบ้าง? จางเซวียนครุ่นคิดด้วยความสงสัย
เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่เขามีอยู่คือเครื่องรางลำดับแรก เพราะฉะนั้นมันก็น่าจะส่งเขาทะลุมิติตรงเข้าสู่หอลำดับแรกไม่ใช่หรือ?
แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เห็นวี่แววของหอลำดับแรกเลย กลับถูกบังคับให้บุกป่าฝ่าดงผ่านมิติผืนป่า มิติผืนทราย และมิติหิมะ…จางเซวียนรู้ดีว่าเขาจะต้องเผชิญกับอันตรายมากมายในวิหารแห่งขงจื๊อ แต่อย่างน้อยที่สุด เครื่องรางน้อยก็น่าจะชี้ทางให้เขาบ้าง!
ถ้าเขารู้ว่าเครื่องรางน้อยจะทำตัวไร้ประโยชน์แบบนี้ คงโยนทิ้งไปแล้ว!
“ในเมื่อเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานของท่านพ่อกับท่านแม่เชื่อมโยงกันกับหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แล้วทำไมท่านพ่อกับท่านแม่ถึงไม่เข้าไปในหอบริวารล่ะ?” จางเซวียนถามทั้งคู่
ทั้งสองมาถึงจุดหมายแล้ว แถมยังมีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานด้วย แล้วทำไมถึงยังอ้อยอิ่งอยู่ข้างนอก?
“พวกเราพยายามแล้ว แต่เปิดประตูบานใหญ่นั้นไม่ได้ ดูเหมือนเวลาที่ประตูจะเปิดยังมาไม่ถึง” เซียนดาบชิงอธิบาย “แต่จากการสังเกตการณ์ของพ่อ มันน่าจะเปิดภายใน 4 ชั่วโมงหลังจากนี้!”
จางเซวียนมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ รวมทั้งประตูบานใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณทางเข้าที่ยังคงปิดสนิท ให้บรรยากาศของความเป็นดินแดนต้องห้าม
แม้จะมีความสอดคล้องเชื่อมโยงระหว่างเครื่องรางฟ้าประทานกับหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ดูเหมือนพวกมันจะยังไม่ได้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว
“ในตราหยกสื่อสาร ท่านพ่อกับท่านแม่บอกว่าพบร่องรอยของจ้าวหย่า แล้วเธออยู่ที่ไหน?”จางเซวียนถาม
จางเซวียนเป็นห่วงบรรดาลูกศิษย์ตั้งแต่คนเหล่านั้นถูกลักพาตัวไป แม้เขาจะยืนยันกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทุกคนยังคงปลอดภัย แต่ก็อดกังวลใจไม่ได้
“จ้าวหย่า…” เซียนดาบชิงกำลังจะตอบคำถาม ก็พอดีกับที่เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นกลางอากาศ จากนั้นโดมที่พวกเขายืนอยู่ก็สั่นสะท้านไม่หยุด
“พวกมันมาที่นี่อีกแล้ว…” เซียนดาบชิงลุกพรวดขณะหรี่ตา
“ใครมา?” จางเซวียนถามพร้อมกับขวดคิ้ว
“เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น พวกมันรู้ว่าท่านพ่อของลูกมีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน จึงแวะมาที่นี่เป็นระยะๆเพื่อท้าทายพวกเรา” เซียนดาบเหมิงตอบ
จางเซวียนลดสายตาลง และเห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งยืนอยู่หน้าโดม มันถือดาบกระชับแน่นในมือ แผ่เจตนาสังหารเข้มข้นออกมา
“เซียนดาบชิง ผมคือเป่ยหยวน คุณกล้าเผชิญหน้าผมในการดวลหรือเปล่า?” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นตวาดก้องด้วยน้ำเสียงดังลั่นเหมือนระฆังใบใหญ่