อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1758 นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง
เห็นสาวน้อยหน้านิ่วคิ้วขมวด จางเซวียนเลิกคิ้วทันทีเมื่อนึกได้ เขารีบเข้าหาเธอและลนลานอธิบาย “ก่อนหน้านี้ ผมพบเธอที่หอสงบใจ จึงพาเธอกับเว่ยหรูเหยียนออกมาด้วยกัน…”
“ไปกันเถอะ!” หลัวลั่วชิงดูจะไม่แยแสคำอธิบายของจางเซวียน เธอออกเดินหน้าและนำทางเข้าไปในหอลำดับแรก
“เอ่อ…” จางเซวียนงงกับปฏิกิริยาของหลัวลั่วชิง แต่ก็รีบตามไป
อาณาบริเวณรอบนอกของหอลำดับแรกยิ่งใหญ่กว่าบรรดาหอบริวารมาก ในตอนนั้น จัตุรัสขนาดมหึมาที่อยู่หน้าหอลำดับแรกกำลังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
นักรบส่วนใหญ่ที่ก่อนหน้านี้ติดแหง็กอยู่ในมิติแห่งใดแห่งหนึ่งด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างก็พากันเดินทางมาที่นี่ เกิดเป็นฝูงชนที่มีจำนวนหลายพันคน แม้พวกเขาจะไม่อาจเข้าสู่หอลำดับแรกได้ แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่สูญเปล่าหากได้เห็นอานุภาพอันน่าทึ่งของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง
“นายท่าน ผมได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว หอบริวารทั้งหมดจะถูกเปิดออกเพื่อให้ประตูของหอลำดับแรกเผยโฉม…” เสียงเครื่องรางน้อยดังขึ้นในสมองของจางเซวียน “ผมพาคุณเข้าไปข้างในได้นะ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะหอลำดับแรกยังไม่เปิด!”
“ผมเข้าใจ” เมื่อเห็นเครื่องรางที่แสนจะไม่เอาไหนเพิ่งได้ความทรงจำกลับคืนมาหลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เขาเดินไปหาหลัวลั่วชิง และเมื่อเห็นสีหน้าของเธอยังคงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ก็ตัวสั่นเล็กน้อยขณะพยายามอธิบายสถานการณ์ “เอ่อ…ที่จริงมันไม่ใช่แบบนั้นนะ…เราพบกันโดยบังเอิญ…”
หลัวลั่วชิงหันกลับมามองจางเซวียน แต่ขณะที่เธอกำลังจะพูด เสียงตื่นเต้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ปรมาจารย์จาง ฉันนึกแล้วว่าคุณต้องอยู่ที่นี่!”
จากนั้น ร่างหนึ่งก็โผเข้าหาเขา
“เฟยเอ๋อ เธอก็อยู่ที่นี่หรือ?” หลัวฉีฉีตาโตขณะพุ่งเข้าใส่ร่างนั้น
สาวน้อยอีกคนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเพื่อนสนิทของเธอ องค์หญิงแห่งจักรวรรดิฮ่วนหยู หยู่เฟยเอ๋อ!
เมื่อเห็นหลัวฉีฉี หยู่เฟยเอ๋อกอดเธอแน่นและพูดอย่างสำนึกในบุญคุณ “ฉันรู้แล้วว่าที่อาจารย์จี้รับฉันเป็นศิษย์ก็เพราะเธอ…”
เธอเป็นแค่องค์หญิงต๊อกต๋อยแห่งจักรวรรดิฮ่วนหยู การที่จะสะดุดตาผู้อาวุโสจี้โหรวเฉินแห่งสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่และถึงกับยอมรับเธอเป็นศิษย์สายตรงด้วยนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเพื่อนที่แสนดีของเธอ, องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลหลัวจะต้องเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้แน่
ไม่อย่างนั้น ต่อให้เธอฉลาดปราดเปรื่องแค่ไหนแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่สถานภาพของเธอจะสะดุดตาชนชั้นนำของทวีปแห่งปรมาจารย์ได้
“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก” หลัวฉีฉีตอบยิ้มๆ
ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างรื่นเริง ก่อนที่หยู่เฟยเอ๋อจะหันไปยิ้มให้จางเซวียน น้ำเสียงของเธอหนักแน่นและเด็ดเดี่ยวเหมือนอย่างเคย แต่มีร่องรอยของความถือดีเล็กน้อยในน้ำเสียงนั้น “ปรมาจารย์จาง ครั้งล่าสุดที่เราพบกันก็นานมากแล้วนะ!”
เธอมีใจให้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลัวฉีฉีแล้ว และนั่นทำให้แน่ใจว่าเธอกับเขาไม่มีทางลงเอยกันได้ หยู่เฟยเอ๋อผิดหวังและไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้ แต่เธอก็เย่อหยิ่งและไม่ใช่คนชนิดที่จะยอมวิ่งตามใคร ดังนั้นจึงเลือกที่จะทักทายและมอบรอยยิ้มสดใสให้ชายหนุ่มเหมือนอย่างที่เคยทำ
“ใช่ ก็สักพักหนึ่งแล้ว…” จางเซวียนเกาหัวพร้อมกับหันไปมองหลัวลั่วชิงอย่างลำบากใจ “ดูสิ…ช่างบังเอิญเหลือเกิน…”
หลัวลั่วชิงชำเลืองมองชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งกำลังปั่นป่วนกับความพยายามจะอธิบายทั้งที่ไม่รู้ว่าจะสรรหาถ้อยคำที่เหมาะสมอย่างไร เธอเหยียดริมฝีปากยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็เดินหน้าต่อโดยไม่พูดอะไรอีก
ตอนนี้จัตุรัสที่อยู่ด้านหน้าหอลำดับแรกแบ่งออกเป็น 4 โซนอย่างชัดเจน สภาปรมาจารย์กับกลุ่มอำนาจหลักของทวีปแห่งปรมาจารย์ยึดครองโซนหนึ่ง, 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ยึดครองโซนหนึ่ง, เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นยึดครองอีกโซนหนึ่ง และโซนสุดท้ายเป็นของเผ่าพันธุ์อสูร
สมาชิกของแต่ละกลุ่มยืนอยู่ใกล้กัน และต่างก็จ้องมองอีกโซนหนึ่งอย่างหวาดระแวง
จางเซวียนหลับตาและสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างถี่ถ้วน มันออกจะเลือนราง แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงรังสีทรงพลังที่ซ่อนอยู่
เป็นไปได้ว่าเหตุผลที่ยังมีความสงบสุขระหว่างทั้ง 4 กลุ่มอำนาจก็เพราะมีนักปราชญ์โบราณคอยควบคุม
“ศิษย์พี่!”
จางเซวียนกำลังครุ่นคิดว่าเขาจะสามารถสร้างบาดแผลให้นักปราชญ์โบราณสัก 1 หรือ 2 บาดแผลเพื่อให้ได้หยดเลือดมาด้วยวิธีไหน ก็พอดีกับได้ยินเสียงร้องเรียกไม่ห่างออกไปนัก เมื่อหันไปมอง ก็เห็นปรมาจารย์หยางบินตรงเข้ามาพร้อมกับยิ้มร่า
“คุณ…ฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณได้แล้วหรือ?” จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตาโตด้วยความตื่นเต้น
รังสีที่ผู้อาวุโสตรงหน้าเขาแผ่ออกมายังคงเลือนรางเหมือนเดิม ทำให้กะประมาณความล้ำลึกของมันได้ยาก เมื่อมองแวบแรก ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้เหนือชั้นกว่าเขาเท่าไหร่ แต่เมื่อตั้งใจพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็ได้รู้ว่าตัวเองกำลังจ้องมองลงไปในมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต ไม่ว่าจะใช้ความพยายามสักแค่ไหน ก็ดูเหมือนพละกำลังของอีกฝ่ายจะไม่มีจุดสิ้นสุด
ชัดเจนว่าศิษย์น้องของเขาได้พบกับความโชคดีบางอย่าง และเป็นนักรบคนแรกที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ
“ผมน่ะโชคดี!” ปรมาจารย์หยางตอบพร้อมกับยิ้มให้
“เรื่องวรยุทธน่ะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโชคหรอก” จางเซวียนตอบ
ปรมาจารย์หยางสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกมานานแล้ว และเหตุผลที่เขาเดินทางตระเวนไปทั่วโลกก็เพื่อเสาะแสวงหานิรันดร์กาลแห่งนักปราชญ์โบราณ ภูมิปัญญาสุดท้ายที่จะทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ ด้วยการสั่งสมที่ผ่านๆมา ในที่สุดเขาจึงสามารถคว้าโอกาสได้เมื่อมันมาถึงหน้าประตู
“ทุกคน…”
เสียงชัดเจนหนักแน่นดังก้องขึ้นกลางอากาศ
ฝูงชนหันขวับ และเห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศบริเวณหน้าหอลำดับแรก
“นั่นคือนักปราชญ์โบราณจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์!”
ผู้อาวุโสคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันกับกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ จึงไม่ต้องสงสัยว่าเขามาจากกลุ่มไหน
“ในเมื่อหอลำดับแรกปรากฏแล้ว ผมก็มองไม่เห็นเหตุผลอื่นใดที่พวกเราจะต้องซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอีก ออกมาเถอะ!” ผู้อาวุโสพูดเบาๆ แต่เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งพื้นที่
“จริงด้วย พวกเราไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวแล้ว”
“เห็นได้ชัดว่าพวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน ในเมื่อในที่สุดหอลำดับแรกก็ปรากฏ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่พวกเราจะต้องซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอีก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ออกมาเถอะ!”
ฟึ่บ!
ขณะที่เสียงเหล่านั้นดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างนักรบจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือจัตุรัส แต่ละโซนมีนักปราชญ์โบราณปรากฏตัวราว 6-7 คน
“ที่นี่มีนักปราชญ์โบราณมากมายขนาดนี้เลย?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ
เขาเคยคาดเดาไว้ว่าน่าจะมีนักปราชญ์โบราณราว 5-10 คนในวิหารแห่งขงจื๊อ แต่ในชั่วพริบตา ทั่วทั้งบริเวณนี้ก็มีนักปราชญ์โบราณอยู่ราว 20 คน
นักปราชญ์โบราณคนที่เขาเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ยืนอยู่ในกลุ่มของนักปราชญ์โบราณจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์
ขณะที่นักรบคนอื่นๆมาที่นี่เพื่อมุ่งมั่นแสวงหาความโชคดี แต่เป้าหมายของนักปราชญ์โบราณนั้นชัดเจน คือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ก่อนหน้านี้ ตอนที่หอบริวารเริ่มเปิดออก พวกเขาเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อปกป้องเหล่าทายาทจากคนอื่นๆ พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการปะทะที่ไม่จำเป็นกับกลุ่มอื่นๆ
แต่การเปิดออกของหอลำดับแรกก็เป็นสัญญาณที่บอกให้พวกเขารู้ว่าใกล้ถึงเส้นชัย เมื่อถึงจุดนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกต่อไป ถึงเวลาที่จะต้องหงายไพ่เสียที
“เพราะผ่านหอบริวารมาแล้วถึง 6 หอ ผมเชื่อว่าพวกเราคงได้ความรู้คร่าวๆแล้วว่าวิหารแห่งขงจื๊อทำงานอย่างไร หอลำดับแรกปรากฏแล้วก็จริง แต่ทางเข้ายังคงปิดสนิท ยังมีกระบวนการที่สำคัญอีกอย่างที่เราต้องทำให้ได้เพื่อเปิดประตูหอลำดับแรก” ผู้อาวุโสกล่าว
เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวหนึ่งคำราม “นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง คุณคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเราที่นี่ เลิกพูดจาอ้อมค้อมและตรงเข้าประเด็นเสียที คุณคาดหวังให้พวกเราทำอะไร?”
“นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง? ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนใช่ไหม?”
จางเซวียนขมวดคิ้ว
นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนคือหัวหน้ากลุ่ม 72 นักปราชญ์ เป็นศิษย์พี่คนแรกในบรรดาศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง เหยียนเฉว่คงเป็นทายาทของเขา และมีความเป็นไปได้ว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจะเป็นบรรพบุรุษของเหยียนเฉว่
“ศิษย์น้อง คุณรู้จักนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหรือเปล่า?” จางเซวียนส่งโทรจิตถามปรมาจารย์หยาง
“ผมไม่รู้จัก…ถึงสภาปรมาจารย์จะมีต้นกำเนิดเดียวกันกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่พวกเราก็ติดต่อกันน้อยมาก” ปรมาจารย์หยางซึ่งเพิ่งเข้ามารวมกลุ่มกับนักปราชญ์โบราณของสภาปรมาจารย์ส่งโทรจิตตอบ
“คุณไม่รู้จักเขา…แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นเรียกชื่อเขาอย่างมั่นใจ…” จางเซวียนขมวดคิ้ว
เท่าที่เขารู้ เหล่านักปราชญ์โบราณของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่ได้ปรากฏตัวมาหลายหมื่นปีแล้ว ถึงขนาดที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ปัจจุบันภายใน 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เป็นอย่างไร แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งกลับเรียกชื่ออีกฝ่ายได้อย่างถูกต้อง ทั้งยังถึงกับยกย่องว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาด้วย
จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงพฤติกรรมลับๆล่อๆระหว่าง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
“ผมก็แค่อยากทำทุกอย่างให้ชัดเจน ในเมื่อพวกเราอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ผมก็คาดหวังว่าจะได้มีส่วนร่วม เพราะถึงอย่างไร เผ่าพันธุ์อสูรของเราก็ไม่ได้อะไรจากหอบริวาร ถ้าพวกคุณคิดจะทิ้งพวกเราไว้เบื้องหลังล่ะก็ คงพูดได้เพียงว่าคุณควรเตรียมตัวรับมือกับความเคืองแค้นของพวกเราไว้ด้วย!” อสูรตัวมหึมาจากเผ่าพันธุ์อสูรคำราม
อสูรตัวนี้สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณแล้วเช่นกัน มิติที่อยู่รอบตัวมันดูจะแข็งแกร่งมั่นคงมาก
“นายใหญ่สีขาว ได้โปรดใจเย็นก่อน เหตุผลที่ผมให้ทุกคนมาหารือกันก็เพื่อแบ่งสรรปันส่วนโควต้าในการเข้าสู่หอลำดับแรก ส่วนความโชคดีชนิดไหนที่ผู้ได้เข้าไปข้างในจะได้พบเจอนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถและโชคชะตาของพวกเขาแล้วล่ะ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบยิ้มๆ