อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1782 จางเซวียนโคม่า
“จางหงเทียน…”
เห็นศพที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนต่างเงียบกริบ ความตึงเครียดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง
โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มที่มาจากสภาปรมาจารย์ พวกเขาพากันนิ่งอึ้งและเงียบงัน
ทุกคนได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเกือบหมื่นปีแล้ว และรู้ดีตั้งแต่แรกว่าการจากลาจะต้องมาถึงสักวัน แต่เมื่อถึงเวลานั้นเข้าจริง ก็อดรู้สึกโหวงๆในใจไม่ได้
“แม้แต่นักปราชญ์โบราณผู้ทรงพลังก็หนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ของกาลเวลา!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงส่ายหน้าและถอนหายใจ
“นักปราชญ์โบราณคือผู้ที่เหนือกว่าแม้แต่สวรรค์ไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมถึงยังอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของโลก?” จางเซวียนตั้งคำถาม
ในฐานะบุคคลที่ได้ชื่อว่าเอาชนะได้แม้แต่สวรรค์ เขารู้สึกไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงยังตกอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของโลก ไม่อาจควบคุมได้แม้แต่ชีวิตและความตายของตัวเอง
“นักปราชญ์โบราณอยู่เหนือสวรรค์ก็จริง แต่ก็เฉพาะในกฎเกณฑ์ส่วนที่พวกเขาทำความเข้าใจได้สำเร็จเท่านั้น” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอธิบาย “น้องหงเทียนสำเร็จความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของศิลปะเพลงดาบ ความเชี่ยวชาญของเขาเหนือกว่าแม้แต่สวรรค์ แต่ในด้านอื่นๆอย่างเช่นอายุขัย เขาก็ไม่อาจก้าวข้ามขีดจำกัดของโลกไปได้”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่ง “ศิลปะเพลงดาบ? คุณกำลังบอกว่า…ตราบใดที่ใครสักคน เอาชนะสวรรค์ในด้านใดด้านหนึ่งได้ เขาก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นนักปราชญ์โบราณใช่ไหม?”
เขาเคยรับรู้มาบ้างในเรื่องเงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ โดยฟังจากท่านพ่อ คือเซียนดาบชิง แต่เซียนดาบชิงก็เป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นชั่วกัลปาวสานเท่านั้น และทุกอย่างที่เขารู้ก็มาจากเรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น มีโอกาสสูงที่สิ่งที่เซียนดาบชิงรับรู้จะมีจำกัดเมื่อเทียบกับความรู้ของผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์
“ใช่ มีแต่ผู้ที่ทำความเข้าใจในกฎเกณฑ์จนเหนือกว่าสวรรค์ได้เท่านั้นถึงจะก้าวไปสู่การเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ
“กาลเวลาเป็นสาขาวิชาที่ตระกูลจางเชี่ยวชาญไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมบรรพบุรุษเก่าแก่ถึงไม่ใช้ความเข้าใจเรื่องกาลเวลาของเขาผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณล่ะ?” จางเซวียนตั้งคำถามอีก
สายเลือดของตระกูลจางประกอบด้วยแก่นสารของกาลเวลา
ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ถ้าจางหงเทียนฝ่าด่านวรยุทธโดยใช้แก่นสารของกาลเวลา เขาก็น่าจะยืดอายุขัยและก้าวข้ามขีดจำกัดของกาลเวลาได้ไม่ใช่หรือ?
“กฎเกณฑ์ของเวลาในแต่ละมิตินั้นเชื่อมโยงกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่เพียงแต่ทวีปแห่งปรมาจารย์กับสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโลกที่สูงส่งกว่าอย่างเช่นโลกที่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณพำนักอยู่ หากผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของกาลเวลาไม่ได้เข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์ของกาลเวลาของทวีปแห่งปรมาจารย์อย่างแท้จริง การจะอยู่เหนือสวรรค์ในสาขาวิชานี้ก็แทบเป็นไปไม่ได้ ในครั้งนั้น แม้แต่ปรมาจารย์ขงเองก็ยังล้มเหลว นับประสาอะไรกับนักรบรุ่นหลัง!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
เวลาคือหนึ่งในกฎเกณฑ์พื้นฐานที่สุดของจักรวาล ต่อให้โลกจะพังทลาย ทั้ง 5 ธาตุเสื่อมสลาย และมิติหายสาบสูญไป เวลาก็ยังคงดำเนินอยู่
แล้วใครคนหนึ่งจะฝึกฝนกฎเกณฑ์อันทรงพลังนี้ให้เชี่ยวชาญและควบคุมมันโดยง่ายได้อย่างไร?
ถ้าปรมาจารย์ขงทำความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์ของกาลเวลาได้จริงๆ เขาก็คงไม่ต้องหายตัวไปจากหน้าบันทึกประวัติศาสตร์
“คุณพูดถูก…” จางเซวียนพยักหน้า
เขาสามารถใช้ประโยชน์จากพละกำลังของสายเลือดเพื่อผลักดันกระแสกาลเวลาและเร่งการเคลื่อนไหวของตัวเองได้ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก่นสารของกาลเวลา
“แก่นสารของกาลเวลาเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยาก แต่หากผมทำความเข้าใจได้สำเร็จ บางทีก็อาจทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยชีวิตบรรพบุรุษเก่าแก่หงเทียนได้!” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่
ทันใดนั้น หัวสมองของเขาก็กระตุก ราวกับเกิดแผ่นดินไหว หอสมุดเทียบฟ้าที่อยู่ในสมองของจางเซวียนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“แย่แล้ว…” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความพรั่นพรึง
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร ทุกอย่างก็มืดมิด
เขาร่วงลงไปกองกับพื้น
“ศิษย์พี่!” ปรมาจารย์หยางพรวดพราดเข้ามา
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็รีบเข้ามาตรวจสอบสภาวะร่างกายของจางเซวียนก่อนจะขมวดคิ้วอย่างงุนงง “ดูเหมือนจะมีความผิดปกติบางอย่างในจิตวิญญาณของเขานะ”
ในฐานะนักรบระดับนักปราชญ์โบราณ ในเมื่อจางเซวียนไม่ได้ถูกทำร้ายหรือโจมตี แล้วจู่ๆอาการบาดเจ็บจะปรากฏในจิตวิญญาณของเขาได้อย่างไร มันเกิดอะไรขึ้น?
“ผมเชี่ยวชาญเรื่องจิตวิญญาณ ขอผมดูหน่อย!” นักปราชญ์โบราณของตระกูลเจียงก้าวเข้ามา
เขารีบถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณให้จางเซวียน แต่ยังไม่ทันที่พลังจะได้เข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย ตัวเขาก็สั่นสะท้าน เขาถอยกรูดไปหลายก้าว ใบหน้าซีดเผือด
“เกิดอะไรขึ้น?”
ทุกคนต่างงงงันเมื่อเห็นสภาพของนักปราชญ์โบราณจากตระกูลเจียง
“มีพลังแปลกประหลาดบางอย่างปกป้องจิตวิญญาณของเขาอยู่ ผมไม่อาจแทรกซึมเข้าไปในร่างของเขาได้ลึกกว่านี้” นักปราชญ์โบราณของตระกูลเจียงพูด
“พลังแปลกประหลาดบางอย่างปกป้องจิตวิญญาณของเขาอยู่? พลังงานแบบไหนกันที่ถึงกับผลักคุณให้กระเด็นออกมาได้?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
ในฐานะนักปราชญ์โบราณที่เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณ เป็นไปไม่ได้เลยที่นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธระดับเดียวกันจะขัดขวางการแทรกซึมของเขาได้ และในเมื่อจางเซวียนก็สลบไสลไม่ได้สติ ก็ไม่มีทางที่เขาจะสามารถปัดป้องการตรวจสอบของนักปราชญ์โบราณจากตระกูลเจียง หรือแม้แต่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ
“มันน่าจะ…”
นักปราชญ์โบราณจากตระกูลเจียงตัวแข็งทื่อขณะพูดต่อ “มันน่าจะเป็นอำนาจของสวรรค์!”
“เขาได้รับการปกป้องจากสวรรค์?”
ได้ยินคำนั้น ทุกคนนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความอัศจรรย์ใจขณะจับจ้องจางเซวียนอีกครั้ง
ไม่น่าเชื่อว่านักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งจะได้รับการปกป้องจากสวรรค์จริงๆ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“ปรมาจารย์หยาง ผมขอมอบหมายให้คุณคุ้มกันเขานะ หากเกิดอะไรขึ้น แจ้งผมทันที ระหว่างนี้ผมจะนำคนอื่นๆไปตรึงกำลังรอบพื้นที่นี้ก่อน เมื่อปราศจากมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงและฉนวนของปรมาจารย์ขงที่จะคอยดูแลรักษาสถานที่นี้ วิหารแห่งขงจื๊อทั้งหมดก็เข้าสู่ความว่างเปล่าของมิติและเวลา ถ้าเราไม่รีบดึงมันกลับมา พวกเราทุกคนจะต้องหายสาบสูญ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูดอย่างหวั่นใจ
หมู่ดาวหายวับไปจากท้องฟ้าแล้ว บ่งบอกชัดว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์อีกต่อไป
“ได้” ปรมาจารย์หยางพยักหน้า
“เอาล่ะ ไปจัดการกันเถอะ” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูดขณะรีบนำทางเหล่านักปราชญ์โบราณที่เหลือไป
แม้การปรากฏขึ้นของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงและการสู้รบครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นตามมาจะสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับวิหารแห่งขงจื๊อ แต่มันก็ยังคงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ ในฐานะทายาทของศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง พวกเขาไม่อาจปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นได้
เมื่อเหล่านักปราชญ์โบราณจากไป ปรมาจารย์หยางลดสายตาลงจับจ้องจางเซวียนที่ยังคงไม่ได้สติและขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นกับคุณกันนี่?”
…..
จางเซวียนไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเขาอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ราวกับสติสัมปชัญญะถูกถอดถอนออกไปจากร่าง จางเซวียนรู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงร่างอันคุ้นตาร่างหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากเขา เธอกำลังจ้องมองมาด้วยแววตาที่บ่งบอกความกังวล
“ลั่วชิง…” จางเซวียนพึมพำอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
“ไม่ต้องห่วง ฉันสบายดี” สาวน้อยพูด “คุณต้องรักษาเนื้อรักษาตัวนะ อย่าลืมเก็บของขวัญที่ฉันมอบให้คุณติดตัวไว้ตลอดเวลาด้วย คุณจะแยกจากมันไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว”
“คุณหมายถึง…จี้อันนั้น? ผมเก็บมันไว้กับตัวเลยล่ะ…” จางเซวียนตอบเสียงแผ่ว เขาพยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน แต่ทั้งร่างก็หนักอึ้งราวกับถูกใครนำตะกั่วมาถ่วงไว้
ก่อนจะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ หลัวลั่วชิงได้มอบจี้ให้เขาอันหนึ่ง โดยบอกว่ามันคือสิ่งที่ท่านพ่อของเธอมอบให้ และจะช่วยชีวิตของเขาได้ในยามคับขัน
แม้เขาจะไม่เข้าใจการกระทำของเธอ แต่ก็เก็บมันไว้ติดตัวตลอดเวลา
“ดีแล้วล่ะ…จางเซวียน ตอนนี้ฉันต้องขอตัวก่อน ของล้ำค่าในหอสมุดน่ะคือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ฉันมอบให้คุณ ใช้มันให้ดีนะ…แล้วฉันจะรอคุณ…”
จากนั้น เสียงและร่างของหลัวลั่วชิงก็ค่อยๆเลือนไป ราวกับเธอพร้อมจะหายตัวไปได้ทุกขณะ
“หอสมุด…? คุณ…คุณรู้เรื่องหอสมุดด้วยหรือ?” จางเซวียนตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
หอสมุดเทียบฟ้าเป็นความลับสุดยอดของเขามาตลอด ซึ่งเขาไม่เคยบอกใคร ที่ผ่านมาก็นึกว่าหลัวลั่วชิงไม่รู้เรื่องนี้ ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วเธอรู้เรื่องของมันเป็นอย่างดี?
“ลาก่อน จางเซวียน!”
หลัวลั่วชิงยิ้มเศร้าๆ นัยน์ตาของเธอฉายแววโหยหา แล้วร่างของเธอก็พร่าเลือนไป
…..
“ไม่นะ…อย่าเพิ่งไป!”
จางเซวียนตะโกนและทะลึ่งตัวขึ้น ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ว่าทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน
“ท่านอาจารย์ คุณรู้สึกตัวแล้ว!”
เมื่อหันไปมอง ก็เห็นจ้าวหย่า เจิ้งหยางและคนอื่นๆยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ทุกคนมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
ท่านพ่อกับท่านแม่ของเขา, เซียนดาบชิงเหมิงก็อยู่ในห้องนั้นด้วย
จางเซวียนเหลียวมองโดยรอบและถามว่า “เรา…อยู่นอกวิหารแห่งขงจื๊อแล้วหรือ?”